ภาคที่ 33 กลับชาติมาเกิด ตอนที่ 66 กำไรยกใหญ่

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 66 กำไรยกใหญ่ Ink Stone_Fantasy

 

ร่างกายอันใหญ่โตของมังกรมารคดเคี้ยว นัยน์ตามหึมาดุจทะเลสาบเหลือบมองลงไปเบื้องล่าง มันเองก็รู้สึกลำพองใจนัก ตอนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็เป็นแค่สัตว์เดรัจฉานที่เป็นพาหนะหรือคอยลากเกี้ยวเท่านั้น แต่เมื่อติดตาม ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ เจ้านายคนปัจจุบันกลับเฉิดฉายเพียงใดกัน!

ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนหลังมังกรมารอันกว้างขวาง ในใจก็ลอบครุ่นคิดว่า “ในดินแดนจิตโลกาก็อาจจะมีขั้นอลวนที่แข็งแกร่งกว่าข้า แต่ศิษย์ของลัทธิกระบี่สวรรค์จะต้องไม่มีแน่! นอกจากนี้พวกขั้นอลวนที่แกร่งกว่าข้าก็คงจะแค่เอาชนะข้าได้เท่านั้น แต่กลับมิอาจสังหารข้าได้” เขาก็มั่นอกมั่นใจในตนเอง พลังอันแข็งแกร่งของตน ด้านเขตลวงโลกเทียมของตนก็บรรลุถึงขั้นอลวนขั้นสุดเช่นกัน ด้านวิญญาณก็ไม่มีข้อบกพร่องเลยแม้แต่น้อย

“ถึงสู้ต่อไป ลัทธิกระบี่สวรรค์ก็ไม่มีโอกาสชนะเลยแม้แต่น้อย เกรงว่าคงจะต้องยอมศิโรราบ”

“ก็ไม่รู้ว่า…อ๋องอสนีบาตโม่เฉาจะขายได้สักเท่าไหร่กัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ตนยังต้องอาศัยสิ่งนี้เพื่อซื้อสมบัติล้ำค่าเขตลวงโลกเทียม!

ถึงแม้ว่าหากตนเอ่ยปาก อาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็คงจะให้ตนหยิบยืมได้ก็ตามที

แต่ทว่า…

ตงป๋อเสวี่ยอิงมิใช่คนที่ ‘ไร้ยางอาย’ พรรค์นั้น หากเรื่องนั้นก็เอ่ยปาก เรื่องโน้นก็เอ่ยปาก เกรงว่าประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็คงรู้สึกเดือดแค้นในใจกระมัง ‘ลูกแก้วห้าภาพ’ เป็นสิ่งที่อาจารย์มอบให้เอง นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นอกจากนี้ ‘ลูกแก้วห้าภาพ’ ก็มีราคาราวสองพันล้านแก้วผลึกจักรวาลแล้ว นี่ก็เพราะลูกแก้วห้าภาพหลอมแปรสำเร็จมานานแสนนานจนนับปีไม่ถูกแล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาของประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็มิมีผู้ใดฝึกสำเร็จอีก จึงได้มอบให้ตงป๋อเสวี่ยอิง ตนก็ได้เปรียบมามากแล้ว จึงมิกล้า ‘ละโมบเอ่ยปากขอ’ อีก

“วิ้ง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง ปณิธานสายหนึ่งร่อนลงไปยังโลกอากาศของลูกแก้วห้าภาพซึ่งจองจำอ๋องอสนีบาตโม่เฉาเอาไว้

……

นี่คือโลกปิดผนึกแห่งหนึ่ง ในฐานะสมบัติลับระดับยอดจึงมั่นคงหาใดเปรียบ ต่อให้เทพจักรวาลถูกขังเอาไว้ ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถหนีออกไปได้

“หมดกัน”

บุรุษอาภรณ์สีม่วงโม่เฉานั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศพลางมองดูรอบด้าน รอบด้านมีแต่มิติปิดผนึกอันเวิ้งว้าง

นัยน์ตาของโม่เฉาฉายแววสิ้นหวังเขาดิ้นรนก็แล้ว คิดหาวิธีจนสิ้นก็แล้ว แต่ก็ยังหนีออกไปมิได้ มิอาจสั่นคลอนมิติปิดผนึกนี้ได้เลยแม้แต่น้อย

