ในที่สุดเส้นหมี่ก็ถูกดลธีลากตัวออกไปจากห้องผู้ป่วย
“คุณนาย คุณนายท่านเพิ่งจะเสียไป ตอนนี้ท่านประธานอารมณ์ยังคงไม่คงที่ เขาไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายคุณอย่างแน่นอน ก็คือเพราะเรื่องเมื่อเช้านี้ มันกะทันหันกับเขาจนเกินไป คุณอย่าคิดมาก รอให้เขาใจเย็นลงก่อน”
หลังจากดลธีพาเธอออกมาอยู่ด้านนอกแล้ว เห็นเธอยังคงร้องไห้ไม่หยุด ดังนั้นจึงอธิบายให้เธอฟัง
เส้นหมี่สั่นไปทั้งตัว ทั้งสองมือกำกระเป๋าไว้แน่น และบีบนิ้วจิกเข้าไปในฝ่ามือของเธอ แม้แต่เส้นเอ็นก็ดูเหมือนจะขาดแล้ว
เธอไม่เคยมีความหวาดกลัวเท่านี้มาก่อน
และก็ไม่เคยเสียใจขนาดนี้มาก่อนด้วย
แต่ หลังจากที่ได้ยินคำพูดนี้ของบอดี้การ์ด อย่างน้อย เธอก็ยังคงสบายใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
“ฉัน….ฉันไม่เคยคิดจะทำร้ายเขาจริงๆนะ ยิ่งไม่มีความคิดที่จะให้เกิดเรื่องขึ้นกับแม่ของเขา”
“ผมรู้ เพียงแค่ เรื่องของเมื่อคืนมันรุนแรงกับเขาจนเกินไป เดิมทีคุณนายท่านก็บ้าๆบอๆ ในก้นลึกของหัวใจท่านประธาน ก่อนที่จะเกิดเรื่องนี้ขึ้น อาจจะ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนแม่ลูกค่อนข้างบอบบาง”
“แต่ เรื่องบนรถไฟขบวนนั้นเมื่อคืน เมื่อคนตระกูลเทวเทพจะทำร้ายท่านประธาน เธอกลับมาบังตัวเขาไว้ด้านหน้าโดยไม่ลังเลอะไรเลย! ถึงต่อให้เป็นใคร ใครก็รับเรื่องแบบนี้ไม่ได้หรอกครับ”
ตอนที่ดลธีพูดถึงเรื่องนี้ น้ำเสียงของเขาฟังดูหนักแน่นมาก
ราวกับว่ามีหินก้อนใหญ่ทับเขาไว้ จนแทบจะหายใจไม่ออก
น้ำตาจากดวงตาทั้งสองข้างของเส้นหมี่ก็ร่วงลงมาอีกครั้ง
สักพัก เธอถึงจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสะอื้น : “ดังนั้น ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขาเป็นใคร?”
ดลธีพยักหน้า : “ตอนแรกยังไม่รู้ จนกระทั่งตอนหลังที่รู้ว่าคุณนายท่านถูกคนตระกูลเทวเทพพาตัวไป เขาก็ตามไปจนถึงบนรถไฟขบวนนั้น เขาถึงจะได้เข้าใจ”
“……”
ความเสียใจราวกับถูกมีกรีดเชือดก็กลับมาอีกครั้ง เธอยืนก้มหน้าอยู่ตรงนั้น อารมณ์ดิ่งลงเหวอีกครั้ง
“ฉัน….ฉันก็ไม่ตั้งใจจะปิดบังเขา ตอนที่ฉันโดนเนติจับขังไว้ที่เจเปน เธอบอกฉันเรื่องนี้ เวลานั้น….เธอขู่บังคับฉันทุกวันว่า จะพูดฐานะที่แท้จริงของเขาออกมา เปิดเผยแล้ว จะทำให้เขากลายเป็นลูกเก็บที่จะถูกคนทั้งโลกหัวเราะเยาะ คุณว่า ฉันจะยังกล้าบอกเขาเรื่องนี้ไหม?”
เธอบอกความจริงนี้กับบอดี้การ์ดคนนี้ด้วยน้ำตาไหลนองเต็มหน้า
นานมากแล้ว ที่ความลับนี้เป็นเหมือนระเบิดลูกหนึ่งที่ถูกฝังอยู่ในใจเธอ มันคอยข่มขู่เธออยู่ตลอดเวลา ให้เธอป้องกันเอาไว้ อันที่จริงเธอช่างหมดแรงแล้วจริงๆ
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พูดออกมาแล้ว ในใจก็รู้สึกสบายขึ้นมากแล้ว
ดลธีฟังจบ ก็ตกใจไปครู่หนึ่ง!
ผู้หญิงคนนี้ ที่แท้คือรู้มาตั้งนานแล้ว?
ถ้าอย่างนั้น ในช่วงเวลานี้ เธอเองก็แบกรับไว้ไม่น้อย อีกทั้ง เกี่ยวกับการตายของคุณนายท่าน ก็ไม่ควรจะโทษเธอจริงๆ สิ่งที่เธอทำทั้งหมด ก็ไม่ใช่เพื่อท่านประธานเหรอ?
