ตอนที่ 399 พี่รองเป็นอะไรไป?

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ประเด็นสำคัญมิใช่ว่ารักษาสัญญาหรือไม่ หากแต่เป็นเรื่องของหย่งเฉิงอ๋องสามีภรรยา 

 

 

ประโยคเดียวของจีเฉวียน ทำเอาสีหน้าของซูเยาแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย 

 

 

คำข่มขู่เช่นนี้ ไม่ว่าเป็นใครก็ล้วนฟังออก 

 

 

จีเฉวียนรวบเสื้อขึ้นมาสวมใส่อย่างไม่รีบร้อน เหลือเพียงท่อนแขนครึ่งหนึ่งอยู่นอกชายผ้า 

 

 

ร่างกายของพระองค์ ให้ซิงซิงได้เห็นเพียงผู้เดียวก็พอแล้ว 

 

 

พวกลูกน้องที่มีฝีมือต่ำต้อยช่างใช้การไม่ได้ ไม่อาจรั้งตัวเจ้าจิ้งจอกตัวนี้เอาไว้ ทำให้มันโผล่มาทำลายเรื่องดีๆในตอนนี้ 

 

 

จีเฉวียนหรี่พระเนตรลง มุมพระโอษฐ์ก็หยักขึ้นเล็กน้อย สายพระเนตรปรากฏแววสังหาร “เราอนุญาตให้เจ้าเป็นอิสระ ก็เพราะจะให้เจ้าปกป้องนาง ไม่ใช่ให้เจ้ามาตามติดนาง ยึดนางเอาไว้ เข้าใจหรือไม่?” 

 

 

เมื่ออยู่ต่อหน้าตู๋กูซิงหลัน พระองค์ก็ยอมเป็นลูกพลับนิ่มที่จะบีบอย่างไรก็ได้ 

 

 

แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น โดยเฉพาะเมื่อเป็นเจ้าจิ้งจอกที่ไม่รู้จักเชื่อฟังแล้ว พระองค์ก็คือจอมมาร 

 

 

สายตาของตู๋กูซิงหลันสลับสับไปมาระหว่างคนทั้งสอง 

 

 

ยามเมื่อสายพระเนตรของจีเฉวียนและสายตาของซูเยาปะทะกันก็เกิดประกายสายฟ้าที่แทบจะลุกเป็นไฟ 

 

 

ราวกับพ่อไก่สองตัวที่พองขนเข้าใส่กัน……. 

 

 

ไอปีศาจที่อยู่ในร่างของซูเยาคล้ายจะเก็บเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป 

 

 

ตู๋กูซิงหลันวางแส้ในมือของนางลงในทันที ล้วงเอาลูกอมเม็ดหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ แกะกระดาษหุ้มได้ก็ยัดเข้าไปในปากเขาทันที 

 

 

นางไม่ต้องการให้คนทั้งสองมาทะเลาะกันที่นี่ 

 

 

หากว่าเปลี่ยนเป็นที่อื่น นางอาจจะช่วยซูเยาลงมือทุบตีด้วยกัน 

 

 

ยามเมื่อฝ่ามือที่ละเอียดลออและนุ่มนวลส่งลูกอมหวานๆเข้ามาในปาก รสหวานที่ได้นั้นแทบจะกำซาบไปถึงหัวใจ 

 

 

ซูเยาเปลี่ยนเป็นโอนอ่อนลง ไอปีศาจกลับเข้าไปสงบอยู่ในร่าง เขายื่นมือออกมาจับชายเสื้อของนางเอาไว้ ดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นเผยแววตาที่น่าสงสารราวถูกรังแกออกมา 

 

 

“อาหลัน เจ้ายังคงคิดถึงเขาอยู่อีกหรือ?” 

