บทที่ 636 เมื่อสักครู่ข้าไม่ทันระวังตัว...

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 636 เมื่อสักครู่ข้าไม่ทันระวังตัว…

โดยเฉพาะนายทหารที่ขี่ม้านำขบวนอยู่ด้านหน้าสุด เขาสวมใส่ชุดเกราะสีเงินแวววาว และหมวกโลหะที่สวมใส่ก็ประดับพู่สีแดงปลิวไสวไปตามสายลมเสมือนกับเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ด้วยความร้อนแรง

ทหารหนุ่มผู้นี้มีร่างกายสูงใหญ่และมีสง่าราศีน่าเกรงขาม

แม้มองจากระยะห่างไกล ทุกคนก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างกายของชายผู้นี้ แม้แต่หยางต้าซานก็ยังรู้สึกหายใจลำบากแล้ว

ทหารหนุ่มคนนี้คงเป็นคนใหญ่คนโตแน่ๆ

อย่างน้อยก็คงเป็นแม่ทัพคอยบัญชาการกองทัพทหาร

ระบบทางการทหารของจักรวรรดิเป่ยไห่ หนึ่งหน่วยจะประกอบด้วยนายทหารสิบคน สิบหน่วยจะเท่ากับหนึ่งกองร้อย สิบกองร้อยจะเท่ากับหนึ่งกองพัน และสิบกองพันจะเท่ากับหนึ่งกองทัพ

นายทหารกลุ่มนี้แต่ละคนล้วนเป็นแม่ทัพนายกอง มีจำนวนทั้งสิ้น 20 นาย แต่กลับมีความน่าเกรงขามและความน่ากลัวเทียบเท่ากับนายทหารหลายพันคนรวมกัน

“นั่นมันท่านแม่ทัพกงซุนนี่นา”

“ท่านเทพสังหารกงซุนไป๋”

“ท่านแม่ทัพกงซุนมาช่วยพวกเราแล้ว”

นายทหารชาวนครเจาฮุยผู้ถูกจับตัวมาใช้แรงงานแสดงสีหน้าดีใจออกมาสุดชีวิตเมื่อเห็นฝูงม้าควบขี่เข้ามาจากระยะไกล พวกเขาหยุดทำงานและหันมากระซิบกระซาบบอกต่อกันด้วยความตื่นเต้น

นับตั้งแต่เข้าร่วมกองทัพ นับตั้งแต่ที่เกิดสงคราม พวกเขาล้วนเป็นฝ่ายรังแกผู้อื่นทั้งสิ้น และไม่เคยมีผู้ใดกล้ารังแกนายทหารจากนครเจาฮุยมาก่อน

แต่เมื่อคืนนี้ ค่ายที่พักของผู้อพยพซึ่งสมควรถูกกำจัดทิ้งได้ง่ายๆ กลับกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ทุกคนไม่คาดคิด และชายชาติทหารอย่างพวกเขาก็ต้องถูกจับเปลื้องผ้าและกลายมาเป็นคนงานรับใช้ชาวเมืองหยุนเมิ่งไปเสียอย่างนั้น แล้วในโลกนี้ยังจะมีผู้ใดสามารถทนรับชะตากรรมเช่นนี้ได้อีก?

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าชาวเมืองหยุนเมิ่งขาดแคลนแรงงาน ป่านนี้พวกเขาก็คงถูกฆ่าตายไปนานแล้ว

แต่นั่นกลับเป็นเรื่องดี

เพราะบัดนี้ ท่านเทพสังหารกงซุนไป๋จากกองทัพเว่ยซานได้มาช่วยเหลือทุกคนแล้ว

บรรดานายทหารที่ถูกจับตัวมาในครั้งนี้ บางคนก็เป็นสมาชิกของกองทัพเว่ยซาน พวกเขาถึงกับร่ำไห้ออกมาอย่างมีความสุข

