ตอนที่ 8.2 (เล่มสอง)

ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配

เซียวอี้ 2

ลำพังแค่อวี่ฉีคนเดียว เธอต้องใช้เวลาราว ๆ สิบเจ็ดนาทีจึงจะสามารถเดินทางจากใต้ดินชั้นเจ็ดลงมาถึงชั้นสิบห้าได้ ดังนั้นหากพาเซียวอี้หนีไปตามเส้นทางที่อีกฝ่ายคำนวณแล้วว่าสั้นที่สุด พวกเธอย่อมหนีออกไปก่อนประตูทางออกของฐานปฏิบัติการจะปิดตัวลงได้โดยไม่มีปัญหาใด ๆ

เพราะไม่ว่ายังไงก็หนีทันแน่นอน อวี่ฉีจึงไม่คิดจะตอบตกลงข้อเสนอทันทีเพื่อร่นเวลา แต่กลับเลือกที่จะย่อตัวลงนั่งแล้วประสานสายตาจ้องมองเด็กชายตรง ๆ ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “ถ้าสิ่งที่ฉันไล่ตามคือเปอร์เซ็นต์การรอดชีวิตอะไรนั่นที่นายว่า ฉันคงไม่เสี่ยงอันตรายลงมาถึงที่นี่หลังจากหลุดเป็นอิสระแล้วหรอกนะ”

อวี่ฉีไม่เลือกใช้วิธีรุกเข้าหาด้วยความอ่อนโยนหรือกลยุทธ์ทำตัวน่ารักเชื่อฟังเหมือนที่เคยทำในนิยายเรื่องอื่นอีกแล้ว เพราะเซียวอี้นั้นต่างจากตัวร้ายในอดีตที่เธอเคยพบมาลิบลับ เขาทั้งฉลาดและเยือกเย็นจนเทียบเคียงได้กับคอมพิวเตอร์ในร่างมนุษย์ ถ้าเกิดเธอรีบร้อนตอบรับข้อเสนอทันที ก็มีแต่จะทำให้อีกฝ่ายสรุปผลจากการกระทำของเธอว่าเป็นการ ‘เลือกได้ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด’ แล้วเท่านั้น ไม่มีทางเพิ่มความรู้สึกดี ๆ ที่มีต่อเธอได้เลยแม้แต่น้อย

กลยุทธ์พิชิตใจตัวร้ายที่เธอเคยใช้นั้น หากพูดโดยสรุปแล้วก็คือการทำให้พวกเขารู้สึกซาบซึ้งใจนั่นเอง ทว่าตอนนี้เมื่อเธอต้องเผชิญหน้ากับเซียวอี้ สิ่งที่จำเป็นต้องทำจึงหยุดอยู่แค่ความซาบซึ้งใจไม่ได้

เขาถูกฝึกฝนมาอย่างโหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรมและถูกล้างสมองระบบความคิดมาตั้งแต่ยังเด็ก สิ่งเหล่านี้ล้วนบ่อนทำลายอารมณ์ความรู้สึกพื้นฐานที่เขาควรมีในฐานะมนุษย์คนหนึ่งไปจนหมดสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่อีกฝ่ายทำไปในตอนนี้ก็มีไว้เพื่อให้ได้ประโยชน์หรือแผนการที่ดีที่สุดเท่านั้น ไม่ได้เอาความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องเลยแม้แต่เศษเสี้ยว

                                                                                    

 

พูดอีกอย่างก็คือเธอต้องหาทางทำอะไรสักอย่างกับระบบความคิดของเขา เซียวอี้ในเวลานี้ต่างจากชายผู้เจนจัดเรื่องการควบคุมความคิดของผู้คนในอีกสิบห้าปีข้างหน้าคนนั้น ถึงตอนนี้เด็กชายจะมีไอคิวสูงลิบ ทว่าอีคิวของเขากลับต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เธอจำต้องปรับทัศนคติที่บิดเบี้ยวจนแทบพิกลพิการของเขาก่อนเป็นอันดับแรก ทำให้เขาเข้าใจว่าการที่คนคนหนึ่งตัดสินใจจะทำอะไรสักอย่างจะคำนึงแต่ผลประโยชน์สูงสุดเท่านั้นไม่ได้ เขายังต้องมองปัจจัยอื่นอีกมากมาย อย่างเช่นเรื่องของความรู้สึก

