ตอนที่ 400 นางพรายทะเลลึก

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

แขนเสื้อที่หลวมกว้างปิดบังริมฝีปากทั้งสองเอาไว้ เผยให้เห็นแต่เพียงมุมปากข้างหนึ่งกำลังยกยิ้มอยู่ กระทั่งดวงตาจิ้งจอกทั้งคู่นั้นก็ยังเปี่ยมไปด้วยความสงสัย

ลูกอมในปากยังไม่ทันได้กลืนลงไปเลย แต่ร่างครึ่งหนึ่งของเขาก็เอนเข้าไปหาตู๋กูซิงหลันแล้ว

ในก้นบึ้งของแววตามีไอมารที่ไม่อาจกดเอาไว้กำจายออกมาจางๆ

ยามที่เขาสบโอกาสได้กระซิบลงไปที่ริมหูของตู๋กูซิงหลัน กระทั่งลมหายใจที่ปล่อยออกมาก็ยังหวานหอม

ตู๋กูซิงหลันถูกเขาเป่าหูจนรู้สึกคันยุบยิบอยู่บ้าง ซูเยาคงจะเกลียดจีเฉวียนมากสินะ แต่ความร้ายกาจเช่นนี้กลับถูกใจนาง

“พี่รองถูกคนจับจองเอาไว้แล้ว ไม่มีทางมีวาสนากับเขาหรอก” ตู๋กูซิงหลันตอบอย่างเรียบเฉยประโยคหนึ่ง เรียวขายาวๆก้าวออกไป จนถึงข้างกายตู๋กูเจวี๋ย

พระหัตถ์ของจีเฉวียนยังคงยันหน้าผากของเขาเอาไว้ ผลักออกไปให้ไกลที่สุด

หากว่าคลายมือออก คนบ้าผู้นี้มีหวังต้องพุ่งเข้ามากัดพระองค์แน่

ยามที่ตู๋กูซิงหลันมาถึง ตู๋กูเจวี๋ยยังคงยกมือวาดเท้าอย่างบ้าคลั่ง ทั้งเตะทั้งต่อยอย่างอุตลุด

นางกำลังจะยื่นมือเข้าไป จีเฉวียนกลับยื่นพระหัตถ์อีกข้างหนึ่งมากันนางเอาไว้

“อันตราย อย่าได้เข้ามาใกล้”

ทันทีที่ยื่นพระหัตถ์ข้างนั้นออกมา ตู๋กูเจวี๋ยก็สบโอกาส เขาเบี่ยงศีรษะ อ้าปากกัดลงไปคำหนึ่ง

กัดอย่างสุดชีวิต!

จนสามารถกัดเนื้อของจีเฉวียนลงไปได้คำหนึ่งก็ฉีกกระชากออกมาทั้งเนื้อและหนัง กลืนลงไปพร้อมกับเลือดในทันที

กลิ่นโลหิตยิ่งคลุ้งกระจายขึ้นมาในอากาศ

จีเฉวียนทรงอดทนรับเอาไว้ เพียงคำรามเสียงต่ำออกมาคำหนึ่ง

“หอมมากเลย….” ตู๋กูเจวี๋ยกลืนลงไปคำหนึ่งดวงตาก็เพิ่มพูนความกระหายเลือดยิ่งกว่าเดิม

เขาหัวเราะฮิฮะออกมา ท่าทางประหนึ่งต้องอาคมบางอย่าง

กลืนลงไปคำหนึ่งแล้ว เขาก็ยังพุ่งศีรษะเข้ามาจะกินอีกคำหนึ่ง

ตู๋กูซิงหลันคว้าหัวไหล่ของเขาเอาไว้ในคราเดียว ยันต์ในมือแผ่นหนึ่งถูกผนึกลงไปกลางแผ่นหลังแทรกเข้าสู่ร่างของเขาอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้นก็เห็นหมอกสีดำแดงกลุ่มหนึ่งถูกเค้นออกมาจากกลางหน้าผากของเขา

ผ่านไปอีกพักใหญ่ หมอกสีเลือดในดวงตาของตู๋กูเจวี๋ยถึงได้สลายตัวไป

เขาค่อยมีสติขึ้นมาบ้าง พอเห็นว่าตนเองกำลังคว้าแขนของบุรุษผู้หนึ่งเอาไว้ก็งุนงงจนตกตะลึงไป

กลิ่นอายบนร่างของบุรุษผู้นี้ให้ความรู้สึกที่ออกจะคุ้นเคยอยู่บ้าง…..

ในปากมีแต่กลิ่นคาวโลหิต แม้แต่ในลำคอก็ชุ่มไปด้วยเลือดที่เย็นจัดจนเข้ากระดูก แต่ไม่รู้ว่าทำไม เขาไม่เพียงไม่รู้สึกขยะแขยง…..แต่กลับรู้สึกว่าอยากจะกินอีกสักหน่อย

ตู๋กูเจวี๋ยนิ่งงันไปเนิ่นนานอย่างไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง

ตัวเขามีปัญหาที่เคยชินอย่างหนึ่งมาตั้งแต่เล็ก นั้นคือไม่กินเนื้อ

ตอนนั้นที่ถูกชือหลีจับขังเอาไว้ในคุกใต้ดินของอารามร้าง ทั้งๆที่หิวจนเกือบจะอดตายอยู่แล้วก็ยังไม่ยอมกินเนื้อกระต่ายแม้แต่ครึ่งคำ

แต่ว่าตอนนี้ตนเองกลับกิน…..เนื้อ

เนื้อคนดิบๆ?

