ตอนที่ 617 หนานกงเจี๋ยปรากฏตัวอีกครั้ง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

หานชางยังคงแสดงสีหน้าภาคภูมิใจดั่งผู้ชนะราวกับทุกอย่างอยู่ในกำมือของตน

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา อิทธิพลและอำนาจของเขาแผ่ขยายไปทั่วทั้งตระกูลหาน ก่อนหน้านี้เคยมีคนหลายคนที่ไม่พอใจกับการที่เขาขึ้นเป็นผู้นำตระกูล และก็มีบางคนที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งของเขาอย่างเต็มใจ ทว่าคนเหล่านั้นได้ถูกกำราบหรือขับไล่ออกจากตระกูลหานไปนานแล้ว

ในบรรดาคนตระกูลหานในที่แห่งนี้ นอกเหนือจากกลุ่มของหานหยวนเพียงไม่กี่คนและผู้อาวุโสทรงพลังทั้งสี่ที่ทำหน้าที่พิทักษ์หอคอยต้องห้าม คนอื่น ๆ ที่เหลือเกือบทั้งหมดก็เป็นคนของเขา

และเนื่องด้วยกฎระเบียบของตระกูลหาน ผู้อาวุโสคุ้มกันหอคอยต้องห้ามทั้งสี่จะรับคำสั่งได้เพียงจากผู้นำตระกูลหานเท่านั้นและไม่สามารถฝ่าฝืนได้ เพราะเหตุนั้น ต่อให้ทั้งสี่จะไม่พอใจกับผู้นำตระกูลผู้นี้ พวกเขาก็ไม่สามารถคิดละเมิดหรือฝ่าฝืนกฎของตระกูลได้

“ฮ่า ๆ ๆ หานชาง ตำแหน่งผู้นำตระกูลของเจ้าได้มาโดยวิธีการที่ไม่เหมาะสมตั้งแต่ต้น ตำแหน่งผู้นำที่แท้จริงควรสืบทอดไปยังหานซวนหยวน ทว่าจู่ ๆ เจ้ากลับได้มันมาครอง จดหมายสั่งเสียของผู้นำตระกูลคนก่อนระบุอย่างชัดเจนว่าใครควรได้รับตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไป ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่ผู้อาวุโสทั้งสี่จะต้องฟังคำสั่งของเจ้าอีกต่อไป”

ทันใดนั้น ฉินอวี้โม่ก็หยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม แม้เวลานี้ดูเหมือนนางตกเป็นตัวประกันของหานชาง ทว่าทุกอย่างก็ล้วนเป็นสิ่งที่นางเตรียมการไว้แล้วและไม่มีเรื่องใดเหนือความคาดหมาย

“เป็นไปได้อย่างไร ?! ตอนนั้นข้าทำลายจดหมายฉบับนั้นไปแล้ว !”

เมื่อเห็นจดหมายเก่า ๆ ในมือของฉินอวี้โม่ หานชางก็โพล่งออกไปทันที อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ลั่นวาจาออกไป เขาก็ตระหนักได้ถึงความผิดพลาดและสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก

“ฉินอวี้โม่ เจ้ากล้าหลอกข้ารึ ?!”

หานชางจ้องหน้าฉินอวี้โม่ด้วยแววตาดุดันมุ่งร้ายทันทีและแผ่จิตสังหารแรงกล้ามากขึ้นเรื่อย ๆ เดิมทีเขาคิดว่าตนควบคุมฉินอวี้โม่ให้อยู่ในกำมือได้แล้ว ไม่คิดเลยว่านางจะชาญฉลาดเช่นนี้ หากปล่อยให้สตรีผู้นี้ได้มีชีวิตอยู่ต่อไป มันจะนำพาหายนะครั้งใหญ่มาสู่ตัวเขาอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น จิตสังหารของหานชางที่มีต่อฉินอวี้โม่ในตอนนี้เกินกว่าจิตสังหารที่มีต่อหานโม่ฉือเสียอีก