ปลอดภัยแล้ว

ทุกคนรอดตายแล้ว

ในเวลาเดียวกันนี้

ชาวเมืองหยุนเมิ่งก็สังเกตเห็นกลุ่มนายทหารที่ขี่ม้าเข้ามาเช่นกัน

แต่ปฏิกิริยาตอบรับของพวกเขาแตกต่างไปจากพวกหยางต้าซานโดยสิ้นเชิง

ชาวเมืองยืนนิ่งด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะหันมากระซิบกระซาบกันและกัน ราวกับว่ากำลังรับชมการแสดงที่สนุกสนานและทุกอย่างไม่ได้เกี่ยวข้องกับชาวเมืองหยุนเมิ่งแม้แต่น้อย เมื่อพวกของหยางต้าซานเห็นดังนั้น พวกเขาก็ยิ่งตะลึงงันมากไปกว่าเดิม

ชาวเมืองหยุนเมิ่งเหล่านี้ไม่รู้จักความกลัวเลยหรืออย่างไร?

หรือว่าพวกเขาไม่มีความกลัว?

แต่คิดไปคิดมา หยางต้าซานก็ลงความเห็นว่าชาวเมืองหยุนเมิ่งยังไม่รู้มากกว่า ว่านายทหารในชุดเกราะสีเงินเหล่านี้มีความน่ากลัวมากแค่ไหน

หยางต้าซานได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้เกิดการต่อสู้ขึ้นเลย

หัวใจของเขาเต้นระทึก

ถ้าเกิดการต่อสู้ขึ้น ชาวเมืองหยุนเมิ่งไม่มีทางต่อกรกับแม่ทัพกงซุนไป๋ได้เด็ดขาด

จังหวะนั้น…

นายทหารทั้ง 20 คนก็มาถึงทางเข้าค่ายพักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง

“หยุด!”

ได้ยินเสียงคำรามส่งสัญญาณดังกังวาน แล้วม้าทุกตัวก็หยุดฝีเท้าลง

การเคลื่อนไหวทุกอย่างเป็นระบบระเบียบอย่างน่าทึ่ง

อาชาทุกตัวล้วนมีสีขาวปลอด ดูสง่างามราวกับเป็นพาหนะของเทพเจ้า

เช่นเดียวกับผู้ที่ควบขี่มันทุกๆ คน

“หลินเป่ยเฉินและชาวเมืองหยุนเมิ่งจงฟังเอาไว้ให้ดี ข้าคือตัวแทนของท่านแม่ทัพกองพันม้าขาวแห่งทัพเว่ยซาน วันนี้มีเรื่องอยากจะมาสอบถามเจ้าเล็กน้อย จงรีบเสนอหน้าออกมาเสียดีๆ มิฉะนั้นแล้ว…”

ลูกน้องของกงซุนไป๋ระเบิดเสียงคำรามอยู่บนหลังม้าคู่ใจ

เสียงของเขาดังกังวานไปไกลเพราะใช้พลังลมปราณช่วยขยายเสียง

เสียงของนายทหารหนุ่มผู้นี้ดังสะท้านสะเทือนผืนฟ้าไม่ต่างจากเสียงฟ้าคำราม มันกึกก้องไปทั่วค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง และส่งผลให้มวลอากาศเกิดความปั่นป่วนขึ้นมาในพริบตา

แต่บริวารของแม่ทัพหนุ่มยังไม่ทันได้พูดจบประโยค…

เพี๊ยะ!

เสียงแส้โบยตีก็ขัดจังหวะขึ้นมา

“อ๊าก…”

ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมาน

หยางต้าซานและพรรคพวกถึงกับไม่เชื่อสายตาตนเองเมื่อเห็นว่านายทหารชุดเกราะเงินที่กำลังส่งเสียงคำรามอยู่นั้น ถูกแส้ในมือของเจ้าหนูสีเงินกระชากร่วงลงจากหลังม้าตกลงมาคลุกฝุ่นอยู่บนพื้นดิน

บรรดานายทหารที่ถูกจับตัวมาเป็นคนงานถึงกับต้องตกตะลึงไปอีกครั้ง

ความดีใจสลายหายไปจากใบหน้า

เป็นไปได้อย่างไรกัน?

