ภาคที่ 33 กลับชาติมาเกิด ตอนที่ 64 จับกุม!

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 64 จับกุม! Ink Stone_Fantasy

หลังจากนั้นติดๆ

แคว่กกก…

ภายในห้องเงียบซึ่งเป็นสถานที่เก็บตัวของตงป๋อเสวี่ยอิงแห่งนี้ มีเงาร่างสายหนึ่งเดินออกมาจากกลางอากาศ ซึ่งก็คือประมุขรัฐเมฆทักษิณาในอาภรณ์สีดำทั้งร่าง

“อาภรณ์สีดำรึ นี่คือร่างแยกของท่านอาจารย์อย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบคาดเดา เขาคิดค้นศาสตร์ร่างแยกขึ้นมา ร่างแยกของประมุขรัฐเมฆทักษิณาจะต้องมีกลเม็ดเกินธรรมดาอย่างแน่นอน

“เจ้าฝึกเคล็ดผนึกห้าภาพสำเร็จแล้วหรือ เร็วเข้า สำแดงให้ข้าดูหน่อยสิ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเร่งเร้า

“ขอรับ ท่านอาจารย์”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า ทันใดนั้นก็มีลำแสงห้าสายปรากฏขึ้นเหนือร่าง บดบังห้องเงียบไปกว่าครึ่ง

ประมุขรัฐเมฆทักษิณาแหงนหน้ามองลำแสงห้าสายนั้น นัยน์ตาฉายแววลุ่มหลง เขาพึมพำเสียงต่ำว่า “ผนึกห้าภาพ ผนึกห้าภาพ ขั้นอลวนก็ฝึกสำเร็จได้แล้วจริงๆ”

เขารู้ว่าศิษย์ของตนคงไม่ถึงกับพูดปด แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งสารบอก เขาก็อดสงสัยว่าฟังผิดไปมิได้

เนื่องจากเคล็ดผนึกห้าภาพเป็นเคล็ดสืบทอดลับทางสายอากาศซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในการต่อสู้ของเขา เคล็ดสืบทอดลับวิชานี้ ในบรรดาหกรัฐโบราณมีสี่รัฐที่ได้ครอบครอง ในรัฐโบราณเหล่านั้น มีเคล็ดสืบทอดลับมากมายจึงอาจมิได้ใส่ใจสักเท่าใดนัก แต่รัฐเมฆทักษิณา…ถึงอย่างไรก็เป็นรัฐชั้นรองเล็กๆ เคล็ดผนึกห้าภาพย่อมมีความหมายแตกต่างออกไป นอกจากนี้มันยังฝึกฝนได้ยากยิ่งนัก

“ในขั้นอลวน เส้นทางสายหนึ่งจะบรรลุถึงขีดสุดก็ยากมากแล้ว นี่เป็นเส้นทางห้าสายที่แตกต่างกัน” หัวใจของประมุขรัฐเมฆทักษิณาเต้นรัว หลังจากที่เขาบรรลุถึงระดับยอดสุดแล้วจึงได้เคล็ดผนึกห้าภาพมา และฝึกฝนมันจนถึงขั้นครบสมบูรณ์

เขาถามตนเองว่า หากอยู่ในขั้นอลวน เกรงว่าก็คงจะฝึกไม่สำเร็จ

เท่าที่เขารู้ รัฐโบราณเสียดฟ้าเคยมีผู้ทีพรสวรรค์คนหนึ่งซึ่งฝึกเคล็ดผนึกห้าภาพสำเร็จตั้งแต่ยังเป็นขั้นอลวน เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น

“ประเสริฐ ประเสริฐ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความชื่นชมเต็มเปี่ยม

“นี่คือลูกแก้วห้าภาพ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาหยิบสร้อยข้อมือเส้นหนึ่งออกมา บนสร้อยข้อมือมีลูกแก้วสีดำอยู่ห้าลูก แต่ละลูกเปล่งแสงรำไรออกมา และแผ่กลิ่นอายที่แตกต่างกันไป ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเผยสีหน้าโล่งใจออกมา “ตั้งแต่ข้าได้เคล็ดผนึกห้าภาพมาไม่นานนัก ข้าก็หลอม ‘ลูกแก้วห้าภาพ’ นี้ขึ้นมา ข้าอยากจะมอบสมบัติลับชิ้นนี้ต่อไปมาโดยตลอด แต่รอแล้วรอเล่าจนมาถึงวันนี้ ในที่สุดลูกแก้วห้าภาพก็รอจนได้พบเจ้านายของมันเสียที”

