บทที่ 635 หนึ่งวันอันน่าตกตะลึง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 635 หนึ่งวันอันน่าตกตะลึง

วันต่อมา

น้ำแข็งเกาะตัวหนาบนพื้นดิน

เสียงร้องไห้ฮือๆ คือสิ่งที่ปลุกหยางต้าซานขึ้นมาจากการหลับใหล

เมื่อชายหนุ่มดีดตัวลุกขึ้นนั่ง เขาก็พบว่าภรรยาและลูกๆ ของตนเองไม่อยู่แล้ว

“อู๋ต๋าที่อยู่ข้างบ้านเราไม่รอดเสียแล้ว อาการบาดเจ็บของเขารุนแรงมากเกินไป ซ้ำอากาศยังหนาวเหน็บมากเกินไป เมื่อคืนนี้เขาถึงกับหนาวตายด้วยความเจ็บปวด…”

ภรรยาของหยางต้าซานเดินเข้ามาด้วยสีหน้าซึมเศร้า

อู๋ต๋าและครอบครัวอาศัยอยู่ในกระท่อมไม้เคียงข้างพวกเขา และที่เหมือนกันมากไปกว่านั้นก็คือ อู๋ต๋ามีบุตรชายสองคนและมีบุตรสาวอีกหนึ่งคนเช่นกัน

แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คืออู๋ต๋ามีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับ 4 ถือว่ามีฝีมือสูงส่ง จึงได้รับการบรรจุเข้าเป็นคนงานของสำนักคุ้มกันกระทิงเหินหาวในพื้นที่เขตสาม หนึ่งเดือนมีรายได้ถึงหนึ่งเหรียญทองคำ กลายเป็นครอบครัวที่ชาวเมืองหยินเหยียนรู้สึกอิจฉามาโดยตลอด

น่าเสียดายที่สิบวันก่อน อู๋ต๋าถูกนำตัวมาทิ้งไว้ที่ทางเข้าค่ายพัก โดยมีข้อมูลเพียงเล็กน้อยแจ้งว่าเขาบาดเจ็บจากการต่อสู้ระหว่างทำภารกิจขนส่งสิ่งของให้กับทางสำนัก

จากชายฉกรรจ์ที่เคยแข็งแรงแกร่งกล้า มาบัดนี้กลับกลายเป็นผู้ป่วยนอนติดเตียง และเพื่อหาทางรักษาสามีของตนเอง ภรรยาของอู๋ต๋าจึงนำเงินเก็บที่มีอยู่ทั้งหมดของครอบครัวออกมาใช้จ่าย มิหนำซ้ำ นางต้องยอมพลีกายถวายตัวให้แก่หอนางโลมเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัวและช่วยชีวิตชายผู้เป็นที่รักของนางอีกด้วย…

เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ปานใจจะขาดของภรรยาอู๋ต๋า หยางต้าซานก็รู้สึกโกรธแค้นขึ้นมาทันที

ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็รู้สึกเศร้าจับใจ

นี่แหละชะตากรรมของผู้อพยพ

ความจริงนั้น มันเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้หยางต้าซานไม่เคยคิดจะเข้าไปทำงานในพื้นที่เขตสาม

สำหรับค่ายผู้อพยพทั้งหลาย ความตายและผู้ที่บาดเจ็บสาหัสจากการเข้าไปทำงานในพื้นที่เขตสามไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เนื่องด้วยในสายตาของเหล่าขุนนางชั้นสูงเหล่านั้น ชีวิตของผู้อพยพหาได้มีค่าแตกต่างไปจากเศษดินเศษหญ้าที่อยู่ข้างถนนไม่

หยางต้าซานไม่ได้กลัวตาย

แต่เขากลัวว่าหากตนเองตาย จะไม่มีใครคอยอยู่ดูแลปกป้องภรรยาและลูกๆ ต่างหาก

“นี่คือโอสถเป่ยเฉิน หยิงเอ๋อร์ เจ้าไปต้มน้ำให้เดือดและใส่มันลงไป คนให้ละลายในน้ำและดื่มกินกับลูกๆ ซะ พวกเจ้าจะได้ไม่ต้องหิวอีก เดี๋ยวข้ากับเหลาป่าจะออกไปสำรวจดูที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งพวกนั้นสักหน่อย…”

