บทที่ 637 เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น!

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 637 เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น!

แต่การดิ้นรนของกงซุนไป๋ยิ่งทำให้เจ้าหนูสีเงินไม่สบอารมณ์มากขึ้น

มันแยกเขี้ยวด้วยสีหน้าโกรธแค้น ก่อนจะสะบัดสายแส้ในมือหมุนวนเหมือนกังหันลม

วูบ! วูบ! วูบ!

แม่ทัพกงซุนไป๋แห่งกองทัพเว่ยซานหมุนวนในอากาศไม่ต่างไปจากกระสอบผ้าเก่าขาดใบหนึ่ง ร่างกายของเขาถูกฟาดกระแทกกับพื้นดินทางนั้นทีทางนี้ทีเป็นจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน

ในฤดูหนาว พื้นดินของพื้นที่เขตนี้จะมีความแข็งตัวมากเป็นพิเศษจากการรวมตัวของน้ำแข็ง เมื่อร่างกายของมนุษย์ถูกฟาดลงไป แรงกระแทกที่เกิดขึ้นก็ทำให้พื้นดินยุบลงไปเป็นรูปร่างมนุษย์ขึ้นมา

ทุกคนยังอยู่ในอาการตกตะลึง และตั้งตัวไม่ทันกับสิ่งที่เกิดขึ้น เจ้าหนูสีเงินหยุดมืออย่างกะทันหัน มันสะบัดข้อมือเล็กน้อย แล้วสายแส้ที่พันธนาการอยู่บนลำตัวกงซุนไป๋ก็ถูกคลี่คลายออกมา

“ฟู่…”

แม่ทัพหนุ่มผู้หล่อเหลากระอักเลือดออกมาจากปากคำใหญ่ แขนขาของเขาหักงอผิดรูปผิดร่าง ดวงตาเหม่อลอย ก่อนที่จะหมดสติไปด้วยสภาพบาดเจ็บสาหัส

พวกของหยางต้าซานอ้าปากเหวอด้วยความตกตะลึงจนแทบจะสามารถกลืนกินแตงโมเข้าไปได้ทั้งลูก

บรรดานายทหารที่อยู่บนหลังม้าสีขาวก็มีอาการไม่ต่างกัน

เช่นเดียวกับบรรดาคนงานที่ถูกจับตัวมาก่อนหน้านี้ ไม่กี่อึดใจก่อน พวกเขายังร่ำร้องออกมาด้วยความดีใจสุดชีวิต แต่มาบัดนี้ สีหน้าทุกคนเปลี่ยนแปลงไปแล้ว พวกเขาได้แต่หันมามองหน้ากัน พูดอะไรไม่ออก สุดท้ายก็หมุนตัวกลับไปทำงานขุดดินเก็บไม้ยกก้อนหินต่อไปดังเดิมด้วยความรวดเร็ว…

ราวกับว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

ราวกับว่าแม่ทัพเทพสังหารกงซุนไป๋ไม่เคยได้ปรากฏตัวมาก่อน

ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นจากในค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง

เสียงหัวเราะนี้ช่างแตกต่างกับสภาพที่น่าอเนจอนาถใจของกงซุนไป๋เหลือเกิน

เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเหล่านั้น มุมปากของหยางต้าซานก็กระตุกระริก

ขณะนี้ หยางต้าซานนึกถึงประโยคที่นายช่างเหลียวพูดขึ้นมาเมื่อตอนเช้าทันที…

“นั่นคือสัตว์เลี้ยงของคุณชายหลิน มีนามว่าอากวง แต่อย่าประมาทหน้าตาที่น่ารักน่าชังของอากวงเด็ดขาด เพราะมันมีพลังอยู่ในขั้นยอดสัตว์อสูรทีเดียว…”

ตอนนั้นหยางต้าซานคิดว่านี่เป็นเพียงคำเยินยอเกินจริง และนายช่างเหลียวมองทุกอย่างด้วยสายตาลำเอียงมากเกินไป