หลังจากโต้กลับแบบไม่มีความเกรงใจใด ๆ แล้ว อวี่ฉีก็ผ่อนน้ำเสียงลงมา จัดการเปิดไพ่ซีนอารมณ์ต่อ “ฉันจะสนใจแต่ตัวเองแล้วหนีออกไปจากที่นี่คนเดียวก็ได้ ถ้าทำอย่างนั้น ตอนนี้ฉันอาจจะอยู่นอกฐานปฏิบัติการไปแล้วด้วยซ้ำ แต่เซียวอี้ พวกเราน่ะเกิดขึ้นมาจากห้องเพาะเลี้ยงเดียวกัน ฉันเฝ้าดูนายเติบโตขึ้นมา แม้กระทั่งตอนแรกที่นายฝึกฝนศิลปะการต่อสู้พื้นฐานก็เป็นฉันที่รับผิดชอบ นายก็เหมือนกับน้องชายของฉัน ที่ฉันมาตามหานายถึงที่นี่เพราะฉันเป็นห่วงนายนะ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่นายจะสามารถวางแผนหลบหนีที่ดีที่สุดภายในเวลาที่สั้นที่สุดได้รึเปล่าสักหน่อย”

เซียวอี้หรี่ตามองเธอ ริมฝีปากบางได้รูปน่ามองเม้มเข้าหากันเล็กน้อย เอ่ยทวนคำพูดของเธออีกรอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เธอเป็นห่วงฉัน…” เขาหยุดพูด พลางขมวดคิ้วอย่างไม่อาจทำความเข้าใจได้ “ทำไม?”

ยังไม่ทันรอให้เธอตอบกลับ เขาก็เบือนสายตาไปอีกทางอย่างรวดเร็ว ก้าวฉับไวไปยังแท่นวางฐานข้อมูลสามมิติ แล้วเปิดหน้าต่างป้อนคำสั่งบนหน้าจอสัมผัส พร้อมกับเอ่ยรวดเดียวว่า “คำถามนี้ไว้วันหลังค่อยคุยกัน การออกไปจากที่นี่ทันทีถึงจะเป็นเรื่องที่ควรพิจารณาเป็นลำดับแรกสุดในตอนนี้”

ฐานข้อมูลที่เคยกะพริบแสงไฟสีเขียวเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในพริบตา โมเดลข้อมูลอนาล็อกของฐานปฏิบัติการใต้ดินเข้ามาแทนที่ตัวอักษรและตัวเลขไร้ระเบียบก่อนหน้านี้ พวกมันค้างเติ่งอยู่ตรงหน้าคนทั้งคู่ก่อนจะค่อย ๆ หมุนคว้างไปเรื่อย ๆ

การเลือกเส้นทางหลบหนีที่ดีที่สุดนั้นฟังดูแล้วเหมือนไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า พอจะลงมือทำจริง ๆ กลับต้องคำนึงถึงโครงสร้างอันซับซ้อนของฐานปฏิบัติการใต้ดินกับอันตรายต่าง ๆ ที่ซุกซ่อนอยู่หลังจากระบบรักษาความปลอดภัยถูกทำลายลง จากนั้นถึงค่อยเลือกแผนการที่เหมาะสมที่สุดไม่กี่แผนออกมาจากหลายร้อยหลายพันแผนการ

ถ้าเปลี่ยนให้คนทั่วไปมาปฏิบัติภารกิจนี้ บางทีคงต้องใช้คนกลุ่มหนึ่งมาทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบไม่ต่ำกว่าสามวันถึงจะทำได้สำเร็จ

เพียงสิบกว่าวินาทีถัดมา เซียวอี้ก็ค่อย ๆ ลืมตาที่หรี่เล็กลงอย่างติดเป็นนิสัยเวลาใช้สมองคำนวณด้วยความเร็วสูง เขาหันขวับมามองอวี่ฉี บนดวงหน้าอ่อนเยาว์นั้นแสดงสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังออกมาอย่างเห็นได้ชัด “ข้อเสนอเมื่อกี้ เธอตกลงหรือเปล่า?”

