เมื่อเขาตอบ เยี่ยเม่ยพลันเลิกคิ้ว สายตาเย็นชามองเสินเซ่อเทียน “ท่านรู้จักข้า?”
หลังจากคำถามนี้เอ่ยออกมา สายตาเยี่ยเม่ยที่มองเสินเซ่อเทียนก็เปลี่ยนไปเป็นระวังมากขึ้น
ถึงนางไม่มีโรคหวาดระแวงกลัวถูกทำร้าย แต่ช่วงนี้นางฆ่าคนไปไม่น้อย ดังนั้นไม่อาจไม่ระวัง
เสินเซ่อเทียนมองท่าทางป้องกันของนางออก เขากลับหัวเราะเบาๆ หลังจากสำรวจนางครู่หนึ่ง น้ำเสียงทรงอำนาจก็ดังขึ้น “เรื่องระหว่างเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับแม่นางโด่งดังสะเทือนไปทั่วชายแดน ข้าไม่อยากรู้ก็คงไม่ได้!”
“ดังนั้น สรุปแล้วท่านคือคนในยุทธภพหรือว่าคนของราชสำนัก” เยี่ยเม่ยฟังคำพูดของเสินเซ่อเทียน ก็ไม่คลายความระแวดระวัง ถามออกไปด้วยความไวอีกประโยคหนึ่ง สายตาที่มองเสินเซ่อเทียนเย็นเยียบขึ้น
เสินเซ่อเทียนปรายตามองนกย่างในมือ เห็นว่ามีบ้างส่วนที่ไหม้แล้ว เขาใช้สายตาแกมขอร้องมองเยี่ยเม่ย “ช่วยย่างนกให้ข้ากินก่อนได้หรือไม่ จากนั้นพวกเราค่อยถกปัญหานี้กัน”
เยี่ยเม่ยหางตากระตุกเล็กน้อย
หางตารวมถึงมุมปากของเฉิงเสี่ยวจวนที่อยู่ห่างออกไปก็กระตุกพร้อมๆ เห็นจวินซ่างจริงจังขึ้นมาอย่างฉับพลัน ถามฐานะของเยี่ยเม่ย นางหลงคิดว่าจวินซ่างจะสนใจเรื่องสำคัญแล้ว ใครจะรู้ว่า เรื่องแรกที่กระทำยังคงเป็นเรื่องกินนกย่าง!
แต่ว่าการเดินทางนี้ออกจะบังเอิญเหลือเกิน
ถึงกับพบเป้าหมายของจวินซ่างระหว่างทาง ฝ่าบาททรงรับสั่งให้จวินซ่างมาตรวจสอบว่าเยี่ยเม่ยเป็นภัยคุกคามต่อราชสำนักหรือไม่ ซ้ำยังอนุญาตให้จวินซ่างตัดสินใจว่าจะกำจัดนางหรือไม่ คราวนี้ก็ดีเลย กินนกย่างของผู้อื่นไปแล้ว…
ตามนิสัยของจวินซ่าง เกรงว่าคงตัดสินในแง่ดี เพราะอย่างไรกินของผู้อื่นไปแล้วก็ต้องช่วยเหลือบ้าง
“เจ้ากินไปเถอะ!” เยี่ยเม่ยพูดไปก็กินนกย่างในมือตนจนหมด ทั้งยังเริ่มย่างอีกตัว นกตัวเดียวนั้นน้อยเกินไป ไม่เพียงพอยาไส้เลย
เสินเซ่อเทียนรีบพยักหน้า กัดนกที่ตัวเองย่างคำหนึ่ง ถัดมาไม่กี่วินาที สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนไป
โยนนกในมือทิ้งไปทางหนึ่ง หว่างคิ้วขมวดแน่น เขาแปลกใจเหลือเกิน นกที่เขาเลียนแบบท่าทางเยี่ยเม่ยย่าง ทำไมถึงรสชาติไม่ได้เรื่องแบบนี้ เยี่ยเม่ยย่างกลับอร่อยนัก
เห็นท่าทางคิ้วขมวดแน่นของเขา
เยี่ยเม่ยพลันรู้สึกว่าคนเบื้องหน้าช่างน่าขันนัก ความกระตือรือร้นที่มีต่ออาหารของเขาเกินกว่าขอบเขตของคนทั่วไปแล้ว อีกทั้ง…