“ข้า โม่เฉาจะจบสิ้นแค่นี้เองน่ะหรือ ไม่ ไม่ อิงซานเสวี่ยอิงมิได้สังหารข้า ข้ายังมีหวังรอดชีวิตต่อไปได้!” ในใจของโม่เฉาสับสนไปหมด ในดินแดนจิตโลกามีขุมอำนาจมากมายชิงดีชิงเด่นกัน ผู้แกร่งกล้าจะล้มตายก็พบเห็นได้เป็นประจำ เทพจักรวาลที่สิ้นใจก็มีไม่น้อย ขั้นอลวนชั้นที่สิบคนหนึ่งมิอาจก่อระลอกคลื่นขึ้นมาได้สักนิดด้วยซ้ำไป

“ข้าผ่านความยากลำบากมาตั้งมากมายเท่าไหร่ ตอนนั้นก็ยังมุ่งหน้ามายังรัฐโบราณสหโลกาเพียงลำพัง ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีผู้คอยดูแลให้ดี ก็ยังสามารถบุกฝ่าสะพานสิบกัลป์ได้ จึงได้มีพลังและสถานะเช่นทุกวันนี้” โม่เฉาขบกรามกรอด

ไม่ยอมจำนน

ไม่ยอมจำนนจริงๆ

เส้นทางการบำเพ็ญยากเข็ญเพียงใด สามารถบรรลุถึงระดับเช่นทุกวันนี้ได้ ก็ไม่ง่ายดายขนาดไหน แต่วันใดที่ล้มเหลว ก็อาจสูญสิ้นทุกสิ่งไปจนหมดได้!

“ฟิ้ว” เงาร่างอันเลือนรางสายหนึ่งรวมตัวกันขึ้นมา เป็นตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวนั่นเอง

“อิงซานเสวี่ยอิง” โม่เฉารีบผุดลุกขึ้นมาพลางจับจ้องตงป๋อเสวี่ยอิง นัยน์ตาฉายแววระแวดระวัง

“เอาสมบัติล้ำค่าทั้งหมดของเจ้าออกมาให้ข้าดูซิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากพูด

“เจ้าจะทำอะไรน่ะ” โม่เฉาแตกตื่นและระวังตัวขึ้นมา

“ฮ่าฮ่า ทำไมรึ มาถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังคิดจะขัดขืนอีกหรือ หากข้าจะสังหารเจ้า ผนึกห้าภาพก็เำียงพอจะกดดันเจ้าให้ถึงตายได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย

โม่เฉาก็เข้าใจในข้อนี้ดี เขาได้ลิ้มรสเคล็ดผนึกห้าภาพด้วยตนเองมาแล้ว ตอนนั้นก็แค่พันธนาการตนเอาไว้ แต่พละกำลังช่างยิ่งใหญ่เกินต้านทาน ‘พละกำลังกดดันพันธนาการมิติ’ ที่เขาพยายามดิ้นรนสุดกำลังก็ยังมิอาจต้านทานได้นั้นทำให้เขาเข้าใจว่า ขอเพียงกดดันลงมาทั้งหมด ก็เพียงพอจะบีบเขาให้ตายได้แล้ว!

แม้ร่างกระบี่สวรรค์ไร้ทลายของเขาจะครบสมบูรณ์มานานแล้ว อย่างมากที่สุดก็แค่ต้านทานได้ไม่กี่ครั้งก็เท่านั้นเอง

“เอาไป” โม่เฉาโบกมือคราหนึ่ง

ทันใดนั้นสมบัติล้ำค่าเก็บวัตถุ อาวุธและอื่นๆ ล้วนลอยออกมาจนสิ้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงชี้ออกไปไกลๆ คลื่นระลอกหนึ่งก็แทรกเข้าไปภายในกายของโม่เฉา แม้โม่เฉาอยากจะขัดขวาง แต่กลับมิกล้า ทำได้เพียงปล่อยให้ตงป๋อเสวี่ยอิงตรวจสอบแต่โดยดี

“มิได้ซ่อนเร้นเอาไว้” ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงนำสมบัติล้ำค่ามาตรวจสอบดู

สมบัติลับอันยอดเยี่ยมที่โม่เฉาครอบครองมีทั้งหมดสองชิ้นด้วยกัน น่าเสียดายที่ต่างก็เป็นขั้นอลวนชั้นที่สิบเท่านั้น! อันที่จริงนี่จึงเป็นสถานการณ์ปกติทั่วไป สำหรับขั้นอลวนแล้ว หากได้สมบัติลับเทพจักรวาลที่แข็งแกร่งเกินไปมาก็มิอาจสำแดงอานุภาพออกมาได้ และอาจถึงขั้นถูกเทพจักรวาลละโมบเอาไปก็เป็นได้! ดังนั้นสถานการณ์อย่างโม่เฉาก็ถือเป็นเรื่องปกติมาก สถานการณ์อย่างตงป๋อเสวี่ยอิงต่างหากที่ไม่ค่อยจะปกติสักเท่าใดนัก

