ตอนที่ 618 เรื่องน่าประหลาดใจจากเหล่าอสูร

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

“ฮ่า ๆ ๆ นี่คือพลังกลืนกินที่ท่านผู้นำประทานให้ข้าด้วยตัวเองหลังจากบุปผาแห่งความมืดเติบโตขึ้น กลุ่มหมอกนี้คือ ‘หมอกกลืนกิน’ หากขจัดมันออกไปไม่ได้ พลังมายาในร่างของพวกเจ้าจะถูกกลืนกินอย่างช้า ๆ และมันจะไม่หยุดกลืนกินจนกว่าพลังมายาในร่างของพวกเจ้าจะหมดสิ้นไป ฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือ อยากเห็นนักว่าพวกเจ้าจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร !”

หนานกงเจี๋ยหัวเราะอย่างสาแก่ใจ นี่คือพลังลึกลับที่ฝ่ายมารได้มาจากบุปผาแห่งความมืดซึ่งถูกเรียกว่า ‘พลังกลืนกิน’ มันเป็นพลังใหม่ที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานรวมกันของพลังกัดกร่อนและพลังความมืดซึ่งถือว่าน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

ผู้นำฝ่ายมารได้ทุ่มเทพยายามอย่างมากในการศึกษาค้นคว้าพลังที่มหาศาลนี้และหลังจากนั้นเขาก็ได้ถ่ายทอดวิชานี้ให้กับหนานกงเจี๋ยพอสมควร

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเพียงมองหน้ากันก่อนพยักศีรษะอย่างเข้าใจตรงกัน

บุปผาแห่งความมืดเป็นสิ่งที่ประหลาดอย่างแท้จริง เห็นทีทั้งสองต้องตามหาต้นโพธิ์หรือบุปผาแห่งแสงให้พบโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้น เมื่อบุปผาแห่งความมืดเบ่งบานเต็มที่ พวกนางจะไม่สามารถรับมือกับฝ่ายมารได้อีกต่อไป

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไม่กล่าวสิ่งใด ทว่ากำลังคิดหาวิธีการตอบโต้อยู่ในใจอย่างรวดเร็ว พลังกลืนกินนี้แปลกประหลาดยากเกินเข้าใจ เมื่อครู่นี้ฉินอวี้โม่ก็พยายามวางข่ายอาคมหลายประเภท แต่ก็พบว่าไม่มีทางทำได้สำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้น หานหยวนและคนอื่น ๆ ก็เริ่มรู้สึกว่าพลังของตนหายไปอย่างรวดเร็ว

“ทุก ๆ ท่าน เราถือโอกาสนี้กำจัดคนพวกนี้ภายในคราวเดียวเถอะ เมื่อเราเอาชนะทุกคนได้สำเร็จและได้รับข่าวดีจากที่อื่น ๆ แผนการของเราก็จะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี จากนั้นเราจะควบคุมทั้งสี่ตระกูลและร่วมมือกันเพื่อเปิดฉากโจมตีบรรดาขุมกำลังอื่น ๆ ในดินแดน เมื่อถึงตอนนั้น การที่จะยึดครองดินแดนเทพมายาก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม !”

หานชางไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อยและเขาคิดว่าน่าจะเป็นเพราะการควบคุมของหนานกงเจี๋ย เหล่าสหายฝ่ายเดียวกับเขาก็ไม่ได้รับผลกระทบเช่นกันและพลังกลืนกินนี้ดูจะส่งผลกระทบต่อฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น

นอกเหนือจากพวกเขาเหล่านี้ก็ยังมีอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้รับผลกระทบจากพลังประหลาดนี้ และคนผู้นั้นก็คือสวีไหลบุรุษผู้ลึกลับจากพิภพเหนือสวรรค์นั่นเอง

สวีไหลมองไปที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือขณะขมวดคิ้วเล็กน้อยโดยไม่อาจทราบได้ว่าเขากำลังสับสนหรือลังเลสิ่งใด เขามีวิธีขจัดพลังดังกล่าวออกไป เพียงแต่เขาไม่มั่นใจว่าควรลงมือทำสิ่งใดหรือไม่