เมื่อพูดคุยกับภรรยาเรียบร้อย หยางต้าซานกับเหลาป่า รวมไปถึงลูกน้องคนอื่นๆ ก็ตกลงปลงใจตัดสินใจเสี่ยงโชค เดินมุ่งหน้าตรงไปยังค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งอย่างเชื่องช้า

ผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป

หยางต้าซานและพรรคพวกก็มาถึงจุดหมายปลายทาง และสิ่งที่พวกเขาพบเห็นก็คือค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งยังคงอยู่ดีเป็นปกติทุกประการ

นี่มัน…

เมื่อคืนนี้ มีนายทหารถึง 500 คนบุกมาโจมตีค่ายที่พักแห่งนี้ไม่ใช่หรือ?

อย่าว่าแต่บ้านเรือนของชาวเมืองหยุนเมิ่งจะไม่ได้รับความเสียหาย แม้แต่พื้นที่นอกเขตค่ายพักก็ยังไม่มีร่องรอยการต่อสู้สักนิดเดียว

ชาวเมืองหยุนเมิ่งยังคงทำงานต่อไปอย่างมีความสุข

บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักแจ่มใสและชุลมุนวุ่นวาย

ดังนั้น หยางต้าซานและลูกน้องจึงเดินเข้าไปลงชื่อทำงาน

“หยางต้าซาน หูเหลาป่า มากันแล้วหรือ?”

ชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่ดูแลคนงานมีนามว่าฉุยหมิงโหลว เขาเป็นบุรุษผิวขาวหน้าตาดี ลักษณะสูงส่งน่าจะถือกำเนิดเกิดในตระกูลขุนนางใหญ่ แต่เมื่อเห็นหน้าพวกของหยางต้าซานในขณะนี้ ฉุยหมิงโหลวก็ถึงกับขมวดคิ้วเล็กน้อย “พวกเจ้ามาสายไปชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วย คราวหน้าคราวหลัง ขอให้ตรงเวลามากกว่านี้หน่อย”

หยางต้าซานเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ “คุณชายจำชื่อพวกข้าน้อยได้ด้วยหรือขอรับ?”

คุณชายฉุยตอบกลับมาเสียงเรียบ

“มันจะไปยากอะไร? ข้าจำชื่อพวกเจ้าได้หมดทุกคนเลยด้วยซ้ำ หยางต้าซาน เจ้าไปรายงานตัวกับนายช่างเหลียวที่จุดก่อสร้างจุดที่หนึ่ง นายช่างได้เตรียมโอสถเป่ยเฉินไว้ให้แล้ว หูเหลาป่าเจ้าไปเอาอุปกรณ์สำหรับการขุดดินมาจากหน่วยเคลื่อนย้าย แล้วตรงไปยังพื้นที่เกษตรกรรมสำหรับปลูกข้าวสาลี ส่วนซื่อโจว เจ้าและคนอื่นๆ ที่เหลือ…”

ทุกคนได้รับมอบหมายงานที่แตกต่างกันไป

กลุ่มคนงานเดินไปยังพื้นที่ทำงานของตนเอง

โชคดีที่เมื่อวานนี้พวกเขาเคยทำงานมาแล้ว จึงพอจะรู้จักเส้นทางอยู่บ้าง

หยางต้าซานเดินตรงไปยังพื้นที่ก่อสร้างจุดที่หนึ่งและพบว่าพวกของเหลียวหยงจงรวมถึงคนงานคนอื่นๆ ได้เริ่มต้นขุดดินเรียบร้อยแล้ว ถ้าเข้าใจไม่ผิด พื้นที่ตรงบริเวณนี้จะถูกสร้างเป็นห้องลับหรือห้องใต้ดินสำหรับคุณชายหลิน แต่แบบแผนการก่อสร้างถูกเก็บเป็นความลับสุดยอด หยางต้าซานจึงทำได้เพียงคิดและสงสัยเท่านั้น