ชิ้นหนึ่งคือหอกเทพเมฆาแดงซึ่งเขาค้นพบเอง สกุลฝานก็เคยจะมาขอซื้อก่อนหน้านี้

ลูกแก้วห้าภาพ มีอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเป็นผู้หลอมขึ้น เขารู้สึกว่าศิษย์ฝึกฝนเคล็ดผนึกห้าภาพได้สำเร็จ จึงน่าจะปกป้องเอาไว้ได้ จึงมอบให้เขา สิ่งที่ประมุขรัฐเมฆทักษิณามอบให้นั้น เขาก็เชื่อว่าไม่มีเทพจักรวาลหน้าไหนอาจหาญมาแย่งไปขากศิษย์เขาแน่! เพราะถึงอย่างไรเพื่อจะรักษารากฐานของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ในตอนนั้น เขาก็ได้ประมือกับบรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทั้งหลาย

“ข้าจะนำสมบัติล้ำค่าไปแล้ว ส่วนชีวิตน้อยๆ ของเจ้า ก็ขึ้นอยู่กับว่าประมุขรัฐกระบี่สวรรค์จะทำใจยอมไถ่ตัวหรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “หากเขาให้ราคาต่ำ เมื่ออาจารย์ของข้าออกคำสั่งมาคำหนึ่ง ข้าก็ได้แต่สังหารเจ้าทิ้งก็เท่านั้นเอง”

“ข้าเข้าใจแล้ว” โม่เฉาพยักหน้า เขารู้ว่าตอนนี้ชีวิตน้อยๆ ของตนอยู่ระหว่างการเจรจาของประมุขรัฐกระบี่สวรรค์และประมุขรัฐเมฆทักษิณา

หากราคาค่าไถ่สูงเกินไปจนประมุขรัฐกระบี่สวรรค์ไม่ยอมจ่าย เขาก็ต้องตาย!

หากในการเจรจาสงครามระหว่างสำนักทั้งสอง ลัทธิกระบี่สวรรค์ไม่ยอมถอยสักเท่าใดนัก เขาก็ต้องตายเช่นเดียวกัน!

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนหลังมังกรมาร ปิดผนึกทั้งตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์เอาไว้ เขาขวางประตูเช่นนี้เอง  แม้ไกลออกไปจะมีผู้ชมจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่เขาก็ไม่แยแส

สีของท้องฟ้าเปลี่ยนจากกลางวันเป็นยามราตรี

ในที่สุดก็เปลี่ยนจากยามราตรีกลับมาเป็นกลางวันอีกครา

……

“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่กระบี่สวรรค์ ครั้งนี้จะโทษท่านมิได้เลย หากจะโทษ ก็ต้องโทษโชคชะตาเท่านั้น ที่โชคมาอยู่กับข้า ท่านแพ้ไม่น่าอนาถหรอก”

“ข้ามิได้โกรธเลย เพราะถึงอย่างไรก็มีหนุ่มน้อยมากที่เยี่ยมยอดเช่นนี้ปรากฏขึ้นมา ไม่ว่าผู้ใดก็ทำอะไรไม่ถูก”

ปณิธานอันยิ่งใหญ่สองสายปะทะกันและเจรจากันอยู่ห่างๆ

พวกเขาทั้งสองเจรจาตกลงกันเรียบร้อย

ลัทธิกระบี่สวรรค์เตรียมการส่งทัพเข้าสู่สี่รัฐมารทมิฬมานานแสนนาน เพิ่งจะเริ่มต้นก็ยุติลงเสียแล้ว! แม้ตัว ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ เองจะยอดเยี่ยมและน่าหวาดหวั่น แต่ประมุขรัฐกระบี่สวรรค์ก็มิได้ด้อยกว่ากันมากนัก ทั้งยังมีผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังมากกว่าด้วย เดิมทีครั้งนี้เตรียมการเอาไว้พร้อมสรรพมาก แม้จะมีการส่งผู้แกร่งกล้าชุดหนึ่งเช่น ‘ท่านชายฉื้อเฟิง ฝานฉู่ฮู่และผู้ท่องธุลีฝน’ มา ก็เป็นแค่เพียงช่วงเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น