ทว่า เมื่อได้มาเห็นกับตาของตนเองเช่นนี้…

หยางต้าซานก็รู้แล้วว่าสิ่งที่นายช่างใหญ่พูดออกมาเป็นความจริงทุกประการ

เด็กหนุ่มหน้าขาวผู้มีนามว่าหลินเป่ยเฉินนับเป็นอัจฉริยะจริงๆ

ไม่อย่างนั้นแล้ว เขาคงไม่สามารถมีสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้เด็ดขาด

หยางต้าซานจึงไม่สงสัยอีกแล้วว่าเพราะเหตุใดชาวเมืองหยุนเมิ่งถึงไม่หวาดกลัวอะไรเลย

ช่างน่าอิจฉาเสียจริง

ในที่สุด เสียงหัวเราะจากผู้คนในค่ายที่พักก็ปลุกบรรดานายทหารบนหลังม้าขาวให้ตื่นขึ้นมาจากภวังค์แห่งความตกตะลึง

“ท่านแม่ทัพ…”

“พวกเรารีบเข้าไปช่วยท่านแม่ทัพ”

“ยิงธนู”

เหล่านายทหารที่เหลืออยู่ส่งเสียงตะโกนวุ่นวาย

พวกเขาล้วนเป็นนายทหารระดับแนวหน้า ปฏิกิริยาตอบสนองต่อคำสั่งย่อมรวดเร็ว

แต่น่าเสียดายที่ยังช้าเกินไป

เพราะในจังหวะที่ทุกคนกำลังจะหยิบธนูขึ้นมา พวกเขาก็เห็นว่าลูกเสือมีปีกตัวน้อยที่ยืนอยู่ข้างกายเจ้าหนูปีศาจตนนั้น อยู่ดีๆ มันก็อ้าปากส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความเกียจคร้าน

“โฮก!”

เสียงคำรามดังสนั่นหวั่นไหว

เมื่อได้ยินเสียงนี้ บรรดานายทหารก็รู้ซึ้งแล้วว่าเจ้าเสือน้อยไม่ได้น่ารักอย่างหน้าตาของมันเลย

แต่กลับมีความน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง!

หากจะบอกว่านี่คือเสียงคำรามที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตของกลุ่มนายทหารชุดเกราะเงินก็คงไม่ใช่เรื่องเกินจริงแต่อย่างใด

“หยุด!”

เสียงคำรามของเจ้าเสือน้อยทำให้บรรดาอาชาเริ่มเกิดอาการหวาดกลัว จนผู้ขี่มันต้องพยายามส่งเสียงดุ เพื่อควบคุมความตื่นตระหนก

ม้าศึกเหล่านี้ถูกฝึกเป็นอย่างดี แม้เผชิญหน้าอสูรกายจากใต้ทะเลลึกที่มีร่างกายใหญ่โต พวกมันก็ยังไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย แต่บัดนี้เมื่อได้ยินเสียงคำรามของเจ้าลูกเสือน้อย พวกมันก็หวาดกลัวจนปัสสาวะราด สองขาหน้ายกขึ้นสูง ทำให้นายทหารที่นั่งอยู่บนหลังของมันร่วงตกลงไปบนพื้นดิน และเมื่อขาหน้าของเจ้าม้ากลับลงมาสัมผัสพื้นดินอีกครั้ง พวกมันก็คุกเข่าลงไปบนพื้นดินและไม่กล้าขยับเขยื้อนร่างกายอีกเลย!

นายทหารผู้คุ้มกันค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งรีบวิ่งเข้ามาโดยเร็ว

พวกเขาไม่เสียเวลาพูดคุยต่อไป ใช้ด้ามจอบในมือทุบศีรษะของนายทหารชุดเกราะเงินสลบไปอย่างง่ายดาย หลังจากนั้น ทุกคนก็จัดการถอดชุดเกราะและปลดเปลื้องเสื้อผ้า จนนายทหารผู้ติดตามกงซุนไป๋หลงเหลือแต่เพียงกางเกงชั้นในตัวเดียวเท่านั้น!