สายตานางทอแววขบขัน ดวงตาเจือรอยยิ้มมองไปที่เสินเซ่อเทียน เอ่ยปากว่า “ดูท่าทางท่านคงไม่ได้หิวจริงๆ แต่มาเพราะกลิ่นของอาหารเสียมากกว่ากระมัง”
คนหิวที่แท้จริงจะใส่ใจรสชาติของนกย่างอย่างนั้นหรือ ไม่ว่ารสชาติย่ำแย่แค่ไหน กินเข้าไปก็ใช้ได้แล้ว
แต่ว่า เรื่องที่เขาบาดเจ็บจะอธิบายอย่างไร
เสินเซ่อเทียนกลับไม่ยอมรับเรื่องเขาตะกละออกไป อย่างไรเสียจะทำลายภาพลักษณ์ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเขา เขาส่ายหน้ายืนยันว่า “ไม่ เพราะว่าเมื่อครู่กินไปตัวหนึ่งแล้ว ก็ไม่หิวอีก ดังนั้นจึงเลือกกิน”
เยี่ยเม่ยยักไหล่ ไม่ค้าน
พอคิดว่าตัวเองกินนกย่างในมือทั้งตัวไม่หมดแน่ จึงฉีกออกแบ่งให้เสินเซ่อเทียนครึ่งหนึ่ง ทั้งกล่าวว่า “กินหมดแล้วข้าขอตัวก่อน เจ้าก็รักษาตัวให้ดี!”
เสินเซ่อเทียนรับมาก็รีบกินทันที
จากนั้นก็หลงเหลือเพียงเสียงเคี้ยวนกย่างของคนทั้งสอง เสินเซ่อเทียนเป็นจอมตะกละอันดับหนึ่ง มีประสบการณ์การกินของอร่อยนับไม่ถ้วน ดังนั้นต่อให้อากัปกิริยาในการกินน่ามองแค่ไหน สุดท้ายเขาก็ยังกินเร็วกว่าเยี่ยเม่ยอยู่ดี
หลังกินหมด ก็ใช้ผ้าเช็ดปาก ค่อยมีอารมณ์สนใจเรื่องสำคัญแล้ว
เขาจ้องสตรีตรงหน้า น้ำเสียงทรงอำนาจแฝงด้วยความกดดัน “ในเมื่อแม่นางคือเยี่ยเม่ย ยามนี้สมควรอยู่ชายแดนถึงจะถูก ไฉนปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้”
เยี่ยเม่ยที่กำลังกินอยู่หยุดชะงักไปเล็กน้อย พบว่าหลังจากบุรุษตรงหน้ากินนกหมดแล้ว บรรยากาศรอบกายเขาก็เปลี่ยนไป เทียบกับความเป็นมิตรชวนเข้าหาเมื่อครู่ มีความห่างเหินแข็งกร้าวขึ้นมาหลายส่วน
คล้ายกับว่า…
กินหมดแล้วก็พร้อมจะแตกหัก ข้ามแม่น้ำทำลายสะพานแล้ว
เมื่อฟังคำถามของเขา เยี่ยเม่ยยังคงระวังตัวอย่างถึงที่สุด ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายเป็นคนไม่รู้จัก ว่ากันตามตรงแล้วอีกฝ่ายยังรู้จักฐานะของนาง
นางเอ่ยเสียงเย็นชาไม่ลนลานด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “น้องชายของข้า จิ่วหุนถูกพิษ เป็นพิษที่องค์กรนักฆ่าใช้ควบคุมเขา ข้าออกมาเพื่อหาตัวยาชนิดหนึ่ง เพียงแต่โชคไม่ดีหาไม่พบ ได้แต่กลับไปมือเปล่า”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ !” เสินเซ่อเทียนพยักหน้า ก่อนนี้เขาได้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเยี่ยเม่ยมาแล้ว ในข้อมูลนั้นเอ่ยถึงจิ่วหุนจริงๆ ดังนั้นคำพูดของนางยังเชื่อได้