ลัทธิกระบี่สวรรค์เตรียมการต่อสู้อันยาวนานระหว่างทั้งสองฝ่ายมานานแสนนานแล้ว

เนื่องจากภายใต้สถานการณ์ปกติ ยากมากที่ขั้นอลวนชั้นที่สิบจะแตกต่างกันมากมายนัก พวกเขาล้วนแต่อาศัยการสั่งสมด้วยการต่อสู้ต่างๆ ตลอดคืนวันอันยาวนาน

แต่ครั้งนี้ ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ กลับโผล่ออกมา! ทั้งยังท้าทายอย่างเอิกเกริกอีกด้วย ต่อให้มีผู้สนับสนุนเบื้องหลังมากกว่านี้ก็มิอาจเป็นตัวแทนศิษย์ลัทธิกระบี่สวรรค์ออกมาต่อสู้ได้ ประมุขรัฐกระบี่สวรรค์ก็ได้แต่ยอมแพ้เท่านั้น!

ไม่เพียงแต่ยอมแพ้เท่านั้น

นอกจากนี้แม้แต่การต่อกรกันของทั้งสองฝ่ายภายใน ‘รัฐโบราณเสียดฟ้า’ ก่อนหน้านี้ ประมุขรัฐกระบี่สวรรค์ก็ต้องเสียสละไปไม่น้อย! ช่วยไม่ได้ เพราะหากไม่ยอมก้มหัวแล้ว เกรงว่าอิงซานเสวี่ยอิงก็คงจะไปยังตัวเมืองอื่นในดินแดนจิตโลกาและทำการ ‘ขวางประตู’ ต่อไป ‘ขวางประตู’ แห่งแล้วแห่งเล่า…

แต่ ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ ก็เข้าใจว่า มิอาจบีบบังคับมากเกินไปได้!

แม้ศิษย์ขั้นอลวนจะฟาดฟันกัน แต่ระดับสูงสุดก็จะไม่สังหารกัน นี่คือกฎเกณฑ์ที่แฝงอยู่ แต่หากบีบบังคับมากเกินไป จะสั่นคลอนรากฐานของทั้งลัทธิกระบี่สวรรค์ เช่นนั้นประมุขรัฐกระบี่สวรรค์ไปจนถึงสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นกว่าซึ่งอยู่เบื้องหลังก็จะถูกฉีกหน้า

ดังนั้น…

ฉวยโอกาสหาประโยชน์ให้มากหน่อยก็ใช้ได้แล้ว!

******

ฟ้าสว่างรำไรขึ้นมาแล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งนั่งอยู่บนหลังมังกรมารเงยหน้ามองไปยังขอบฟ้าไกลออกไป “วันที่สองแล้ว ไม่รู้ว่าการเจรจาเป็นเช่นไรบ้าง”

เพียงชั่วครู่เดียว

“เสวี่ยอิง ทุกอย่างเจรจากันเรียบร้อยแล้ว ประมุขรัฐกระบี่สวรรค์ยอมจ่ายแปดพันล้านแก้วผลึกจักรวาลเพื่อไถ่ตัวโม่เฉาและสมบัติลับขั้นอลวนชั้นที่สิบทั้งสองชิ้นของเขากลับไป ตอนนี้เจ้าก็ปล่อยเขาเสียเถิด แล้วก็ภารกิจของเจ้าลุล่วงแล้ว กลับมาเถอะ ไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่ในรัฐประกายเพลิงอีกแล้วล่ะ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาถ่ายเสียงพูด

“ขอรับ ท่านอาจารย์” จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็กำหนดจิตคราหนึ่งทันที

เมื่อโบกมือคราหนึ่ง

ด้านข้างก็มีบุรุษอาภรณ์สีม่วงโม่เฉาผู้นั้นปรากฏกายขึ้น โม่เฉามองท้องฟ้ารอบกายด้วยความตกตะลึง มองดูมังกรสีดำขนาดใหญ่ตรงหน้า รวมทั้งอิงซานเสวี่ยอิงที่กำลังจ้องมองตนเองอยู่

“นี่คือสมบัติลับของเจ้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่งก็ขว้างสมบัติลับขั้นอลวนชั้นที่สิบสองชิ้นนั้นออกไป

สมบัติลับสองชิ้นนั้น มูลค่าอยู่ที่ราวห้าร้อยล้านแก้วผลึกจักรวาล

…เท่ากับกล่าวว่า

ชีวิตของโม่เฉาแลกมาด้วยแก้วผลึกจักรวาลหกพันห้าร้อยล้านก้อน! นี่ก็คือข้อดีของการจับทั้งเป็น แน่นอนว่านี่เมื่อเทียบกับความมั่งคั่งของประมุขรัฐกระบี่สวรรค์แล้วก็ยังถือว่าธรรมดาทั่วไป หากเป็นผู้ที่ร่ำรวยอย่าง ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ โดยทั่วไปแล้วหากจะไถ่ตัวศิษย์ขั้นอลวนชั้นที่สิบหรือผู้ใต้บังคับบัญชากลับมา ราคาที่ศัตรูกำหนดก็คงสูงกว่ามากทีเดียว เพราะผู้ใดก็รู้ว่าประมุขรัฐเมฆทักษิณานั้นมั่งคั่ง!