อวี่ฉีมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า เมื่อครู่ตอนที่เขาคำนวณนั้นต้องรวมคำตอบของเธอเข้าไปในการพิจารณาแล้วแน่ ๆ ต่อให้เธอไม่ตกลงร่วมมือ เขาก็ย่อมต้องเลือกทางอื่นอีกหลายทางที่สามารถหนีออกไปอย่างปลอดภัยได้อยู่ดี เหตุผลเพียงหนึ่งเดียวที่เขายังคงต้องการเธอ ก็เพราะว่าเธอมีส่วนช่วยให้เปอร์เซ็นต์การรอดชีวิตเพิ่มขึ้นได้เท่านั้น ต่อให้จะเพิ่มขึ้นได้แค่หนึ่งในสิบส่วนก็ตามที

เธออ่อนใจเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้าตอบตกลงไป

เซียวอี้ตอบ “อืม” เสียงเรียบนิ่งคำหนึ่ง เขาก้าวนำออกไปด้านนอกอย่างฉับไว พลางหันมาอธิบายเธอถึงเรื่องที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษรัว ๆ แม้ตัวเขาในตอนนี้จะยังเป็นแค่เด็กผู้ชายอายุสิบสองที่ร่างกายผอมบางอ่อนแอและยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว แถมยังมีแก้มป่องน้อย ๆ ตามลักษณะเฉพาะของคนในวัยนี้ กระนั้นในตัวเขากลับแผ่พลังอำนาจบางอย่างออกมาชัดเจน…พลังอำนาจที่ผู้ยืนหยัดอยู่เหนือคนอื่นมาอย่างยาวนานเท่านั้นถึงจะมีได้ มันชวนให้คนอื่นยอมคล้อยตามคำสั่งของเขาได้แบบไม่ทันรู้ตัว

 

อวี่ฉีไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เส้นทางที่ ‘คอมพิวเตอร์ร่างมนุษย์’ ระดับท็อปคลาสของโลกในตอนนี้อย่างเซียวอี้เลือกมานั้น มันทั้งปลอดภัยและสะดวกสบายจริง ๆ ตลอดทางทั้งคู่เจอเพียงซอมบี้ไม่กี่ตัวเท่านั้น และแน่นอนว่าอวี่ฉีสามารถจัดการพวกมันได้แบบสบาย ๆ

ยิ่งไปกว่านั้น เด็กชายยังวางแผนกำหนดเส้นทางให้ทั้งเธอและเขาสามารถผ่านหน้าคลังอาวุธกับโกดังเก็บของในฐานปฏิบัติการได้อย่างเหมาะเจาะ โดยไม่ต้องเพิ่มระยะทางได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

เมื่อประเมินได้ว่าอนาคตอาจจะมีโอกาสปะทะกับพวกซอมบี้มากที่สุด นั่นก็หมายความว่าหลังจากนี้พวกเขาจะเผชิญหน้ากับการต่อสู้ในระยะประชิดบ่อยที่สุด เซียวอี้จึงทิ้งอาวุธปืนที่มีพลังทำลายรุนแรงกว่า มาเลือกอาวุธจำพวกมีดที่ไม่เปลืองลูกกระสุน แถมไม่ทำให้เกิดเสียงดังที่สามารถเรียกซอมบี้ตัวอื่นมาเพิ่มแทน

เธอและเซียวอี้เจอชุดเครื่องแบบพร้อมรบสองชุดในคลังอาวุธ ต่างฝ่ายจึงต่างเปลี่ยนชุดของตัวเอง แล้วควานหากระเป๋าเป้แบบทหารมาคนละใบ