ดลธีกลับมาที่ห้องผู้ป่วยอีกครั้ง
หลังจากที่ระบายความโกรธออกไปแล้วเมื่อสักครู่ ในห้องผู้ป่วยนี้ก็เงียบขึ้นมาอีกครั้ง
เพียงแค่ หลังจากตอนที่ดลธีเข้ามาแล้ว พบว่าคนที่อยู่ห้องนี้ ท่าทียิ่งแย่กว่า ตอนที่เขาออกไปเสียอีก เขานั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้น แต่ดูเหมือนว่า คนหนึ่งคนจะถูกสาปแข็งไว้
เขาจ้องมองไปที่ศพบนเตียงคนไข้ด้วยสายตาอันว่างเปล่า สีหน้าซีดขาว และไม่ตอบสนองต่อสิ่งใดรอบตัว
“ท่านประธาน….”
ดลธีมองเห็นฉากนี้ ในใจก็รู้สึกเสียใจราวถูกมีดกรีด
เขาเดินเข้ามา ยืนอยู่ที่ด้านหลังของเขา : “คุณนายเธอก็ไม่ได้ตั้งใจ เธอไม่รู้ว่าการไม่บอกคุณ จะทำให้คุณนายท่านเกิดเรื่อง คุณอย่าโทษเธอเลยครับ”
เขาอยากจะเกลี้ยกล่อมเขา อย่าให้เขาโทษเด็กสาวคนนั้น
แต่ เขาพูดจบลงแล้ว คนคนนี้ยังคงไม่มีการตอบสนองใดๆ
เขาก้มศีรษะลงจ้องมองไปยังเตียงคนไข้นี้ เหมือนกับว่าเป็นหุ่นยนต์ไร้ชีวิตตัวหนึ่ง แลดูจนน่ากลัว
นี่คงเป็นครั้งแรกของเขา ที่ได้เห็นสภาพแบบนี้ของเขา
ดูเหมือนว่า นี่ก็คือเลือดข้นกว่าน้ำ เมื่อก่อน ตอนที่คุณท่านกมลภพเสีย เขาก็ไม่เห็นเขาเป็นแบบนี้
สุดท้าย ดลธีก็ทำได้เพียงเดินออกไปอย่างจำใจ เตรียมที่จะไปปรึกษากับทางโรงพยาบาล ต่อไปจะจัดการเกี่ยวกับเรื่องศพอย่างไร
เวลาหนึ่งทุ่ม หลังจากที่ดิลกได้รู้ข่าวเรื่องนี้ ก็รีบมาอย่างล้มลุกคลุกคลาน
“รัก ฉันได้ยินข่าวแม่ของเธอ เขา……”
เขามาถึงห้องผู้ป่วยนี้แล้ว เพียงถามได้แค่ครึ่งประโยค ดวงตาก็มองไปเห็นร่างไร้วิญญาณของภารานินที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้นั้น ก็พูดต่อไม่ออกแล้ว
ก็มีเพียงแค่น้ำตาแห่งความเศร้าเสียใจที่ไหลร่วงลม
ม่านตาของแสนรักค่อยๆ ลืมขึ้น
รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย หลังจากที่ภารานินถูกนำตัวกลับมา ผู้ชายที่แทบไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรเลยมาทั้งช่วงบ่าย ยกเว้นพูดออกไปไม่กี่ประโยคตอนที่เส้นหมี่เข้ามาแล้ว ก็ไม่อ้าปากอีกเลย ตอนนี้ เขากลับค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาดู
ดลธีที่ไม่กล้าออกไปไหนก็จับสัมผัสด้วยความไวได้แล้ว
“ท่านประธาน?”
“นายออกไปก่อน….” ผู้ชายที่นั่งนิ่งมาทั้งช่วงบ่าย ในที่สุดก็ยอมเอ่ยปากแล้ว น้ำเสียงของเขาแหบแห้ง ให้ดลธีออกไปก่อน
ดลธีก็ก้าวเท้าออกไปจากห้องผู้ป่วยในทันที
และเขาก็ปิดประตูบานนี้ไว้ด้วย
ดิลกที่ยังคงไม่สามารถหลุดออกจากความเจ็บปวดแสนเศร้านี้ได้เลย เหตุนี้ จึงไม่ทันสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
“เป็นความผิดของผม ผมไม่ควรพาคุณไปเดินเล่น ผมยิ่งไม่ควรปล่อยให้คนอื่นมาถ่ายรูปคุณหนูนา ทั้งหมดเป็นความผิดของ พี่ดิลก”
ดิลกเดินเข้ามาที่หน้าเตียงคนไข้นี้ทีละก้าว คนที่แม้แต่ต้องถูกจำคุกยังไม่เคยร้องไห้ ในเวลานี้ น้ำตาของเขาไหลอาบหน้าราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง
แสนรักยังคงไม่พูดอะไรเลย
จนกระทั่ง เขาเห็นดิลกยื่นมือออกไปอย่างสั่นๆ เตรียมที่จะไปเปิดผ้าขาวที่คลุมไว้บนหน้าของภารานิน