ลูกแก้วห้าภาพลองมาถึงตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิง

ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นมือออกไปรับไว้

เมื่อสัมผัสดูเล็กน้อย

“วิ้ง”

ลูกแก้วแต่ละลูกล้วนมีโลกใบหนึ่งแฝงอยู่ภายใน ซึ่งสัมพันธ์กับ ‘ภาพ’ หนึ่งในนั้น

เมื่อสัมผัสได้ถึงความพิสดารของอักขระลับที่แฝงเอาไว้ในลูกแก้วห้าภาพ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พลันเงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกตะลึง “ท่านอาจารย์ นี่ นี่มัน…”

เดิมทีเขาคิดว่านี่น่าจะเป็นเพียงแค่สมบัติลับขั้นอลวนชั้นที่สิบเท่านั้น แต่เมื่อเขาสัมผัสกลับพบว่าระดับความพิสดารของ ‘ลูกแก้วห้าภาพ’ นี้ยังเหนือกว่าชั้นที่สิบเสียอีก ความล้ำค่านั้นไม่แพ้หอกเทพเมฆาแดงเลยแม้แต่น้อย หรือถึงขั้นเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ! เนื่องจากลูกแก้วทั้งห้าลูก แต่ละลูกล้วนเทียบเท่ากับสมบัติลับอันแข็งแกร่งชิ้นหนึ่ง

ต้องรู้ไว้ว่า โดยทั่วไปแล้วสมบัติลับขั้นอลวนชั้นที่สิบ ราคาก็จะอยู่ระหว่างห้าร้อยล้านถึงหนึ่งพันล้านแก้วผลึกจักรวาล

สมบัติลับเทพจักรวาล โดยทั่วไปราคาก็จะอยู่ระหว่างห้าพันล้านถึงหนึ่งหมื่นล้านแก้วผลึกจักรวาล

‘ลูกแก้วห้าภาพ’ แต่ละลูกต่างก็เป็นสมบัติลับชิ้นหนึ่ง หากเป็นขั้นอลวนชั้นที่สิบ เนื่องจากเป็นสิ่งที่อาจารย์หลอมขึ้นมา ลำพังแค่ต้นทุนวัสดุ คาดว่าก็คงต้องใช้แก้วผลึกจักรวาลราวสองพันล้านก้อนแล้ว

แต่บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงค้นพบแล้วว่าลูกแก้วห้าภาพนี้มิใช่แค่สมบัติล้ำค่าระดับชั้นที่สิบ เกรงว่าราคาคงจะมากขึ้นเป็นสิบเท่าแล้ว

“ฮ่าฮ่า…” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาหัวเราะ “ข้าก็คิดไม่ถึงว่าคนแรกที่ฝึกเคล็ดผนึกห้าภาพสำเร็จในสำนักเราจะเป็นขั้นอลวนคนหนึ่งไปได้”

ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้งขึ้นมา

คาดว่าเทพจักรวาลคงจะสามารถฝึกห้าเส้นทางพร้อมกันได้ง่ายกว่า

“แต่มันล้ำค่าเกินไปนะขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้

“รับไว้เถอะ เจ้าเป็นศิษย์ของข้า” ประมุขรัฐเมฆทักษิณายิ้มน้อยๆ “เจ้าแข็งแกร่ง ก็เท่ากับสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์เราแข็งแกร่ง ยิ่งไปกว่านั้น…เส้นทางทั้งห้าสายของเจ้าสามารถบรรลุถึงระดับขั้นนี้ได้ คิดจะก้าวเข้าสู่เทพจักรวาลก็พอมีโอกาสอยู่”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