 

 

และเพราะเกรงจะได้ยินคำตอบเช่นนั้นจากนาง เขาจึงชิงเป็นฝ่ายยอมโอนอ่อนก่อน “หากว่ายังคงคิดถึงอยู่บ้างละก็ จะเพิ่มพื้นหลังอย่างพวกนั้นอีกสักตัวหนึ่งก็ยังได้ …..ข้าไม่ติดใจอะไร ขอเพียงเป็นความต้องการของเจ้า ข้าก็ทนได้” 

 

 

จีเฉวียน “……” 

 

 

เขาทำแก้มปูด ทั้งยังอมลูกอมเอาไว้ เวลาพูดออกมาจึงยิ่งไม่ชัดสักเท่าไหร่คล้ายกับเจ้าตัวน้อยที่ยังไม่หย่านม 

 

 

ซูเยามีนิสัยประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือชอบกินลูกอม 

 

 

โดยเฉพาะลูกอมที่ตู๋กูซิงหลันส่งเข้าปากมาให้ พอมีกลิ่นอายจากปลายนิ้วของนางอยู่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าหวานล้ำไปถึงจิตวิญญาณ 

 

 

คล้ายกับว่า …..ก่อนหน้านี้ก็เคยมีคนป้อนลูกอมให้เขากินอยู่บ่อยๆเช่นกัน 

 

 

พอผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ทำให้คนที่ใจร้อนเช่นเขาค่อยๆสงบลงได้ 

 

 

เขาจับจ้องไปยังตู๋กูซิงหลัน “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ชอบเขา แต่ว่าขอแค่ให้เจ้าชอบ….ก็พอ” 

 

 

คำพูดนี้กล่าวออกมา…ราวกับภรรยาหลวงที่ต้องคัดเลือกเมียน้อยให้กับสามี 

 

 

ทั้งใจกว้างเป็นพิเศษ และเข้าอกเข้าใจ 

 

 

แต่หากเปลี่ยนมุมมองกันสักหน่อย ก็ดูเหมือนเจ้าดอกบัวขาวที่แสร้งทำตนเป็นคนดีมากกว่า 

 

 

แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ยังทรงคิดไม่ถึงว่า สักวันหนึ่งตนเองจะถูกคนเห็นเป็นเช่นนี้ 

 

 

ฉากหลัง? 

 

 

เฮอะ! 

 

 

ดอกท้อที่งดงามเช่นนาง จะช้าเร็วเขาย่อมต้องเด็ดลงมาอย่างแน่นอน! 

 

 

ที่ครั้งนี้ยอมเสี่ยงอันตรายปล่อยเจ้าจิ้งจอกไปตัวหนึ่ง ถือเป็นความผิดพลาดของพระองค์เอง 

 

 

แต่ในสายตาของตู๋กูซิงหลัน เจ้าจิ้งจอกน้อยของตนเอง จะอย่างไรย่อมดีอยู่แล้ว 

 

 

นางนวดขมับ พอกวาดตาออกไป ก็เห็นจีเฉวียนเอ่ยขึ้นว่า “ซิงซิง ข้าก็ชอบกินลูกอม” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “ไสหัวไป” 

 

 

แค่คำเดียว แต่ทั้งเย็นชา ทั้งหนักแน่น 

 

 

ตอนนี้นางไม่คิดจะต่อความกับจีเฉวียน เพียงต้องการจะไล่เจ้าสุนัขตัวนี้ออกไป หากมองมากไปก็ปวดหัว 

 

 

“ไม่ไป” จีเฉวียนส่ายศีรษะ “เจ้าขังข้า ทรมานข้าเถอะ คุกของแคว้นเหยียนข้าคุ้นเคยอยู่แล้ว ถือเสียว่ากลับมาเยี่ยมบ้านเก่า” 

 

 

ตอนที่ยังเยาว์วัย เขาจะอาศัยอยู่ในนั้น ถึงจะได้เข้าไปอีกครั้งก็ไม่เห็นเป็นอะไร 

 

 

ทางด้านแคว้นต้าโจว อีกหลายวันพระองค์ค่อยเสด็จกลับไปก็ได้  

 

 

หลงเซียวย่อมสามารถจัดการทุกอย่างได้เอง 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “……” 

 

 

ซูเยา “……” 

 

 

ซูเยาเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนหน้าหนาพอตัวแล้ว แต่ตอนนี้ท่าทางจะเป็นครั้งแรกได้เจอคู่ปรับ 

 

 

เขาเป็นสนมอยู่ในวังหลังมานาน เคยเห็นแต่จีเฉวียนทำตัวสูงส่งไร้ยางอาย 

 

 

ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า เขาจะยอมลดตัวมาโดนฟาดโบยแล้วส่งเข้าคุก? 