บนหน้าผากของเขายังมีไอหมอกสีดำแดงถูกเค้นออกมาไม่หยุด รอจนเขาคืนสติขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว เนื้อที่กลืนผ่านลำคอลงไปอย่างไหลลื่นคำนั้นก็ลงไปในกระเพาะแล้ว

พอถึงตอนนี้ความรู้สึกคลื่นไส้อย่างรุนแรงก็ลุกลามไปทั้วตัว ตู๋กูเจวี๋ยสะบัดตัวออกจากจีเฉวียน วิ่งออกไปกอดเสาด้านข้างโก่งคออาเจียนออกมา

อาเจียนอยู่เป็นนาน กลับไม่มีอะไรอะไรออกมาทั้งสิ้น

แต่กลับเป็นว่ามือที่กอดเสาต้นนั้นเอาไว้ กลับมีเกล็ดดำๆงอกเงยขึ้นมา

สีหน้าของตู๋กูซิงหลัน จีเฉวียน และซูเยาทั้งสามเปลี่ยนไปในทันที

ถึงแม้ว่าเกล็ดบนมือของเขาจะปรากฏขึ้นมาเพียงชั่วแวบเดียวเท่านั้น แต่พวกเขาต่างก็เห็นมันอย่างชัดเจน

 

ตู๋กูเจวี๋ยมัวแต่วุ่นวาย จึงไม่ได้รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย เขาเอาแต่อาเจียนจนหน้าแดงก่ำ กระทั่งน้ำตาก็ไหลคลอออกมาอย่างน่าสงสาร

เนื้อชิ้นนั้นก็ยังไม่ยอมออกมา

“น้องเล็ก….”

เขามองดูตู๋กูซิงหลันที่ยืนอยู่ข้างๆอย่างอ่อนแรง จากนั้นก็ถามออกมาอย่างไม่เหลือภาพลักษณ์ว่า “เจ้าบอกหน่อยสิว่า นี่ข้าท้องแล้วหรือเปล่า?”

ตู๋กูซิงหลัน “เจ้าเป็นบุรุษ ท้องไม่ได้หรอก”

“แต่ว่าข้าเคยเห็นในหนังสือเรื่องประหลาดพวกนั้น มีเรื่องที่บุรุษตั้งท้องอยู่ด้วย…นี่เป็นเพราะว่าข้ากินอะไรที่ไม่ควรกิน ดื่มอะไรที่ไม่ควรดื่มลงไปหรือไม่?” เขากล่าวอย่างจริงจัง

จากนั้นเขาก็เหมือนกับว่านึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหันไปจ้องมองจีเฉวียน

“หรือว่าเป็นเพราะเขา? ชายบำเรอคนใหม่ของเจ้าเป็นปีศาจ แบบที่พอกินเนื้อของเขาเข้าไปคำหนึ่งก็จะท้องขึ้นมาแบบนั้น!”

 

จีเฉวียนยังคงอยู่ในรูปโฉมที่ปลอมแปลงขึ้นมา ตู๋กูเจวี๋ยจึงจดจำไม่ได้

ตู๋กูซิงหลัน “……”

“ไม่มีเรื่องอะไรเช่นนั้นหรอก”

นางกล่าวเสียงเข้ม จากนั้นก็กวาดตาไปเหลือบมองจีเฉวียนที่อยู่ข้างๆแวบหนึ่ง เห็นพระหัตถ์ของพระองค์ยังคงมีโลหิตไหลนองไม่หยุด บริเวณที่โดนกัดเนื้อแหว่งไปชิ้นใหญ่

ทั้งๆที่เขาสามารถผลักพี่รองออกไปได้แท้ๆ แต่ว่ากลับไม่ได้ทำเช่นนั้น

พี่รองของตนเองนางย่อมรู้จักเขาดี เขาเป็นประเภทที่ไหล่ไม่อาจแบกหาม มือไม่อาจออกแรง อาศัยแต่ริมฝีปากเดินอาดๆไปทั่วหล้า

เขาไหนเลยจะมีพละกำลังมากระโดดกัดแขนของจีเฉวียน ฉีกเอาเนื้อไปกินคำหนึ่งได้กัน

พอคิดถึงหมอกสีดำแดงที่ถูกเค้นออกมาจากหน้าผากของเขา กับเกล็ดสีดำที่เกิดขึ้นบนหลังมือของเขาชั่วแวบหนึ่ง

แววตาของตู๋กูซิงหลันก็มืดครึ้มลงไปมากกว่าเดิม

เกล็ดชิ้นนั้น ไม่ใช่เกล็ดของงู

……………

 

ทะเลฝากตะวันตกของแคว้นเหยียน

เนื่องเพราะช่วงก่อนมีคนสามารถจับมนุษย์มัจฉาจากทะเลตะวันตกได้ ซ้ำยังขายออกไปจนได้ทองคำราคางาม

นั่นสามารถทำให้คนธรรมดามีกินมีใช้ไปจนชั่วชีวิตเชียวนะ!ใครบ้างจะไม่อิจฉาจนตาแดงก่ำเล่า?