“นอกจากนี้ ในเมื่อฝึกเคล็ดผนึกห้าภาพสำเร็จแล้ว เรื่องที่ลัทธิกระบี่สวรรค์จะเข้ามาในสี่รัฐมารทมิฬของเรา ก็ขอมอให้เป็นหน้าที่ของเจ้าทั้งหมดก็แล้วกัน” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพูดยิ้มๆ “เจ้าพยายามทำให้เต็มที่ เบื้องหลังยังมีข้าอยู่”

“ขอรับ ท่านอาจารย์” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

******

วันต่อมา

“แฮ่…”

มังกรมารซึ่งเต็มไปด้วยเกราะเกล็ดสีดำทั้งร่างเปล่งเสียงคำรามออกมา มันขดเลื้อยอยู่กลางฟากฟ้าเหนือตำหนักทิพย์เมฆทักษิณา บนหลังของมังกรมารที่ใหญ่โตหาใดเปรียบ ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่

“ไป ไปตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์กันเถอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก

“สวบ”

มังกรมารเลื้อยคราหนึ่งก็แทรกเข้าไปในอากาศอย่างรวดเร็ว

ไม่นานนัก

ณ อีกบริเวณหนึ่งในนครหลวงรัฐประกายเพลิง กลางอากาศของตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์ มังกรมารที่ขดเลื้อยไปมาตัวหนึ่งโผล่ออกมากลางอากาศแล้วลอยคว้างอยู่ ส่วนชายหนุ่มอาภรณ์ขาวอีกคนหนึ่งก็ยืนอยู่บนหลังของมังกรมารพลางเหลือบมองลงไปเบื้องล่าง

“ยังสร้างอยู่อีกหรือนี่” เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบมองลงไป ทั้งตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์ก็เหมือนจะสมบูรณ์ดี ไร้ซึ่งความเสียหาย ทว่าเขากลับเห็นว่ามีผู้บำเพ็ญจำนวนไม่น้อยที่กระจัดกระจายกันไปตามทิศต่างๆ และกำลังประทับรอยอักขระค่ายกลลงไป ต้องรู้ไว้ว่าในฐานะที่เป็นตำหนักทิพย์ของนครหลวง ค่ายกลนั้นต้องต้านทานผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนชั้นที่สิบได้ หากพูดถึงอานุภาพแล้ว เพียงพอที่จะเทียบกับ ‘เมืองหิมะเหิน’ ของตงป๋อเสวี่ยอิงได้เลยทีเดียว

ตอนแรกเมืองหิมะเหินนั้นสร้างมานานถึงเกือบร้อยล้านปีแล้ว ก็มีค่ายกลเป็นหลัก

สิ่งก่อสร้างของตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์เองนั้นสร้างขึ้นอย่างง่ายๆ ด้วยวิธีการของผู้แกร่งกล้าขั้นอลวน เพียงชั่วข้ามคืนก็สามารถสร้างสำเร็จได้อย่างง่ายดาย มีเพียงค่ายกลที่ต้องใช้วัสดุและความตั้งใจในการประทับตราเป็นอย่างมาก!

“นั่นใครกันน่ะ”

“กล้าอยู่กลางอากาศเหนือตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์อย่างนั้นหรือ”

“เจ้าจะไปรู้อะไรเล่า มังกรมารตัวนั้นมีราคากว่าพันล้านแก้วผลึกจักรวาล ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้นั้นก็คือ ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ยอดฝีมือผู้มีพรสวรรค์แห่งสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์”

เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นมา ไม่นานนักก็ดึงดูดความสนใจของผู้บำเพ็ญโดยรอบทั่งหลายได้ กลางอากาศไกลออกไป เกี้ยวจำนวนหนึ่งหยุดลงและมองออกมา ยังดีที่ ‘สายตา’ ของบรรดาผู้บำเพ็ญล้วนดียิ่งนัก

“ตู้มมม…”

ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งยืนอยู่บนหลังมังกรมารขนาดมหึมาราวกับเด็กน้อยที่เหลือบมองลงมาเบื้องล่าง เสียงสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณนับร้อยล้านลี้ “ข้า อิงซานเสวี่ยอิงขอท้ายอดฝีมือลัทธิกระบี่สวรรค์ ระหว่างช่วงเวลานี้  หวังว่าทุกท่านจะไม่เข้าออกตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์ เพื่อป้องกันมิให้ถูกลูกหลง” ขณะเดียวกับที่เปล่งวาจานั้น ระลอกคลื่นมิติที่โหมซัดก็ปกคลุมทั้งรอบนอกของตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์