 

 

ทันใดนั้นก็รู้สึกว่า ลูกอมในปากไม่หวานซะแล้ว 

 

 

……… 

 

 

ตอนที่พี่รองเดินเข้ามา เขาก็ได้ยินคำว่า “ขังคุก ฟาดโบย” 

 

 

 

 

 

เขาก้าวเข้ามาแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยั้งเท้า แล้วถอยหลังกลับ 

 

 

เขาเหมือนจะได้ยินอะไรที่ไม่สมควรเข้าแล้ว 

 

 

น้องเล็กจะเล่นสนุกอะไรนั้นก็ย่อมได้อยู่ แต่นี่ชักจะสนุกจนเกินไปแล้วหรือไม่….. 

 

 

เขากวาดตามองไป เห็นบุรุษถึงสองคน? 

 

 

ตอนนี้นางเป็นฮ่องเต้หญิง หากคิดจะโปรดปรานบุรุษบำเรอของตนเองอย่างไรก็ล้วนทำได้ทั้งนั้น…..เนื่องเพราะว่าคนที่เป็นฮ่องเต้ก็มักจะชวนสนมหลายๆคนมา ‘สนุก’ ด้วยกันอยู่แล้วมิใช่หรือ? 

 

 

ตู๋กูจุนมิใช่คนที่อยู่ในกรอบประเพณีอยู่แล้ว 

 

 

เรื่องอื่นนั้นยังไม่ถือเป็นปัญหา ที่เขาห่วงใยนั้นก็คือน้องเล็กอายุน้อยอยู่เลย ก็เล่นสนุกถึงเพียงนี้แล้ว…..รอจนอายุเพิ่มมากขึ้น ร่างกายจะยังไหวหรือ? 

 

 

มีหวังถูกสูบจนกลวงหรือไม่? 

 

 

เขาคิดไปคิดมาแล้ว ก็เปลี่ยนใจเป็นขยับเข้าไปแอบดูสักหน่อยดีกว่า 

 

 

จีเฉวียนประทับยืนหันหลังให้กับเขา เรือนร่างเพรียวโชลมไปด้วยโลหิต ตั้งแต่เอวขึ้นไปไม่มีส่วนใดที่เป็นไขมันส่วนเกินแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าจะชโลมไปด้วยเลือด แต่ก็ยังทำให้คนเกิดความรู้สึก……….อยากจะยึดครองเขาอย่างอธิบายไม่ถูก 

 

 

กลิ่นโลหิตลอยเข้าจมูก พุ่งเข้าไปถึงในสมอง 

 

 

ทันใดนั้นดวงตาที่ใสกระจ่างของเขา อยู่ๆก็เกิดหมอกสีเลือดขึ้นมาชั้นหนึ่ง 

 

 

ตู๋กูจุนรู้สึกว่าลำคอแห้งผาด เขาจดจ้องเงาหลังของจีเฉวียนอย่างใจลอย พลางเกิดความรู้สึกหิวกระหายขึ้นมา 

 

 

เป็นความรู้สึกกระหายเลือด! 