“จิ๊จิ๊จิ๊ ก็จริงอย่างที่เจ้าว่า ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าได้เป็นผู้นำตระกูลหานในตอนนั้น คาดว่าเจ้าคงจะทำลายจดหมายสั่งเสียของผู้นำตระกูลคนก่อนและฉวยโอกาสนั้นกำจัดคู่แข่งก่อนสวมรอยรับตำแหน่งนั้นแทน !”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเยือกเย็น เดิมทีนางต้องการหยิบม้วนกระดาษเปล่า ๆ ขึ้นมาเท่านั้น นางเพียงนึกถึงความเป็นไปได้บางอย่างและต้องการลองเชิงหานชางดู ไม่คิดเลยว่าหานชางผู้นี้จะสับสนและคล้อยตามจนถูกนางหลอกได้สำเร็จ

“หานชาง เจ้าฆ่าท่านพ่อจริง ๆ !”

หานหยวนมองหานชางด้วยแววตาโกรธแค้นและจิตสังหารแผ่ออกไปอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ในตอนนั้น จู่ ๆ อดีตผู้นำตระกูลหานก็ป่วยหนักจนล้มตายไปอย่างกะทันหัน หานหยวนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสถานการณ์นั้นมาโดยตลอดและเชื่อว่ามันจะต้องเกี่ยวข้องกับหานชางอย่างแน่นอน เพียงแต่เขาไม่เคยมีหลักฐานที่แน่ชัดเป็นเครื่องยืนยัน

เมื่อประมาณสามสิบปีก่อน ผู้นำตระกูลหานคนก่อนเพิ่งบรรลุขอบเขตนภาเซียน ไม่ว่าเป็นสมรรถภาพทางกายหรือความแข็งแกร่ง เขาก็อยู่ในสภาวะสูงสุด ยิ่งไปกว่านั้น หานหยวนจำได้ดีว่าผู้นำตระกูลหานคนก่อนไม่มีความขัดแย้งบาดหมางกับศัตรูใดและไม่มีโรคภัยไข้เจ็บที่รุนแรง ทว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์เรื่องหานโม่ฉือและหานซวนหยวน จู่ ๆ เขาก็เสียชีวิตอย่างกะทันหันภายในเวลาเพียงครึ่งปีเท่านั้น

ตอนนี้ในที่สุดหานหยวนก็มั่นใจได้ว่าเรื่องนี้จะต้องเป็นฝีมือของหานชางจริง ๆ และในปีเดียวกันนั้น หานชางก็ต้องร่วมมือกับขุมกำลังมารร้ายและขุมกำลังอื่น ๆ แล้วเป็นแน่

“ฮ่า ๆ ๆ ต่อให้รู้ว่าเรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับข้าแล้วอย่างไรกัน ? หากมิใช่เพราะอดีตผู้นำปฏิเสธไม่ยอมยกตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไปให้ข้า ข้าจะคิดทำเรื่องโหดร้ายและฆ่าเขาเพื่อเหตุใด ? ทุกอย่างเป็นความผิดของเขาแต่เพียงผู้เดียว มิใช่ความผิดของใครอื่น !”

เวลานี้ หานชางไม่คิดปิดบังสิ่งใดอีกต่อไป เขาหัวเราะลั่นอย่างบ้าคลั่งอย่างไม่เคารพต่ออดีตผู้นำตระกูลหานซึ่งเป็นบิดาผู้ล่วงลับของตน

“เจ้ามันน่ารังเกียจยิ่งนัก !”

หานซวนหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว ความเป็นพี่น้องที่เขามีต่อหานชางสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อนานมาแล้ว เวลานี้เขาเพียงเกลียดตัวเองที่ตอนนั้นเขาแสดงความเมตตากับหานชางมากเกินไป หากเขาฟังคำเตือนของหลาย ๆ คนให้เนรเทศหานชางออกจากตระกูลหาน เรื่องราววุ่นวายทั้งหมดก็คงจะไม่เกิดขึ้น

“ฮ่า ๆ ๆ พี่ใหญ่ของข้า เมื่อสามสิบปีก่อน เจ้าก็สูญเสียทุกอย่างและพ่ายแพ้ต่อเงื้อมมือข้า สามสิบปีต่อมา เจ้าก็ยังด้อยกว่าข้าและจะพ่ายแพ้ต่อเงื้อมมือของข้าอีกเช่นเดิม หากตาเฒ่านั่นยังอยู่ มิอาจรู้เลยว่าเขาจะมีสีหน้าอย่างไรเมื่อเห็นสภาพของเจ้าในตอนนี้”

หลังจากหยุดชั่วคราว เขาก็กล่าวต่อ “อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องห่วงเลย เจ้าจะได้ไปอยู่กับเขาในไม่ช้า หวังว่าเขาจะยินดีกับการที่เจ้าตามไปอยู่ด้วย ฮ่า ๆ ๆ !”

หลังจากกล่าวจบ เขาก็อดหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอีกครั้งไม่ได้

“หนวกหูชะมัด !”

เมื่อได้ยินวาจาและเสียงหัวเราะราวกับเสียสติของหานชาง ฉินอวี้โม่ก็ชำเลืองมองเขาอย่างเหยียดหยามและกล่าวขึ้นเบาๆ

“เอ่อ…”

เสียงสบถอย่างหมดความอดทนของฉินอวี้โม่ทำให้หานชางชะงักไปเล็กน้อย

“จิ๊จิ๊จิ๊ ฉินอวี้โม่ ขนาดอยู่ในมือของข้าแล้วยังกล้าโอหังถึงเพียงนี้ คิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าอย่างนั้นรึ ?”

หานชางตวัดสายตามองฉินอวี้โม่และกล่าวข่มขู่ ไม่คิดเลยว่าสตรีผู้นี้จะยังยโสโอหังอยู่ได้ นางรนตาที่ตายเสียแล้ว !

“หึ ๆ เจ้าคิดว่าเจ้ามีปัญญาฆ่าข้าได้จริง ๆ รึ ?”

ฉินอวี้โม่หัวเราะเบา ๆ ในลำคออย่างเยือกเย็นจนหานชางและหลงจื้อที่อยู่ถัดจากเขาเป็นกังวลขึ้นมาทันที

“แย่แล้ว ! เราลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร นางมีมิติที่สองอยู่กับตัว !”

จู่ ๆ หานซื่อก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ทันทีและกล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล

ทว่ากว่าที่เขาจะนึกขึ้นมาได้ มันก็สายเกินไปเสียแล้ว ฉินอวี้โม่เข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวและหายวับไปต่อหน้าต่อตาหานชางอย่างรวดเร็ว

“บัดซบ !”

หานชางสบถเสียงดังทันทีและพลังวิญญาณของเขาก็แผ่ออกไปรอบตัวเพื่อพยายามตามหาฉินอวี้โม่

“กำลังมองหาข้าอยู่รึ ?”

น้ำเสียงที่ฟังดูเยาะเย้ยดังขึ้นในหูของหานชาง และอึดใจต่อมา ฉินอวี้โม่ก็ปรากฏกายถัดจากหานโม่ฉือด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง

“เยี่ยม เยี่ยมจริง ๆ ! คู่ควรกับการเป็นผู้สืบทอดกายเทพมายาจริง ๆ ! ไม่แปลกที่จะมีความสามารถอยู่บ้าง”

หลังจากปรับสีหน้าอารมณ์เล็กน้อย สีหน้าของหานชางก็ค่อย ๆ กลับเป็นความนิ่งเฉยตามเดิม ต้องยอมรับเลยว่าเขาประเมินความสามารถของฉินอวี้โม่ต่ำเกินไปจึงถูกนางหลอกได้สำเร็จเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม ต่อให้ไม่มีตัวประกันอยู่กับตัว วันนี้พวกเขาก็หมายมั่นที่จะเอาชนะให้ได้ !