ระลอกคลื่นมิติโหมซัดสาด เกรงว่ายอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่แปดโดยทั่วไปเข้ามาแล้วก็ต้องถูก ‘บริเวณเมฆาแดง’ สังหาร

พูดเสียน่าฟังว่า ‘ป้องกันมิให้ถูกลูกหลง’

แต่อันที่จริงแล้วสิ่งที่ทำก็คือการ ‘ขวางประตู’ ต่างหาก!

เรียบง่ายมาก

หากมีความสามารถพอก็มาสังหารข้าเสีย มิเช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าก็อย่าได้รับศิษย์หรือสั่งสอนศิษย์เลย ภายใต้ระลอกคลื่นมิติอันน่าหวาดหวั่นพรรค์นี้ ก็มิมีผู้ใดกล้ามาร่วมด้วย! สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงทำก็นับว่าเมตตามากแล้ว อย่างพวกอ๋องชางซูนั้น ในตอนแรกมิได้สำแดงบริเวณออกมา แต่เมื่อมีศิษย์จะเข้าไปในตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาจึงสังหารทันที! ทำให้ศิษย์นอกสำนักของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์บางคนที่ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์สักเท่าใดนักต้องเสียชีวิตไป

“โอ้”

“ขวางประตูเสียแล้ว”

“อิงซานเสวี่ยอิงขวางประตูตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์แล้ว ช่างอาจหาญนัก”

“รีบมาเร็วๆ”

“อิงซานเสวี่ยอิงโดยสารมังกรมารมาขวางประตูตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์แล้ว” ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ไกลออกไปพากันส่งสารให้กับเหล่าสหายของตนทันที ฟิ้วๆ ยอดฝีมือจำนวนมากต่อมากเร่งเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง คนของตระกูลจักรพรรดิและตระกูลอ๋องโหวต่างๆ พากันโดยสารเกี้ยวอันหรูหรามาด้วยกัน พวกเขาล้วนจับตามองอย่างสนอกสนใจอยู่ห่างๆ

อ๋องชางซูขวางประตู เพียงเพื่อท้าทายเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเพียงยอดฝีมือระดับชั้นที่เก้าเท่านั้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงขวางประตู จึงจะเป็นการปะทะของทั้งสองฝ่ายอย่างแท้จริง!

……

ด้านนอกคึกคักเป็นอย่างมาก ผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนมาชมดูเรื่องสนุก อยากจะเห็นลัทธิกระบี่สวรรค์ปะทะกับสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์! เพราะถึงอย่างไรก็ล้วนแต่เป็นหนึ่งในสิบสำนักใหญ่แห่งดินแดนจิตโลกา ซึ่งส่งตัวแทนของพรรคออกมาท้าทายอย่างทรงเกียรติและโจ่งแจ้ง เพื่อรักษาหน้าของแต่ละฝ่ายเอาไว้ ผู้ที่ส่งออกไปก็ล้วนแต่มีพลังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง หากพ่ายแพ้แล้วก็มิใช่ตนที่เสียหน้า แต่เป็นสำนักต่างหากที่เสียหน้า

“เขากล้าได้อย่างไรกัน เขากล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” บุรุษอาภรณ์สีม่วง ‘อ๋องอสนีบาต’ โม่เฉามองท้องฟ้าด้วยความโกรธแค้น “ต่อให้เขาศึกษายุทธวิธีเมฆาแดงแล้วอย่างไรเล่า”

ฟิ้วๆๆ

ด้านข้างก็มีเงาร่างสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้น ซึ่งได้แก่ท่านชายฉื้อเฟิง ผู้ท่องธุลีฝน ผู้แกร่งกล้าอาภรณ์ดำ เทพมารร้อยสงคราม ‘ฝานฉู่ฮู่’ ทูตวารีและทูตเพลิงเป็นต้น พวกเขาเงยหน้ามอง