พวกเขาพิภพเหนือสวรรค์เป็นขุมกำลังที่ประกาศตัวอย่างชัดเจนว่าจะไม่แทรกแซงหรือยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของดินแดนเทพมายา เพียงแต่เมื่อครั้งในอดีต พวกเขากลับยื่นมือเข้าไปแทรกแซงเรื่องของหานโม่ฉือ หากมิใช่เพราะการกระทำนั้น ตระกูลหานก็คงไม่เผชิญกับสถานการณ์เลวร้ายทั้งหมดนี้และสี่ตระกูลลับก็คงไม่ต้องต่อสู้กับหายนะครั้งใหญ่

เพราะเหตุนั้น สวีไหลจึงลังเลว่าเขาควรยื่นมือเข้าไปช่วยหรือไม่

หากเขาไม่ลงมือทำสิ่งใดและเพียงมองดูเฉย ๆ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็อาจจะรับมือกับหนานกงเจี๋ยผู้นี้มิได้ เมื่อถึงตอนนั้น ตระกูลลับทั้งสี่ก็จะตกอยู่ในการควบคุมของขุมกำลังมารร้ายซึ่งจะส่งผลเลวร้ายต่อทั้งดินแดนเทพมายา

หลังจากไตร่ตรองพักใหญ่ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะลงมือ

ทว่าเมื่อเขากำลังจะลงมือนั้น จู่ ๆ สวีไหลก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนอย่างรุนแรงที่ผิดปกติ มือของเขาที่กำลังขยับเล็กน้อยหยุดชะงักลงและสายตาจับจ้องไปยังทิศทางของความผันผวนดังกล่าว…และนั่นคือทิศทางของฉินอวี้โม่

ก่อนหน้านี้ในขณะที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือกำลังคิดหาวิธีตอบโต้อยู่ในใจนั้น มารยาและอสูรมายาตัวอื่น ๆ ในคฤหาสน์เฟิงหัวก็กล่าวแทรกขึ้นมาพร้อมกันโดยบอกว่าพวกมันมีวิธีการรับมืออยู่

“ท่านแม่ ปล่อยให้พวกเราจัดการเอง ก่อนหน้านี้เราเคยกล่าวไว้แล้วว่าอยากจะมอบความประหลาดใจให้กับท่าน ตอนนี้ท่านแม่เพียงรอรับชมเรื่องที่น่าตื่นเต้นที่พวกเราเตรียมไว้ให้เถอะ”

หานอวี้กล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้างและอสูรมายาทั้งหลายค่อย ๆ ปรากฏตัวตรงหน้าฉินอวี้โม่ตาม ๆ กัน

เสี่ยวเฮย เสี่ยวจิน เสี่ยวเยี่ย หานอวี้ เสี่ยวจิ่ว ม่อเสีย หงส์แดงและอสูรอื่น ๆ ปรากฏกายถัดจากฉินอวี้โม่

พวกมันส่งยิ้มกว้างให้กับผู้เป็นนายรวมถึงทักทายหานโม่ฉือก่อนมองหน้ากันเองอย่างเข้าใจตรงกัน จากนั้นแสงสว่างเลือนรางก็แผ่ออกจากร่างของพวกมัน

ภายในเวลาเพียงชั่วขณะ ลำแสงเหล่านั้นก็บรรจบรวมตัวกันและร่างของอสูรทั้งหมดค่อย ๆ สลายหายไป จากนั้นแสงสว่างที่เจิดจ้าก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศและแม้แต่หมอกกลืนกินที่ทรงพลังนั้นก็สลายหายไปเป็นปริมาณมาก

เมื่อแสงสว่างที่เจิดจ้าจางหายไป สิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาก็ปรากฏตรงหน้าฉินอวี้โม่และทุกคน

มันคืออสูรมายาขนาดยักษ์ที่สวมเกราะเหมือนมนุษย์แต่ก็ไม่ใช่มนุษย์และในมือของมันก็มีหอกเล่มยาวอยู่ มันมีรูปร่างสูงกว่าหนึ่งร้อยจั้งและมีขนาดมหึมาจนแทบบดบังท้องฟ้าทั่วทั้งบริเวณ

พลังอำนาจที่รุนแรงและทรงพลังอย่างเหนือธรรมชาติแผ่ออกมาจากร่างของมันจนทำให้หลายคนสั่นสะท้าน แรงกดดันที่แผ่ออกมาอย่างเลือนรางจากร่างของมันก็น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าจอมยุทธ์นภาเซียนเสียอีก และแม้แต่หานโม่ฉือก็ยังแอบตกตะลึงอยู่ในใจ

“ค่ายกลร้อยอสูร !”

เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน หานซวนหยวนก็ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เขาเป็นคนที่มากความรู้และประสบการณ์คนหนึ่ง ทว่าเพียงแค่อสูรมายานับร้อยตัวของฉินอวี้โม่ปรากฏขึ้นมาก็ทำให้เขาประหลาดใจมากแล้ว ตอนนี้การที่มีอสูรขนาดมหึมาปรากฏขึ้นมาก็ยิ่งทำให้เขาประหลาดใจมากกว่าเดิมเสียอีก

เขาจำได้ดีว่าเคยอ่านจากตำราโบราณว่าหากมีอสูรมายาจำนวนนับร้อยตัว มันก็เป็นไปได้ที่จะใช้ค่ายกลที่เรียกว่า ‘ค่ายกลร้อยอสูร’ เพื่อหลอมรวมและผสมผสานพวกมันเข้าด้วยกันจนกลายเป็นอสูรที่ทรงพลังหนึ่งเดียวซึ่งมีพลังเพิ่มขึ้นนับร้อยเท่าตัว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเคยอ่านจากในตำรา ทว่าเขาก็ไม่เคยพบไม่เคยเจอด้วยตัวเองมาก่อน ถึงอย่างไรแล้วการมีอสูรมายาในการปกครองนับร้อยตัวก็มิใช่เรื่องง่ายและการทำให้พวกมันหลอมรวมพลังเป็นหนึ่งเดียวก็ยากยิ่งกว่า

ธาตุทั้งห้าซึ่งก็คือธาตุทอง ธาตุไม้ ธาตุน้ำ ธาตุไฟและธาตุดินส่งผลกระทบเชื่อมโยงเป็นสายระโยงระยาง หากต้องการหลอมรวมอสูรที่มีคุณสมบัติธาตุที่หลากหลายและแตกต่างกันนั้น หากไม่บรรลุถึงระดับของความเชื่อมั่นและความไว้วางใจกันอย่างสมบูรณ์ มันก็ไม่มีทางที่จะใช้วิธีการนี้ได้

ไม่คิดเลยว่าวันนี้เขาจะได้เห็นค่ายกลร้อยอสูรในตำนานปรากฏตรงหน้าและมันยังเป็นอสูรของลูกสะใภ้ของเขาที่รวมพลังกันเพื่อแสดงทักษะวิชานี้

เวลานี้หานซวนหยวนถึงกับพูดไม่ออกและตื่นตายิ่งนัก ต้องกล่าวเลยว่าบุตรชายของเขาหาสะใภ้ที่เหนือธรรมดายิ่งกว่าตัวเขามาเสียอีก

ฉินอวี้โม่เองก็ประหลาดใจไม่น้อยเช่นกัน นางไม่เคยทราบเรื่องค่ายกลร้อยอสูรของเหล่าอสูรมายาของตนมาก่อน แม้เคยได้ยินเกี่ยวกับค่ายกลทำนองนี้มา นางก็ไม่เคยทดลองใช้มันเนื่องจากยุ่งวุ่นวายกับเรื่องอื่นมากเกินไป ไม่คิดเลยว่าเหล่าอสูรของนางจะรู้ใจและรวมพลังกันแสดง ‘เรื่องที่น่าประหลาดใจ’ ให้กับนางเช่นนี้

ด้วยอสูรมายาทรงพลังกลุ่มใหญ่ ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์นภาเซียนผู้แกร่งกล้า นางก็เชื่อว่าจะสามารถสู้ได้อย่างไม่เสียเปรียบ !