“อ้าว ต้าซาน มาแล้วหรือ วันนี้เจ้ามาทำงานสายนะ”

เมื่อนายช่างเหลียวหยงจงเห็นหน้าหยางต้าซานก็พูดทักทายพร้อมกับส่งโอสถเป่ยเฉินมาให้ “ถึงคุณชายหลินมักจะนอนหลับจนถึงเที่ยงวันก็ตาม แต่สิ่งที่คุณชายเกลียดมากที่สุดก็คือคนที่ไม่ตรงต่อเวลา เพราะฉะนั้น หลังจากนี้เจ้าอย่าได้มาสายอีกเป็นอันขาด นี่ยาของเจ้า กินแล้วก็รีบไปทำงาน ภารกิจก่อสร้างของพวกเรามีเวลาจำกัด จะเชื่องช้าไม่ได้ พวกเราต้องไม่ทำให้คุณชายหลินผิดหวังเด็ดขาด…”

หยางต้าซานรับยาลูกกลอนเม็ดนั้นมากัดเข้าปากเพียงสามส่วนและเก็บส่วนที่เหลือใส่ไว้ในกระเป๋า เพื่อสำหรับนำกลับไปฝากภรรยาและลูกๆ ซึ่งรออยู่ที่บ้าน

เห็นดังนั้น เหลียวหยงจงก็ยิ้มแย้มและพูดว่า “เจ้าคงจะเก็บเอาไว้ฝากคนในครอบครัวกระมัง? ไม่เป็นไร ตราบใดที่เจ้าทำงานหนัก เจ้าจะมียากลับไปฝากทุกคนเสมอ ดูท่าแล้วเจ้าคงต้องเลี้ยงหลายปากท้องเลยสินะ มานี่สิ มารับยาเพิ่มไปอีก…”

พูดจบ นายช่างใหญ่ก็ส่งยาลูกกลอนมหัศจรรย์มาให้หยางต้าซานอีก 3 เม็ด

หยางต้าซานทำได้เพียงปฏิเสธพร้อมกับพูดว่า “ข้าน้อยมิกล้ารบกวน”

“เอาน่า ไม่ต้องเกรงใจหรอก”

เหลียวหยงจงยังคงพูดต่อไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ก่อนหน้านี้ โอสถเป่ยเฉินมีค่ายิ่งกว่าเหรียญทองคำ แต่บัดนี้ พวกเราสามารถหลอมมันออกมาได้เป็นจำนวนมาก เด็กๆ ในค่ายพักของพวกเรารับประทานพวกมันเป็นขนมทานเล่น แม้แต่ข้าเองก็ยังได้รับ 5 เม็ดต่อวัน หากเจ้าอยากจะนำไปฝากคนในครอบครัว ข้าก็สามารถให้ยืมได้ เอาไว้เจ้ามีเงินเมื่อไหร่ค่อยมาใช้คืนก็ยังไม่สาย”

หยางต้าซานถึงกับตกตะลึงแล้ว

เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าโอสถเป่ยเฉินในค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งจะมีมากมายถึงขนาดนี้

หากค่ายพักผู้อพยพอีกหลายร้อยแห่งรับทราบเรื่องนี้ ก็คงจะต้องรู้สึกอิจฉาเป็นแน่แท้

“โอสถชนิดนี้มีความพิเศษไม่เหมือนใคร ไม่ทราบว่าข้าน้อยจะซื้อหามันได้จากที่ใดบ้างขอรับ?”

หยางต้าซานสอบถามพร้อมกับขุดดินไปด้วย

นายช่างใหญ่เหลียวหยงจงตอบกลับมา “ดูจากชื่อโอสถเจ้าไม่รู้หรืออย่างไร นี่คือสูตรที่คิดค้นขึ้นมาโดยคุณชายหลินเป่ยเฉิน ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงเรียกมันว่าโอสถเป่ยเฉิน ส่วนวิธีการหลอมโอสถขึ้นมานั้น มีแต่เพียงคุณชายหลินกับนักหลอมโอสถอานมู่ซีเท่านั้นที่รู้”

หยางต้าซานเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจมากยิ่งขึ้น

เด็กหนุ่มหน้าขาวผู้นั้นก็เป็นนักหลอมโอสถด้วยหรือ?