“เจ้าสัตว์ประหลาดชั่วร้าย ไม่รู้จักความตายเสียแล้ว”

แม่ทัพเทพสังหารกงซุนไป๋คำรามออกมาด้วยความฉุนเฉียว

หัวไหล่ของเขาสะบัดเพียงเล็กน้อย กงซุนไป๋ก็ลอยตัวขึ้นจากหลังม้า มือจับกระบี่ที่เหน็บอยู่ข้างเอว เพียงชักกระบี่ออกจากฝักได้ไม่ถึงครึ่งเล่ม รังสีอำมหิตก็แผ่ออกมาให้รู้สึกได้อย่างชัดเจน…

การเคลื่อนไหวของกงซุนไป๋มีความรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง

แต่ทว่า…

เพี๊ยะ!

ได้ยินเสียงแส้โบกสะบัดดังขึ้นอีกครั้ง

ปรากฏว่าแม่ทัพกงซุนไป๋ผู้มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ และเป็นแม่ทัพผู้นำนักรบนับพันชีวิตจากกองทัพเว่ยซาน กลับประเมินพลังของสายแส้ในมือเจ้าหนูสีเงินต่ำมากเกินไป

กระบี่ในมือของเขาจึงถูกซัดกระเด็นลอยออกไปแล้ว!

เดี๋ยวก่อนนะ?

นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน?

ดวงตาของหยางต้าซานและพรรคพวกแทบจะถลนออกมานอกเบ้า

“ท่านแม่ทัพ…”

“กระบี่หลุดออกไปจากมือท่านแม่ทัพแล้ว!”

นายทหารบนม้าขาวที่อยู่ใกล้ตัวมากที่สุดร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจ

และหนึ่งในนายทหารผู้ติดตามก็ได้โยนกระบี่ของตนเองให้กับกงซุนไป๋กลางอากาศ

กงซุนไป๋หมุนตัวตีลังกาด้วยท่วงท่าสง่างาม กระบี่ที่หมุนวนอยู่ในอากาศลอยเข้ามาอยู่ในมือของเขาได้อย่างแม่นยำ หลังจากนั้น กงซุนไป๋ก็ทิ้งตัวลงบนพื้นดิน ก่อนที่จะดีดตัวกลับขึ้นไปในอากาศอีกครั้ง!

“เมื่อสักครู่ข้าไม่ทันระวังตัว เจ้าหนูบัดซบฉวยโอกาสเล่นทีเผลอ เจ้าจะต้อง…”

แม่ทัพหนุ่มหัวเราะเยาะพร้อมกับตวัดกระบี่ในมือ

คมกระบี่สาดประกาย

นี่คือกระบวนท่าที่กงซุนไป๋ใช้ออกมาเป็นประจำ

อานุภาพการโจมตีของกระบวนท่านี้ปรากฏเป็นความมั่นใจบนใบหน้ากงซุนไป๋

แต่อย่างไรก็ตาม…

เพี๊ยะ!

เสียงแส้ดังขึ้นอีกครั้ง

เจ้าหนูสีเงินโบกสะบัดสายแส้ในมือ คราวนี้นอกจากจะทำให้กระบี่หลุดออกไปจากมือได้แล้ว สายแส้ยังม้วนพันรัดเข้ากับลำตัวของแม่ทัพหนุ่มอีกด้วย

“ย๊าก ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!”

กงซุนไป๋ระเบิดเสียงคำราม

เขาโคจรพลังลมปราณไปทั่วร่างกาย

หมายจะระเบิดสายแส้ให้แหลกเป็นผุยผง

แต่หลังจากลองโคจรพลังดูสามครั้งติดๆ กัน กงซุนไป๋ก็ได้แต่พิศวงสงสัยว่าแส้เส้นนี้ทำมาจากวัสดุชนิดใดหนอ นอกจากมันจะไม่ระเบิดแล้ว แม้แต่ร่องรอยการฉีกขาดก็ไม่มีให้เห็น!