“นายหญิง พวกเราบังเอิญได้ทราบเกี่ยวกับค่ายกลร้อยอสูรนี้มาจากพี่ซิว พรสวรรค์ของเราไม่ดีเท่าพี่ซิว แม้มีนายหญิงที่ยอดเยี่ยมเหนือผู้ใดอย่างท่าน ทว่าเป็นเพราะพรสวรรค์ที่ไม่มากนัก อย่างมากเราก็บรรลุได้เพียงระดับพสุธาเซียนขั้นสูงสุด เพื่อให้ได้พัฒนาฝีมือดำเนินตามรอยเท้าของท่าน เราต้องหาวิธีอื่น เพราะเหตุนั้นเราจึงฝึกวิชาค่ายกลร้อยอสูรนี้ด้วยกันและฝึกฝนมันจนสำเร็จ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในภายภาคหน้า เราก็จะสามารถช่วยนายหญิงได้อย่างเต็มที่ !”

เสี่ยวเฮย—ยูนิคอร์นสีนิลซึ่งเป็นอสูรมายาตัวแรกที่ติดตามฉินอวี้โม่กล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก พรสวรรค์ของอสูรเหล่านี้ไม่ได้แกร่งกล้านัก หากมิใช่เพราะฉินอวี้โม่ แม้แต่ระดับเซียนเองพวกมันก็มิกล้าใฝ่ฝันถึง ทว่าการที่ได้ติดตามฉินอวี้โม่มาจนถึงทุกวันนี้รวมถึงพรสวรรค์ที่โดดเด่นบางส่วน พวกมันจึงบรรลุมาถึงระดับสูงสุดเท่าที่ทำได้ อย่างไรก็ตาม หากไม่หาทางพัฒนาพลังความแข็งแกร่งของตนเองให้มากขึ้น พวกมันก็จะไม่สามารถช่วยเหลือฉินอวี้โม่ได้อีกต่อไป

เสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ ต่างก็พึงพอใจกับการมีนายหญิงอย่างฉินอวี้โม่มากและการที่พวกมันไม่สามารถช่วยเหลือฉินอวี้โม่ได้ แน่นอนว่าพวกมันอึดอัดใจอย่างยิ่ง ในเวลานั้นเอง ซิวซึ่งอยู่ในสภาวะเก็บตัวก็ทราบถึงความคิดของพวกมันและสอนพวกมันเกี่ยวกับวิธีการฝึกฝนค่ายกลร้อยอสูรดังกล่าว

แม้ว่าวิธีการนี้จะฝึกฝนได้ยากอย่างยิ่ง ทว่าเพื่อให้มีพลังมากพอที่จะช่วยเหลือฉินอวี้โม่ได้ เสี่ยวเฮยและอสูรทั้งหมดจึงได้หมั่นฝึกฝนอย่างไม่ย่อท้อ

ด้วยการฝึกวิชาอย่างแข็งขันตั้งแต่โลกมายามาจนถึงดินแดนเทพมายาในตอนนี้ ในที่สุดพวกมันก็เข้าใจค่ายกลร้อยอสูรอย่างถ่องแท้และฝึกวิชานี้จนสำเร็จ วันนี้เป็นการต่อสู้ครั้งแรกและเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่พวกมันตั้งใจจะแสดงให้ฉินอวี้โม่ได้เห็นเป็นครั้งแรกเช่นกัน

แน่นอนว่าคำพูดของเสี่ยวเฮยทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก นางไม่เคยรังเกียจหรือดูถูกพรสวรรค์ของเสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ แม้แต่น้อย นางซาบซึ้งใจอย่างมากที่อสูรมายาทั้งหลายของตนเตรียมการมาเพื่อนางเช่นนี้ นางทราบดีว่าเสี่ยวเฮยและอสูรทุกตัวต้องเผชิญกับความยากลำบากและทุกข์ทนเพียงใดเพื่อฝึกฝนค่ายกลร้อยอสูรนี้จนสำเร็จ

“นายหญิง ตอนนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเรา เจ้าอัปลักษณ์นั่นตามรังควานพวกเรามาหลายครั้งหลายครา ครั้งนี้พวกเราจะต้องขุดหลุมฝังเขาไว้ที่นี่ให้จงได้ !”

เสี่ยวเฮยกล่าวพร้อมรอยยิ้มมั่นใจและความยิ่งใหญ่น่าเกรงขามของอสูรยักษ์นี้ก็ทำให้หานชาง หนานกงเจี๋ยและคนอื่น ๆ รู้สึกถึงแรงกดดันขึ้นมา

หานชาง หนานกงเจี๋ยและพวกต้องการถือโอกาสนี้ในการควบคุมทั้งสี่ตระกูลให้อยู่ในกำมือ ไม่คิดเลยว่าจู่ ๆ อสูรยักษ์เช่นนี้จะปรากฏขึ้นมาและความน่าสะพรึงกลัวของมันก็ทำให้สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก

“นี่มันคืออสูรอะไรกัน ?! เหตุใดมันจึงไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด ?”