หยางต้าซานขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด บางทีนักหลอมโอสถที่ชื่ออานมู่ซีนั่นแหละคงเป็นผู้คิดค้นหลัก แต่จำเป็นต้องใช้ชื่อโอสถเป่ยเฉินก็เพราะว่าเด็กหนุ่มเป็นผู้ให้ทุนสนับสนุน เรื่องราวเช่นนี้สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในโลกกว้าง

แต่ถึงกระนั้น หยางต้าซานก็ไม่กล้าถามอะไรให้มากความอีก เขาก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปด้วยความขยันขันแข็ง

ล่วงถึงยามบ่าย ได้เวลาหยุดพัก

และมันก็เป็นตอนที่หยางต้าซานพบเห็นกลุ่มคนปริศนาปรากฏตัวที่ทางเข้าค่ายพักจากระยะไกล

คนกลุ่มนั้นเป็นชายฉกรรจ์ไม่สวมเสื้อ อีกทั้งกางเกงที่สวมใส่นั้นก็ยังมีความเบาบางแทบปิดบังอะไรไม่ได้อีกแล้ว บนแผ่นหลังของพวกเขาแบกตะกร้าบรรจุก้อนหินหนัก ทุกคนเดินผ่านประตูทางเข้าค่ายพักด้วยสีหน้าหวาดกลัวและระทึกขวัญ ฝีเท้ารวดเร็ว ราวกับว่าต้องการหลบหนีการไล่กวดของฝูงหมาป่าก็ไม่ปาน

ที่ด้านหลังของกลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านี้ มีสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งลักษณะเหมือนหนูตัวใหญ่สีเงินคอยเฆี่ยนแส้หนังโบยตีผู้ที่เดินเชื่องช้าอืดอาด หนูยักษ์ตัวนี้มีความสูงเท่าครึ่งเอวมนุษย์ บริเวณลำคอห้อยกระดานชนวน ส่งเสียงขู่คำรามออกมาด้วยความดุดันตลอดเวลา

ขนสีเงินวาวบนตัวของมันสะท้อนประกายระยิบระยับกับแสงตะวัน ช่วยเสริมสร้างให้เจ้าหนูดูน่ารักมากขึ้นกว่าเดิม และทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกอยากจะเข้าไปสวมกอดมันด้วยความหมั่นเขี้ยว…

และที่ด้านหลังของเจ้าหนูตัวนี้ก็มีสุนัขมีปีกตัวหนึ่งวิ่งตามมา…

ไม่ใช่สิ

ผิดแล้ว

เมื่อหยางต้าซานลองตั้งใจดูให้ดี เขาถึงเห็นว่ามันเป็นลูกเสือมีปีกตัวหนึ่ง

ลูกเสือตัวนี้มีขนาดเท่าครึ่งเอวมนุษย์เช่นกัน แต่มันดูมีความดุร้ายมากกว่าเจ้าหนูยักษ์หลายต่อหลายเท่า เขี้ยวในปากของมันนั้นคมกริบยิ่งกว่าใบมีด บางครั้งมันก็จะเอาหัวมาดุนตัวเจ้าหนูยักษ์ด้วยความออดอ้อน และบางครั้งมันก็จะหันไปส่งเสียงคำรามใส่กลุ่มชายฉกรรจ์ไร้เสื้อผ้าเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้กลุ่มชายฉกรรจ์จะหวาดกลัวจนแข้งขาอ่อนแรง แต่ทุกคนก็ตั้งใจทำงานมากขึ้นและไม่กล้าเชื่องช้าอีกเลย…

นี่คือการรวมตัวที่แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง

มันคือสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้

“สัตว์ประหลาดพวกนั้นมาจากไหนหรือขอรับ?”