“ผู้อาวุโสหนานกง หากท่านยังไม่แสดงตัวออกมา เกรงว่าเราคงจะรับมือกับสถานการณ์นี้ต่อไปไม่ได้ !”

ขณะตะโกนออกไปอย่างลอย ๆ ไร้จุดหมาย สีหน้าของหานชางก็ไม่บ่งบอกถึงความตื่นตระหนกใด ๆ

“เหอะ ไม่แปลกใจเลยที่ท่านผู้นำบอกให้ข้ามาที่นี่ด้วยตัวเอง ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมิใช่จอมยุทธ์ที่จะรับมือได้ง่ายเลยจริง ๆ !”

ทันใดนั้น น้ำเสียงมุ่งร้ายเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหูของทุกคนก่อนที่บุรุษชราสวมเสื้อคลุมสีดำสนิทจะโผล่ออกมาอย่างกะทันหันและยืนอยู่ข้างกายหานชาง

“ฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือ เราได้พบกันอีกครั้งแล้ว !”

เมื่อมองไปที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ แววตาของหนานกงเจี๋ยก็ฉายแววยั่วยุอย่างเห็นได้ชัด

คราก่อนในป่าใบไม้เขียวซึ่งเป็นทางผ่านไปสู่นครเวหา เขาต้องเผชิญความอัปยศอดสูเพราะคนทั้งสอง หากมิใช่เพราะผู้นำฝ่ายมารเข้ามาช่วยได้ทัน เขาก็อาจต้องตายอยู่ที่นั่น ตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ เขาได้เก็บตัวเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของตนอย่างจริงจังและเวลานี้เขาแตกต่างจากในตอนนั้นมาก เขามั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าจะเอาคืนฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือได้อย่างสาสมและทำให้ทั้งสองตระหนักได้ว่าเขาหนานกงเจี๋ยมิใช่คนใจบุญให้อภัยใครได้ง่าย !

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็คนขี้แพ้นี่เอง ทำไมกัน ? ผู้นำที่เอาแต่มุดอยู่ในกระดองเต่าของเจ้าส่งเจ้ามาตายอีกแล้วรึ ?”

เมื่อเห็นผู้มาใหม่ ฉินอวี้โม่ก็กล่าวอย่างขบขันและเย้ยหยัน คราก่อนหนานกงเจี๋ยหลบหนีไปได้ ทว่านางไม่คิดเลยว่าเขาจะกล้าปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้านางอีก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจะทำให้แน่ใจว่าเขาจะต้องจบชีวิตอยู่ที่นี่และกลายเป็นผีสางเฝ้าอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล

“ฉินอวี้โม่ เจ้ายังยโสโอหังไม่เปลี่ยนแปลง ตอนนั้นข้าเพียงประมาทเกินไปจึงเสียท่าให้กับเจ้า ทว่าครั้งนี้เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าเจ้าและหานโม่ฉือจะเป็นคู่มือให้กับข้าได้ ?”

หนานกงเจี๋ยพยายามอย่างที่สุดเพื่อควบคุมโทสะในหัวใจขณะมองฉินอวี้โม่และแค่นเสียงในลำคออย่างเย็นชา

“วันนี้ข้าจะจับตัวเจ้ากลับไปให้กับท่านผู้นำและยึดครองกายเทพมายาของเจ้าเสีย จากนั้นข้าก็จะฆ่าหานโม่ฉือหวานใจของเจ้ารวมถึงทุกคนที่เจ้ารัก เจ้าจะได้ตระหนักถึงชะตากรรมของผู้ที่ริอาจทำให้ข้าหนานกงเจี๋ยผู้นี้ไม่พอใจ !”