“ทุกท่านคิดว่าควรทำอย่างไรดี” อ๋องอสนีบาตโม่เฉามองไปด้านข้าง

“อย่าถามพวกเราเลย” ท่านชายฉื้อเฟิงส่ายหน้ารัวพลางพูดยิ้มๆ เสียงเบาว่า “พวกเรามิใช่ศิษย์ของลัทธิกระบี่สวรรค์ ผู้อื่นท้าทายยอดฝีมือลัทธิกระบี่สวรรค์ พวกเราจะลงมือไปก็ไม่ดีหรอก”

“พวกเรามิอาจลงมือได้ หากยอดฝีมือสกุลฝานเราลงมือ จะนับว่าเป็นอะไรกัน” ฝานฉู่ฮู่ก็ส่ายศีรษะเช่นกัน

“พวกเราก็ไม่ได้” ทูตวารีและทูตเพลิงส่ายหน้า พวกเขาอยู่ในความคุ้มครองของประมุขรัฐกระบี่สวรรค์ แต่การบำเพ็ญก็มิใช่ทางสายของลัทธิกระบี่สวรรค์อยู่ดี

สงครามระหว่างสำนัก

การท้าทายอย่างทรงเกียรติและโจ่งแจ้ง ต้องให้ศิษย์ของตนลงมือ หากคนนอกลงมือ ก็รังแต่จะถูกหัวเราะเยาะว่าสำนักไร้ผู้มีฝีมือเท่านั้นเอง

“การรักษาชีวิตของเขาร้ายกาจ วิถีกายก็ร้ายกาจ ข้าเอาชนะเขาไม่ได้” อ๋องอสนีบาตโม่เฉาขมวดคิ้ว เขาเป็นหนึ่งในสองผู้พิทักษ์วิถีของลัทธิกระบี่สวรรค์ ในบรรดายอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบนั้น เขามีชื่อเสียงเกรียงไกร   ทั้งยังคารวะเข้าเป็นศิษย์ในนามของบรรพชนรัฐโบราณสหโลกาท่านหนึ่ง แต่ด้วยความหยิ่งผยองของเขา ก็จะไม่ออกศึกเลย หรือถ้าออกศึกก็ต้องคว้าชัยเท่านั้น

แต่ยุทธวิธีเมฆาแดงของอีกฝ่าย สะกดรอยและเปลี่ยนแปลงได้นับพันนับหมื่น จึงอยู่ในสถานะที่ไม่แพ้ ไปแล้ว ถึงแม้หากอาศัยพลัง ตนจะไม่มีทางพ่ายแพ้ แต่หากถูกกลั่นแกล้งขึ้นมา หน้าตาก็จะไม่น่ามองนัก

“ท่านประมุขรัฐ” โม่เฉาส่งสารติดต่อประมุขรัฐกระบี่สวรรค์

“ในเมื่อขวางประตูแล้ว เช่นนั้นก็มีแต่ต้องรับศึกเท่านั้น ไปเถิด แม้จะมิอาจคว้าชัยได้ แต่ก็ต้องทำให้สนามรบน่ามองเสียหน่อย อย่าให้เสียหน้าก็พอแล้ว” ประมุขรัฐกระบี่สวรรค์ส่งสาร

“ขอรับ”

โม่เฉาเข้าใจแล้ว

ช่วยไม่ได้

ในที่แจ้งดูเหมือนสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์จะมีศิษย์ระดับชั้นที่สิบอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น รวมถึงรัฐที่อยู่ภายนอกด้วย ก็มีราวสิบคนเท่านั้น ลัทธิกระบี่สวรรค์ก็เป็นเช่นนี้ ศิษย์ระดับชั้นที่สิบที่แท้จริงนั้นมีน้อยมาก ผู้ที่สามารถประมือกับอิงซานเสวี่ยอิงได้อย่างสูสีนั้นพอมี แต่จะเอาชนะได้ก็ไม่มีเลยจริงๆ! ยุทธวิธีเมฆาแดงเป็นเคล็ดสืบทอดลับของทางสกุลฝาน ย่อมมีเหตุผลของมันเป็นธรรมดา