หานชางมองดูอสูรมหึมาตรงหน้าด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เดิมทีเขาคิดว่าชัยชนะอยู่ในกำมือของตนแล้วและไม่คิดเลยว่าเรื่องไม่คาดฝันเช่นนี้จะเกิดขึ้น อสูรมหึมาตรงหน้าทำให้เขารู้สึกกลัวอยู่ในใจ เขามีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีและคลุมเครือบางอย่างและสีหน้ากังวลของเขาก็ปรากฏอย่างชัดเจน เขารู้สึกได้ว่าการที่มีอสูรเช่นนี้ปรากฏขึ้นมา สถานการณ์ในวันนี้คงจะไม่ราบรื่นอีกต่อไป

แน่นอนว่าหนานกงเจี๋ยเคยได้ยินเกี่ยวกับค่ายกลร้อยอสูรมาก่อนและตระหนักถึงความน่าสะพรึงกลัวของมันเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม เขาไม่อาจกล่าวสิ่งใดออกไปในตอนนี้ด้วยเกรงว่ามันจะเป็นการทำลายขวัญและกำลังใจของทุกคนจนพ่ายแพ้ทั้งที่ยังไม่ได้ต่อสู้

“ทุกคน ไม่ต้องกังวลไป ถึงแม้อสูรตัวนี้จะดูน่ากลัว ทว่ามันก็มีความสามารถที่จำกัด ตราบใดที่เราหาโอกาสกำจัดทุกคนในที่แห่งนี้ได้ มันก็จะหายไปเช่นกัน”

เขาพยายามกล่าวปลอบใจให้ทุกคนคลายกังวลก่อนหันไปกล่าวกับหลงจื้อ “เจ้าถ่วงเวลามันไว้สักพักและข้าจะจัดการกับฉินอวี้โม่เอง ตราบใดที่กำจัดนางได้ เราก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับมันอีก”

เมื่อได้ยินวาจาของหนานกงเจี๋ย คนของหลงจื้อก็หันมองหน้ากันทันทีและความไม่สบอารมณ์ผุดขึ้นในหัวใจ หนานกงเจี๋ยทราบดีว่าอสูรตัวนี้รับมือได้ยากจึงสั่งให้พวกเขาเป็นฝ่ายถ่วงเวลามันไว้ และหากรับมือกับมันไม่ได้ แน่นอนว่าสถานการณ์ของพวกเขาก็ถือว่าอันตรายทีเดียว

อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่กล้าปฏิเสธแม้แต่น้อย เวลานี้ทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว หากไม่สามารถขัดขวางอสูรมหึมาตัวนี้ไว้ได้ แผนการทั้งหมดที่พวกเขาเตรียมไว้สำหรับวันนี้ก็จะล้มเหลวไปโดยปริยาย ซึ่งทั้งหนานกงเจี๋ยและหลงจื้อ รวมถึงคนอื่น ๆ ก็ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น

“จิ๊จิ๊จิ๊ การที่ต้องการจะจัดการกับนายหญิงของเรา เจ้าขออนุญาตเราหรือยัง ? การที่มีเราอยู่ที่นี่ เจ้าควรจะหลับตารอคอยความตายแต่โดยดี !”

เสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ กล่าวด้วยกันเป็นเสียงเดียวซึ่งดังสนั่นชัดเจนไปทั่ว ส่งผลให้สีหน้าของหนานกงเจี๋ยและคนอื่น ๆ เปลี่ยนแปลงบิดเบี้ยวมากกว่าเดิม เวลานี้หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความกังวล

ขณะยกหอกเล่มยาวในมือขึ้นสูง พลังงานที่รุนแรงและมหาศาลก็แผ่ออกมาจากร่างของอสูรยักษ์นี้ก่อนที่เงาหอกยาวจะพุ่งตรงออกไปทิ่มแทงหนานกงเจี๋ยและพวก…

.