หลังจากกล่าวจบ พลังประหลาดพิกลก็แผ่จากร่างของเขาพร้อมกับพลังงานสีดำทะมึนค่อย ๆ แผ่กระจายไปทั่วและปกคลุมทุกคนทั่วทั้งบริเวณนี้ !

“นี่มันอะไรกัน เหตุใดจู่ ๆ พลังมายาของข้าจึงหายไปจนไม่มีเหลือเช่นนี้ ?!”

ใครคนหนึ่งถูกปกคลุมด้วยกลุ่มอากาศสีดำทะมึนและสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน

ทันทีที่พลังทะมึนปกคลุม เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าพลังทั้งหมดในร่างกายของตนหายวับไปจนหมดราวกับเปลี่ยนกลายเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง เขาเป็นจอมยุทธ์ในขอบเขตเซียนขั้นเก้า แม้ว่ามิใช่ยอดฝีมือระดับสูง ทว่าเขาก็มิใช่จอมยุทธ์ที่อ่อนแออย่างแน่นอน !

“เหมือนว่าพลังของข้าจะถูกบางอย่างผนึกไว้ แม้ข้าจะต้องการขยับเขยื้อนก็ทำไม่ได้ด้วยซ้ำ !”

ใครอีกคนตื่นตระหนกและกล่าวออกไปเช่นกัน สำหรับจอมยุทธ์ผู้ฝึกวิชา เมื่อพลังมายาในร่างกายสูญหายไปอย่างสิ้นเชิง นั่นก็คือการกลายเป็นคนธรรมดาทั่วไป ไม่ว่าใครก็ย่อมรู้สึกไม่ดีอย่างที่สุด

กลุ่มอากาศสีดำค่อย ๆ แผ่ไปถึงฉินอวี้โม่และปกคลุมทุกคนในบริเวณนั้นอย่างช้า ๆ

หานหยวนเป็นคนแรกในกลุ่มฉินอวี้โม่ที่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง พลังมายาในร่างของเขาราวกับถูกผนึกด้วยบางสิ่งบางอย่างจนไม่อาจไหลเวียนออกมาได้เลย และเวลานี้ร่างของเขาค่อย ๆ แข็งทื่อจนขยับเขยื้อนได้ยากลำบาก

“มันเป็นพลังที่ประหลาดยิ่งนัก ไม่เหมือนกับพลังกัดกร่อนหรือพลังความมืดที่ฝ่ายมารบ่มเพาะฝึกฝนมา”

หานซวนหยวนขมวดคิ้วมุ่นทันที เขาเคยประจันหน้ากับคนจากฝ่ายมารมาก่อนและทราบถึงพลังที่พวกเขาฝึกฝนเป็นอย่างดี พลังที่กำลังเผชิญในตอนนี้มิใช่พลังเหล่านั้นที่เขาเคยรู้จัก มันแปลกประหลาดยิ่งกว่าพลังความมืดและพลังกัดกร่อนเสียอีก

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้หานโม่ฉือมิได้รับผลกระทบใด ๆ จากพลังประหลาดนี้ เขาเป็นผู้ที่ฝึกพลังโกลาหลซึ่งเป็นการรวมตัวของหลายธาตุ ไม่ว่าจะเป็นพลังใด เขาก็สามารถดูดซับและนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของตนเองได้ เพราะเหตุนั้นพลังประหลาดรอบตัวจึงไม่ส่งผลใดต่อตัวเขา

ในขณะเดียวกัน แม้ว่าฉินอวี้โม่จะรู้สึกสะอิดสะเอียนเล็กน้อย ทว่าพลังในร่างของนางก็ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก กลุ่มพลังสีดำทะมึนประหลาดกลางอากาศนั่นทำให้นางรู้สึกอึดอัดยิ่งนักและนางรู้สึกราวกับว่าตนเองเคยได้เผชิญกับพลังเช่นนี้มาก่อน

.