 

 

กลิ่นโลหิตสดใหม่จากร่างนั้นโชยเข้ามา และถูกสูดเข้าไปในอกแทบจะทันที 

 

 

เขาขยับเท้า ก้าวยาวๆเข้าไปข้างใน 

 

 

เดินตรงเข้าหาจีเฉวียนที่อยู่ตรงหน้า 

 

 

ตู๋กูซิงหลันคุ้นเคยกับการที่พี่รองของตนเองเข้ามาโดยไม่เคาะประตูอยู่แล้ว ตอนแรกจึงไม่ทันได้สังเกตถึงความผิดปกติ 

 

 

จีเฉวียนเหลือบพระเนตรมองมาครั้งหนึ่ง ก็เห็นตู๋กูเจวี๋ยมายืนอยู่ตรงเบื้องพระพักตร์ ยื่นศีรษะเข้ามา 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยรูปร่างบอบบาง ทั้งยังเตี้ยกว่าพระองค์หนึ่งดรรชนี ยามที่ฝ่าบาทกวาดพระเนตรไปก็มองเห็นกระหม่อมของเขาพอดี 

 

 

“หอมมากเลย…..” 

 

 

ทันใดนั้น ตู๋กูเจวี๋ยก็เงยหน้าขึ้นมา เผยอริมฝีปาก ทั้งยังยิ้มอย่างลึกลับชั่วร้ายใส่จีเฉวียน 

 

 

“เจ้าหอมมากเลยจริงนะ…..” เขายื่นจมูกไปสูดดมเป็นการใหญ่  

 

 

ยิ่งพอได้เห็นโลหิตสีแดงมากมายทั่วพระองค์ ก็ยิ่งกลืนน้ำลายอย่างอดใจไม่ไหว แลบลิ้นเลียริมฝีปากไปมา แววตามีแต่ความกระหาย 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยขยับเข้าไปใกล้อีกนิดจนใบหน้าแทบจะติดกับพระวรกายของจีเฉวียนอยู่แล้ว 

 

 

จากนั้นเขาก็ยื่นปากเข้าไปอย่างรวดเร็ว คิดจะเลียสักคำ 

 

 

ฮ่องเต้ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นมายันเอาไว้ในทันที ทรงตะปบจับหน้าผากของเขาเอาไว้ ผลักออกไปอย่างปฏิเสธ 

 

 

เมื่อมีบทเรียนจากครั้งก่อน 

 

 

นอกจากตู๋กูซิงหลันแล้ว พระองค์ย่อมไม่ปล่อยให้ผู้ใดมาสัมผัสพระวรกายอีกต่อไป 

 

 

ต่อให้เป็นพี่ชายของนางก็ไม่ได้! 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยอารมณ์เสียขึ้นมาในทันที พยายามยื่นทั้งมือและเท้าออกไปจะโผเข้าไปหาพระองค์ 

 

 

แต่ช่างน่าเสียดายที่มือของเขากลับสั้นไปกว่าจีเฉวียนเล็กน้อย จะคว้าอย่างไรก็ยังคว้าได้ไม่ถึงร่างของพระองค์  

 

 

เขาหงุดหงิดคลุ้มคลั่งกว่าเดิม เพิ่มกำลังทั้งมือและเท้า ดวงตาก็กระเ**้ยนกระหือกว่าเก่า ปากก็ส่งเสียงพึมพำออกมาว่า “เจ้าหอมมากเลย มาให้ข้ากินสักคำ!” 

 

 

คำพูดเช่นนี้ฟังดูแล้วเหมือนจะ…..คลั่งรักอยู่บ้าง 

 

 

สีหน้าของตู๋กูซิงหลันและซูเยาต่างก็ทำหน้าพิกลไปในทันที 

 

 

ฝ่าบาท “เราไม่หอม เหม็นมาก ไม่ให้เจ้ากินแน่นอน!” 

 

 

ชิ……… 

 

 

ตู๋กูซิงหลันทำหน้าเบ้ไปในทันที 

 

 

ซูเยา “อาหลัน ที่แท้แล้วเป้าหมายของฮ่องเต้ก็คือพี่ชายของเจ้า” 

 

 

 

 

 

 

 

 

……………………………………. 

 

 

ตอนต่อไป “นางพรายทะเลลึก”