……

มังกรมารร่างกายใหญ่โตคดเคี้ยวหมอบพังพาบอยู่กลางอากาศ ระลอกคลื่นอากาศรอบด้านม้วนตัว ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวบนหลังมังกรมารเหลือบมองลงไปเบื้องล่างแค่นเสียงเฮอะด้วยความโมโห “หรือลัทธิกระบี่สวรรค์จะไม่มีผู้ใดมีน้ำยาพอจะรับศึกเลยหรือ” เสียงนั้นสะท้อนก้องไปทั่วฟากฟ้าทั้งสี่ทิศ

เบื้องล่างเงียบงันลงไป

“อิงซานเสวี่ยอิง เจ้าก็อย่าอวดดีเกินไปหน่อยเลย” ในที่สุดก็มีเสียงตะคอกเสียงหนึ่งดังขึ้น

บุรุษอาภรณ์สีม่วงคนหนึ่งทะยานขึ้นมา ใบหน้าของเขาเย็นชา เขาลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ประจันหน้ากับชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่อยู่บนหลังมังกรมารอันคดเคี้ยวอยู่ห่างๆ

“มาแล้วๆ”

“จะประมือกันแล้ว”

“เป็นอ๋องอสนีบาตโม่เฉา”

“โม่เฉาเป็นถึงหนึ่งในสองผู้พิทักษ์วิถีแห่งลัทธิกระบี่สวรรค์ เขาเคยเอาชนะ ‘ประมุขมารหยกศิลา’ ได้ ได้ยินมาว่าเขายังเคยบุกฝ่า ‘สะพานสิบกัลป์’ ในรัฐโบราณสหโลกาและประสบโอกาสครั้งใหญ่ด้วย”

แต่ละแห่งวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา

การรับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการรุกโจมตีสี่รัฐมารทมิฬในครั้งนี้ ทำให้ชื่อเสียงของอ๋องอสนีบาตโม่เฉาขจรขจายไปไกลอย่างแท้จริง ต่อให้เป็นท่านชายฉื้อเฟิงและคนอื่นๆ ก็ยังต้องเห็นแก่หน้าเขา

“เจ้าก็คือโม่เฉาหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก

“ถึงกับกล้าขวางประตูตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์ของเรา ช่างบังอาจเสียจริง พูดไร้สาระให้น้อยหน่อย รับกระบวนท่าเสียเถอะ” โม่เฉาพลันตะคอกเสียงดัง ขณะเดียวกันร่างกายของเขาก็กลายเป็นสายน้ำอสนีบาตที่ม้วนตัว กลายเป็นเงาร่างของสายน้ำอสนีบาตอันเลือนราง ในมือของเขาถือกระบี่เทพเล่มหนึ่งซึ่งราวกับสายน้ำเช่นกัน เขากะพริบวาบคราหนึ่งแล้วพุ่งตรงไปทางอิงซานเสวี่ยอิง

“ไม่ประมาณตนเองเลย” เสียงของตงป๋อเสวี่ยอิงดังก้อง พลิกมือคราหนึ่ง

ฝ่ามือพลันขยายออก ลำแสงอันเรืองรองห้าสายอยู่เหนือนิ้วมือ ก่อร่างเป็นฝ่ามือใหญ่เทียมฟ้า ตะปบตรงไปทางโม่เฉา!

โม่เฉาซึ่งแปรเป็นเงาร่างของสายน้ำอสนีบาตพลันใจสั่นขึ้นมา หมายจะหลบหนีไป

แต่มือใหญ่เทียมฟ้าก็ตะปบลงมาเบื้องล่างแล้วบดบังเอาไว้!

ผนึกห้าภาพ!

มิติ ปิดผนึก!