ถัดมาแววตาของเขาลุ่มลึกจ้องมองเยี่ยเม่ย ถามว่า “ไฉนแม่นางถึงบอกว่า การหมั้นหมายของเจ้ากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเกรงว่าจะมีอยู่อีกไม่นานเท่านั้น”
เมื่อครู่เขาห่วงแต่ย่างนกในมือให้สุก จึงไม่ทันถาม เมื่อยามนี้กินจนเกลี้ยงแล้วก็ถามออกมาได้
เยี่ยเม่ยจ้องเขา น้ำเสียงกลับเย็นเยียบลง “นกย่างก็กินหมดแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องทำเป็นตีสนิทกับข้าอีก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องซุบซิบนินทาเหล่านี้ท่านก็ไม่จำเป็นต้องรับรู้”
นางจำได้ว่า ก่อนหน้าเขาเอ่ยสารภาพออกมาว่า ที่เขาถามคำถามนางมากมาย ความจริงก็เพื่อตีสนิท คิดกินนกย่างอีกตัว
เสินเซ่อเทียนพยักหน้า กลับคลี่ยิ้มออก “ก็ถูก เพียงแต่ไม่ขอปิดบังเจ้า ข้ากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีการคบหากับอยู่บ้าง จึงอดเป็นห่วงเขาไม่ได้ แม่นางเยี่ยเม่ยยินยอมเล่าข้าก็ดีใจ หากแม่นางไม่ยินยอมเล่า ข้าก็ไม่บังคับ !”
อย่างไรเสียหากคิดจะฟังความจริง ก็ต้องอาศัยความเป็นมิตร หากลงมือแล้วคิดฟังความจริงคงเป็นไปไม่ได้ เสินเซ่อเทียนจึงตอบกลับไปเช่นนี้
หากบอกว่าสุดยอดฝีมือแห่งยุคมีการคบหากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เรื่องนี้เยี่ยเม่ยเชื่อ แต่การคบหานี้อาจไม่ใช่มิตรภาพก็ได้
นางก็ไม่จงใจไม่พูดไม่จา ทำให้คนตรงหน้าที่ดูแล้วไม่ธรรมดาเกิดความสงสัยตน จึงเอ่ยมั่วซั่วออกไปโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าว่า “เจ้าก็เห็นขลุ่ยหยกโลหิตที่เอวข้าแล้ว กูเยว่อู๋เหินกำนัลให้ ถึงข้ารับไว้แบบไม่ได้ตั้งใจ แต่ว่านี่เป็นของหมั้นหมายของเขา ดังนั้นสุดท้ายข้าจะเลือกใคร ข้าก็ยังไม่มั่นใจ !”
นางจะบอกอีกฝ่ายได้อย่างไรว่า เพราะนางคือองค์หญิงของราชสำนักจงเจิ้ง เรื่องของนางกับคนของเป่ยเฉินย่อมเป็นไปไม่ได้
เสินเซ่อเทียนฟังแล้ว สายตามองที่ขลุ่ยหยกโลหิตที่เอวของเยี่ยเม่ย ขลุ่ยเลานั้นเป็นของดี ตอนพบกันครั้งแรก เขาเอาแต่จับจ้องนก ถึงไม่ได้ใส่ใจ ยามนี้เมื่อเห็นแล้ว เป็นของของประมุขกูเยว่จริงๆ
เขาพลันเกิดความรู้สึกสนใจอยู่หลายส่วน เขาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา น้ำเสียงทรงอำนาจของเขาค่อยๆ เอ่ยว่า “แม่นาง วันนี้เจ้ามอบนกย่างให้กับข้าก็นับว่าช่วยเหลือข้าแล้ว แต่…ข้ากลับกังวลว่า ภายหน้าเจ้าอาจเสียใจที่ได้ช่วยเหลือข้าในวันนี้!”
คิดไม่ถึงว่า เมื่อสิ้นเสียงเขา
มีดสั้นในมือเยี่ยเม่ยก็พุ่งเป้าใส่คนตรงหน้าทันที