ชะตากรรมเช่นนี้ แม้แต่แม่ทัพเทพสังหารกงซุนไป๋ก็หนีไม่พ้น

“แหม ไม่เสียทีที่มีนามว่า [1]กงซุนไป๋ ก้นของเจ้ามันช่างขาวเสียเหลือเกิน”

“ใบหน้าของเขาก็ขาวเหมือนกันนะ”

“เฮอะ ไอ้พวกหน้าขาวมันจะมีดีอะไร”

“นี่ ลดเสียงของเจ้าลงหน่อย คุณชายของพวกเราก็หน้าขาวเหมือนกัน…”

“เจ้านั่นแหละที่ต้องระวังคำพูด จะเรียกคุณชายสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้เด็ดขาด เราต้องเรียกเขาว่าท่านแม่ทัพผู้แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เกรียงไกรต่างหาก”

“อ้อ จริงด้วยสินะ ข้าลืมไปเสียสนิท…ฃเหอเหอเหอ แต่เจ้าหน้าขาวผู้ชั่วช้าอย่างกงซุนไป๋ จะมาเปรียบเทียบกับท่านแม่ทัพหน้าขาวผู้แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เกรียงไกรของพวกเราได้อย่างไร?”

นายทหารอดีตคนงานขุดเหมืองใต้ดินจากแคว้นซินจินพูดคุยกันไปพลางใช้เชือกมัดพันธนาการร่างกายนายทหารผู้ติดตามกงซุนไป๋ไปพลาง หากมีใครสักคนหนึ่งได้สติลุกขึ้นมา ก็จะต้องถูกรุมทุบตีจนสลบกลับลงไปอีกครั้ง

ดังนั้น บริเวณทางเข้าค่ายพักของชาวเมืองหยุนเมิ่งจึงมีแต่เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด

เหล่านายทหารที่ถูกจับตัวมาใช้แรงงานได้ยินเสียงร้องของเพื่อนร่วมชะตากรรม ทันใดนั้น พวกเขาก็รู้สึกหนาวเย็นไปถึงขั้วหัวใจ แข้งขาอ่อนแรงขึ้นมาในทันที และทุกคนก็นึกถึงเหตุการณ์ที่เป็นฝันร้ายเมื่อคืนนี้ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

ชาวเมืองหยุนเมิ่งนับว่าเป็นกลุ่มคนที่ป่าเถื่อนและอำมหิตอย่างยิ่ง

ถ้ามีผู้ใดไม่ยอมทำตามคำสั่ง

ก็จะถูกทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง

แม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่มีให้สวมใส่ด้วยซ้ำ

เหล่านายทหารผู้เคราะห์ร้ายไม่คิดไม่ฝันเลยว่าตนเองจะต้องมาพบเจอกับชะตากรรมเช่นนี้ พวกเขาเคยแต่เป็นฝ่ายไล่ทำร้ายผู้อื่น เป็นฝ่ายบีบบังคับให้ผู้อื่นยอมทำตามคำสั่งของตนเองมาโดยตลอด

เฮ้อ

หยางต้าซานและพรรคพวกที่เห็นเหตุการณ์หน้าทางเข้าค่ายพักของชาวเมืองหยุนเมิ่งตั้งแต่ต้นจนจบ ต่างก็รู้สึกว่าตนเองกำลังฝันไป

บัดนี้ พวกเขาเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักรบ 500 นายที่มุ่งหน้ามาบุกโจมตีค่ายพักของชาวเมืองหยุนเมิ่งเมื่อคืนนี้ และในที่สุด พวกเขาก็ได้เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดนักรบทั้ง 500 นายนั้นถึงได้กลายเป็นแรงงานที่ต้องตัดไม้ผ่าฟืนขุดดินและเคลื่อนย้ายก้อนหินอย่างไม่มีทางเลือก

นั่นเป็นเพราะว่าชาวเมืองหยุนเมิ่งมีความโหดร้ายมากเกินไปนั่นเอง

[1] ไป๋ภาษาจีนแปลว่าสีขาว