หลังจากนั้นเซียวอี้ก็เลือกมีดพับพกพาอเนกประสงค์ที่มีใบมีดหลายรูปแบบดูแข็งแรงทนทานเล่มหนึ่งขึ้นมา มันเหมาะจะนำไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งยังพกพาสะดวก ด้ามจับของมันทำมาจากไม้เนื้อเดียวกัน จึงไม่ฝืดมือจนทำให้เกินแผลพุพองได้ง่าย ๆ นอกจากนี้ต่อให้มือมีเหงื่อ มันก็ไม่ลื่นหลุดมืออีกด้วย

เขาตระหนักดีว่าตัวเองมีลักษณะทางกายภาพและความสามารถที่พอจะควบคุมได้แค่อาวุธมีดประเภทนี้เท่านั้น แต่สำหรับอวี่ฉี เขากลับช่วยเธอเลือกมีดโค้งวงพระจันทร์เล่มหนึ่งให้โดยไม่ได้คำนึงว่ามันจะเหมาะกับเธอหรือเปล่า ซ้ำยังบอกเธอด้วยว่า มีดแบบนี้สามารถตัดขอนไม้หนา ๆ ให้ขาดออกจากกันได้

อวี่ฉีได้รับบทเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์เอาแต่ใจมานาน ตอนรับมีดที่สามารถ ‘ตัดขอนไม้ให้ขาดได้’ เล่มนั้นมา เธอก็อดที่จะอึ้งงันไม่ได้ แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพก็ทำให้เธอปรับตัวเข้ากับสถานะวายร้ายในปัจจุบันที่มีความได้เปรียบด้านร่างกายของตัวเองอย่างรวดเร็ว เธอจึงไม่แสดงความเห็นอะไรให้มากความ

 

เส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังโกดังเก็บของนั้นค่อนข้างเดินลำบาก เซียวอี้จึงเลือกเส้นทางที่ฐานปฏิบัติการใช้สำหรับระบายน้ำเพื่อประหยัดเวลา ด้านในของมันไม่ใช่แค่สกปรกโสโครกจนแทบลมจับ แต่ยังมืดสนิทไปทั่วบริเวณด้วย นี่แปลว่าสำหรับพวกเขาสองคนที่ไม่มีทั้งไฟฉาย เข็มทิศ หรืออุปกรณ์อื่นใดนั้นต้องใช้วิธีคลำผนังท่อน้ำเดินไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว ได้แต่ใช้สัญชาตญาณมากำหนดทิศทางที่จะเดินหน้าและใช้มันในการคิดคำนวณระยะทางที่เดินผ่านมาคร่าว ๆ ว่าจะถึงเป้าหมายเมื่อไรเท่านั้น

โชคดีที่สมรรถภาพทางร่างกายที่เกือบเรียกได้ว่าเหนือมนุษย์ของอวี่ฉีนั้น ช่วยให้เธอสามารถเคลื่อนไหวคล่องตัวราวกับเดินบนพื้นราบได้แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ส่วนเซียวอี้เองก็พึ่งพาสมองอันทรงประสิทธิภาพ และสามารถประเมินทิศทางกับระยะทางได้อย่างสบาย ๆ

เดินฝ่าความมืดในระยะทางสั้น ๆ นั้นไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไร ถ้าหากพวกเธอร่วมมือกัน ทว่าต่อให้แผนการจะสมบูรณ์แบบสักแค่ไหน บางครั้งก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ แม้แต่เซียวอี้เองก็อาจจะตัดสินใจผิดพลาดได้ในบางเวลา

อย่างเช่น เรื่องที่เขาประเมินความสามารถในการทรงตัวกับสมรรถภาพทางร่างกายของตัวเองสูงเกินไป…ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาสะดุดอะไรเข้าหรือเท้าลื่นกันแน่ ตอนที่เดินไปได้ครึ่งทาง เซียวอี้จึงหกล้มอย่างไม่ทันตั้งตัว

เพราะความเงียบงันรอบตัว อวี่ฉีก็ถึงขั้นได้ยินเสียงกึกดังชัดเจนมาจากข้อต่อส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเขา

เซียวอี้ไม่ตอบอะไร ฟังจากเสียงแล้วเหมือนเขาพยายามจะลุกขึ้นยืน แต่กลับล้มเหลว เสียงครางอู้อี้เบาหวิวของเขาดังแว่วอยู่ในความมืดมิดราวกับได้รับความเจ็บปวดอย่างหนัก แต่เซียวอี้กลับไม่ยอมร้องโอดครวญออกมาสักคำ

หลังผ่านความเงียบชั่วครู่สั้น ๆ ไป เธอได้ยินเสียงที่ยังแฝงความเป็นเด็กของเขาดังแว่วขึ้นมาในความมืดมิด แต่มันสงบนิ่งจนเธอไม่เข้าใจ น้ำเสียงของเขาเย็นชาราวกับกำลังเล่าเรื่องของคนอื่น ไม่มีความเจ็บปวดใดแฝงไว้ในเสียงนั้นเลยสักนิด “ข้อเข่าน่าจะหลุดน่ะ” เขาเอ่ยต่ออย่างรวดเร็ว “ฉันคงเดินไม่ได้ไปพักใหญ่ แต่ถ้าทิ้งฉันเอาไว้ที่นี่ เธอก็ออกไปไม่ได้อยู่ดี เพราะประเมินทิศทางกับระยะทางไม่ได้ แต่เพื่อเป็นการชดเชย ข้อตกลงของพวกเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ชั่วคราว ฉันรู้สถานที่เก็บวัคซีนต้านไวรัสขององค์กร ฉันพาเธอไปเอาได้นะ ถ้าเธอต้องการมัน”

เซียวอี้ไม่เหมือนกับเด็กผู้ชายอายุสิบเอ็ดสิบสองทั่วไปตามที่คิดเอาไว้จริง ๆ เรื่องแรกที่เขาคิดขึ้นมาทันทีไม่ใช่เรื่องบาดแผลของตัวเอง แต่คือการโน้มน้าวอย่างไรให้เพื่อนร่วมทางที่อาจจะทิ้งเขาได้ทุกเมื่ออยู่กับเขาต่อ เซียวอี้เริ่มจากข่มขู่แล้วติดสินบนตบท้าย ถึงแม้วิธีใช้ถ้อยคำจะยังด้อยประสบการณ์จนแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าปฏิกิริยาตอบโต้รวมถึงการปรับตัวของเขานั้นเหนือชั้นกว่าเพื่อนวัยเดียวกันรวมไปถึงผู้ใหญ่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนหลายคนอย่างลิบลับจริง ๆ

นอกจากนี้แล้ว ดูเหมือนว่าทฤษฎีที่องค์กรคาดการณ์ไว้จะถูกต้องพอดีเป๊ะจริง ๆ เสียด้วย ยิ่งสมองมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงเท่าไร ร่างกายก็ยิ่งอ่อนแอลงเท่านั้น ในขณะที่เซียวอี้มีสติปัญญาสูงส่งเหนือคนธรรมดาหลายเท่า สมรรถภาพทางร่างกายของเขากลับดิ่งลงต่ำกว่าปกติอย่างช่วยไม่ได้ แค่หกล้มครั้งเดียวก็ทำให้ข้อเข่าของเขาหลุดได้ซะแล้ว

อวี่ฉีไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี เธอไม่ตอบข้อเสนอของเขา แต่เลือกที่จะเปลี่ยนมาสะพายกระเป๋าทหารไว้ข้างหน้าด้วยท่าทางคล่องแคล่ว จากนั้นก็ย่อตัวลงตรงหน้าเซียวอี้ “เวลามีจำกัด ฉันจะแบกนายเอง” เธอเว้นช่วง ก่อนเอ่ยขึ้นเสียงเบาแฝงด้วยเป้าหมายว่า “ไม่ต้องกังวล ฉันไม่มีทางไม่สนใจแล้วทิ้งนายเอาไว้อยู่แล้ว”

 

 

—————————————————————————————————————