ดังนั้นช่วงนี้ รอบๆบริเวณทะเลตะวันตกจึงเกิดกระแสจับมนุษย์มัจฉาขึ้นมา

ทั้งชาวประมง พ่อค้า และกระทั่งเหล่านักพรตต่างก็ยกกระบวนกันมา

ทุกส่วนของมนุษย์มัจฉาล้วนล้ำค่า แน่นอนว่ามีประโยชน์มหาศาลต่อผู้ฝึกตน ในเมื่อมีโอกาสอันดีเช่นนี้พวกเขาย่อมต้องไม่ยอมปล่อยไปโดยง่าย

ถึงแม้ว่าจะดึกดื่นค่อนคืนแล้ว บนผิวน้ำของทะเลตะวันตกก็ยังคงมีเรือหาปลาขนาดใหญ่หลายสิบลำลอยอยู่ บนเรือประมงจุดคบเพลิงเอาไว้ เรือล่องลอยไปตามผิวน้ำเรื่อยๆ

ที่จริงชาวเรือที่หาปลาในทะเลตะวันตกมีข้อห้ามที่สืบทอดกันมาข้อหนึ่ง

นั่นคือไม่ออกทะเลหลังอาทิตย์ตกดิน

เพราะเล่าขานกันมาว่าในทะเลมีนางพราย พอถึงยามค่ำก็จะออกมาล่อลวงเรือที่ผ่านไปพบเข้า ผู้คนที่ผ่านเข้ามาต่างก็ไม่อาจต้านทานความลุ่มหลงต่อนางพราย สุดท้ายแล้วคนบนเรือทั้งลำก็จะต้องจมลงไปในทะเล กลายเป็นอาหารของนางพราย

แต่เพราะว่าตอนนี้เกิดกระแสจับมนุษย์มัจฉาขึ้นมาอย่างร้อนแรง ผู้คนจึงไม่สนใจไยดีว่าเรื่องนี้ยังเป็นอาถรรพ์อยู่หรือไม่

ถึงแม้ว่ามืดค่ำแล้วก็ยังลอยเรืออยู่บนทะเลกันต่อไป

“เหนื่อยยากกันมาตั้งหลายวันแล้ว แม้แต่เงาของมนุษย์มัจฉาสักตนก็ยังไม่มีให้เห็น ช่างอัปโชคเสียจริง! นี่มันความซวยอันใดกัน!”

เหน็ดเหนื่อยติดต่อกันมานานหลายวัน มีผู้คนที่หงุดหงิดมากแล้วอยู่ไม่น้อย

อากาศกลางฤดูร้อนในท้องทะเล มีแต่ลมชื้นๆหนักๆอยู่ตลอด พอสูบเข้าคอไปนานๆ ก็รู้สึกว่าเหนอะหนะ ไม่สบายไปหมด

“จะรีบร้อนไปทำไม แค่จับได้สักตัวก็จะมีเงินพอใช้ไปทั้งชีวิต นี่มันย่อมต้องใช้ความอดทนรอคอยอยู่แล้ว”

บนเรือมีเสียงพึมพำขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย แม้เรือจะโคลงเคลงไปมา แต่ทุกลำก็ยังคงมุ่งหน้าไปทางทะเลลึก

ฟังมาว่ามนุษย์มัจฉาตัวนั้นถูกจับมาได้ในยามกลางดึกเช่นนี้นี่เอง

พอคิดว่าขอแค่จับได้สักตัวก็พอแล้ว ผู้คนต่างก็พยายามอดทนเอาไว้ มุ่งหน้าพายเรือกันต่อไป

กระทั่งเสื้อผ้าเปียกชื้นลีบติดตัว

คลื่นที่มากระแทกกับเรือยิ่งรุนแรงกว่าเดิม เบื้องหน้ามีแต่ความดำมืดอยู่ตลอด เหมือนกับหลงทางอยู่ในหมอกหนา ที่เป็นดังปากขนาดยักษ์ของปีศาจที่กำลังกลืนกินผู้คนเข้าไป

ท่ามกลางหมอกทึบนั้น บนก้อนหินสีดำขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่เหนือน้ำ มีเงาร่างที่งดงามร่างหนึ่ง

ทั้งผ่ายผอม และเหยียดยาว

เงาร่างของคนผู้นั้นนั่งอยู่บนก้อนหิน ดวงตาทั้งสอง มองผ่านหมอกที่หนาทึบ จับจ้องไปยังเรือหาปลาที่ยิ่งทียิ่งเข้ามาใกล้

ครู่ต่อมา ก็ได้ยินเสียงเพลงที่ไพเราะจับใจลอยออกมาจากหมอกหนากลุ่มนั้น

 

 

…………………………

ตอนต่อไป “เรื่องในอดีตของชือหลี”