ต่อให้ส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นก็หนีไม่พ้น เคล็ดวิชาหลบหนีอันใดก็ไร้ประโยชน์ ฝ่ามือมหึมาซึ่งเปล่งแสงเรืองรองคว้าโม่เฉาเอาไว้ในคราวเดียว

“ไม่ ไม่…” โม่เฉาดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง ทันใดนั้นร่องนิ้วของฝ่ามือมหึมาก็มีอสนีบาตจำนวนนับไม่ถ้วนแลบแปลบปลาบขึ้นมา

“เปิดทางให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

อสนีบาตฟันฟาด ประกายกระบี่เจิดจ้า

ฝ่ามือมหึมาของตงป๋อเสวี่ยอิงดูเหมือนจะมีร่องระหว่างนิ้วมือ แต่อันที่จริงแล้วเคล็ดผนึกห้าภาพได้ผนึกทั้งมิติเอาไว้โดยไม่เหลือช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย กระบวนท่าระดับชั้นที่สิบทั้งห้าชนิดส่งเสริมและผสายกันอย่างสมบูรณ์แบบ อานุภาพนี้เพียงพอจะทำให้ยอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบคนอื่นๆ สิ้นหวังได้เลยทีเดียว! ทั้งดินแดนจิตโลกา ยอดฝีมือขั้นอลวนที่สามารถแก้กระบวนท่านี้ได้อาจจะพอมี แต่โม่เฉายังห่างชั้นอีกไกลโข

“สวบ”

ผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนที่ล้อมวงดูอยู่นั้นปากอ้าตาค้าง ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บฝ่ามือกลับมา บนข้อมือขวาของเขามีลูกแก้วห้าภาพลอยขึ้นมาก่อนแล้ว ลูกแก้วห้าภาพเปล่งแสงเรืองรองออกมา ทันใดนั้นมิติขนาดใหญ่เท่ากำปั้นก็ลอยเข้าไปในลูกแก้วลูกหนึ่งอย่างรวดเร็ว ภายในมิติขนาดใหญ่เท่ากำปั้นมีเงาร่างมนุษย์สายฟ้าถือกระบี่ดิ้นรนและร่ำร้องอยู่ อานุภาพกระบวนท่ากระบี่น่าหวาดหวั่นผิดธรรมดา แต่ยังคงถูกลูกแก้วลูกหนึ่งในลูกแก้วห้าภาพเก็บเข้าไปอยู่ดี

ไม่ว่าจะเป็นลูกแก้วใดในลูกแก้วห้าภาพ ก็ล้วนแต่มีมิติของโลกใบหนึ่งบรรจุเอาไว้ เหมาะแก่การจองจำศัตรูเอาไว้เป็นที่สุด

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าการจับขังเอาไว้ทั้งเป็น มีประโยชน์กับตนมากกว่าสังหารทิ้ง

“นี่ นี่มัน…” ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนที่ชมดูอยู่โดยรอบตะลึงงันกันไปหมด พวกเขาหลายคนมีพลังแข็งแกร่งและมีสถานะสูงส่งมาก และเข้าใจดีว่าอ๋องอสนีบาตโม่เฉาเป็นบุคคลที่ร้ายกาจเพียงใด

หนึ่งในสองผู้พิทักษ์วิถีแห่งลัทธิกระบี่สวรรค์ผู้เอาชนะประมุขมารหยกศิลาด้วยกระบี่และบุกฝ่าสะพานสิบกัลป์ได้!

ถูกฝ่ามือหนึ่งจับเอาไว้เช่นนี้เองน่ะหรือ

“ผนึกห้าภาพรึ” สีหน้าของท่านชายฉื้อเฟิงซึ่งอยู่ในตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์เปลี่ยนแปรไป “เคล็ดผนึกห้าภาพ เป็นไปได้อย่างไรกัน เคล็ดผนึกห้าภาพปรากฏขึ้นมาแล้วหรือนี่”

“ฝึกเคล็ดผนึกห้าภาพสำเร็จแล้วหรือ ขั้นอลวนคนหนึ่งสามารถฝึกเคล็ดผนึกห้าภาพสำเร็จได้ด้วยหรือ”เทพมารร้อยสงครามฝานฉู่ฮู่ก็เงยหน้ามองเช่นกัน ครั้งก่อนที่เขาได้เห็นเคล็ดสืบทอดลับวิชานี้ ก็คงเป็นสมัยสงครามรัฐโบราณครั้งที่สองโน่นกระมัง

 ……………………………………………….