หยางต้าซานถามออกมาด้วยความสงสัย

เหลียวหยงจงประทับใจความขยันอดทนและฝีมือที่ยอดเยี่ยมของหยางต้าซานอยู่ก่อนแล้ว จึงคอยตอบคำถามของเขาด้วยความอดทน “นั่นคือสัตว์เลี้ยงของคุณชายหลิน มีนามว่าอากวง แต่อย่าประมาทหน้าตาที่น่ารักน่าชังของอากวงเด็ดขาด เพราะมันมีพลังอยู่ในขั้นยอดสัตว์อสูรทีเดียว ส่วนลูกเสือมีปีกที่วิ่งตามหลังมันนั้นคือลูกเลี้ยงของอากวง มีพลังอยู่ในขั้นยอดสัตว์อสูรเช่นกัน…”

หยางต้าซานถึงกับพูดตะกุกตะกักด้วยความตกตะลึง “ยะ ยะ ยะ… ยอดสัตว์อสูรหรือขอรับ?”

เหลียวหยงจงพยักหน้าด้วยความตื่นเต้นและภาคภูมิใจ “ถูกต้องแล้ว พวกมันได้รับการฝึกฝนจากคุณชายหลินด้วยตนเอง นับดูในโลกนี้ ไม่มีผู้ใดมีความสามารถมากเท่ากับคุณชายหลินอีกแล้ว”

หยางต้าซานถามออกมาอีกครั้งว่า “ส่วนชายฉกรรจ์กลุ่มนี้…”

“อ้อ หมายถึงเจ้าเศษขยะพวกนั้นน่ะหรือ”

เหลียวหยงจงพ่นลมผ่านทางจมูกด้วยความดูถูก “ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าพวกมันเป็นทหารจากไหน แต่เมื่อคืนนี้มันลอบเข้ามาโจมตีค่ายที่พักของพวกเรา ฮ่าฮ่าฮ่า แต่ระดับพลังของพวกมันต่ำต้อยมาก ไม่ต้องถึงมือคุณชายหลินหรืออาจารย์ฉู่หรอก เพียงพบเจอสองสาวรับใช้เฉียนเหมยกับเฉียนเจิน พวกมันก็ถูกกำราบหมดสิ้น คุณชายหลินใจดีมีเมตตาไว้ชีวิตพวกมัน แต่สั่งให้ถอดเสื้อผ้าและนำไปใช้แรงงานขุดดินตัดต้นไม้เก็บก้อนหิน เพื่อเอาไว้ใช้ทำสิ่งปลูกสร้างต่อไป…”

หยางต้าซานเบิกตาโตด้วยความตกตะลึงอีกครั้ง

วันนี้ช่างเป็นวันที่ยาวนานเหลือเกิน หยางต้าซานรู้สึกเหมือนกับเวลาผ่านไปหลายสิบปีอย่างไรอย่างนั้น

ทั้งโอสถเป่ยเฉิน สัตว์เลี้ยงที่อยู่ในขั้นยอดสัตว์อสูร หญิงรับใช้ผู้เก่งกล้า นายทหารที่ถูกจับตัวมาใช้แรงงาน… ทุกสิ่งทุกอย่างนี้คือความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในค่ายพักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง

แต่ตอนที่ชายหนุ่มกำลังจะพูดอะไรออกมานั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าฝูงหนึ่งดังขึ้นนอกค่ายพัก

ไม่กี่ลมหายใจต่อมา นายทหารกลุ่มหนึ่งก็ขี่ม้าผ่านหน้าพวกเขาไปด้วยความรวดเร็วดุจดั่งลูกธนูหลุดออกจากแหล่ง

นายทหารที่อยู่บนหลังม้าสวมใส่ชุดเกราะที่มีสีสันเป็นประกายแวววาว

นี่คือชุดเกราะอย่างเป็นทางการของนายทหารเมืองเจาฮุย

บ่งบอกว่านี่คือการมาถึงของคนใหญ่คนโต!