ถึงอย่างไรประมุขรัฐกระบี่สวรรค์ก็ถูกรัฐโบราณสองแห่งบีบคั้น เมื่อเทียบกันแล้วก็ออกจะยากจนอยู่บ้าง

“ไปกันเถิด”

ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่บนหลังมังกรมาร เมื่อถ่ายทอดคำสั่งลงไป มังกรมารก็เลื้อยคดเคี้ยวไปมาทันที ก่อนจะทะลุอากาศจากไป

โม่เฉาเห็นฉากนี้เข้าก็ลอบทอดถอนใจ นับว่าครั้งนี้ลัทธิกระบี่สวรรค์แพ้อย่างน่าอนาถ ทว่าเขาก็ยังแอบโชคดีที่อย่างน้อยเขาก็มีชีวิตรอดมาได้

“ครั้งนี้ลัทธิกระบี่สวรรค์เข้าสู่สี่รัฐมารทมิฬ เพิ่งจะเริ่มต้นก็พ่ายแพ้เสียแล้ว” ท่านชายฉื้อเฟิงและคนอื่นๆ ภายในตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์ เมื่อได้เห็นโม่เฉารอดชีวิตและถูกปล่อยตัวออกมา ก็เข้าใจว่าลัทธิกระบี่สวรรค์นั้นเจรจากับสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์เรียบร้อยแล้ว

“ช่วยไม่ได้ ผู้ใดจะไปคิดเล่าว่าอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้จะโผล่ออกมา ทั้งยังร้ายกาจถึงขั้นฝึกเคล็ดผนึกห้าภาพสำเร็จเช่นนี้ได้”

พวกเขาแต่ละคนต่างก็ทอดถอนใจ

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่ส่งสารให้โหวชวีหมิง จากนั้นก็ตรงกลับไปยังนครหลวงรัฐเมฆทักษิณาทันที

ณ สถานที่สำหรับบำเพ็ญภายในวังหลวง

ประมุขรัฐเมฆทักษิณานั่งขัดสมาธิอยู่บนผืนหญ้าสีดำ เหนือทะเลสาบลึกด้านหลังมีหมอกขาวม้วนตัวอยู่ เขากำลังหัวเราะอย่างเบิกบานพลางมองดูชายหนุ่มอาภรณ์ขาวซึ่งโดยสารมังกรมารร่อนลงมาอยู่ลิบๆ เขาพึงพอใจเป็นอย่างมาก เขาถึงขั้นสามารถทำนายได้ว่า…อิงซานเสวี่ยอิงศิษย์ผู้ก้าวขาข้างหนึ่งเข้าสู่เทพจักรวาลแล้ว เมื่อสำเร็จเป็นเทพจักรวาล เกรงว่าคงมีหวังจะฝึกเคล็ดผนึกห้าภาพให้สำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้ ถึงตอนนั้น ศิษย์คนนี้ก็จะเป็นยอดฝีมืออันดับสองของรัฐเมฆทักษิณา และกลายเป็นผู้ช่วยของตนอย่างแท้จริงแล้ว

เพราะถึงอย่างไรขุมอำนาจของเขาก็อ่อนแอไปหน่อย หากผู้แกร่งกล้าที่เก่งกาจพอจะสวามิภักดิ์ ก็สวามิภักดิ์ต่อรัฐโบราณ!

“เอ๊ะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงบินลงจากหลังมังกรมาร เพียงมองปราดเดียวก็เห็นว่าด้านข้างอาจารย์ที่อยู่ไกลออกไปมีคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ ทั้งจ้าวฉุนอวี้ จ้าวทานเผิง รวมไปถึงบรรดาอ๋องที่ได้รับการแต่งตั้งขั้นอลวนชั้นที่สิบทั้งหลาย และยังมีเหล่าศิษย์ถ่ายทอดเองด้วย พวกเขาล้วนรอคอยตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ที่นี่ แม่เฒ่าอิงซานยิ้มจนตาหยี เห็นได้ชัดว่าเบิกบานใจอย่างยิ่ง อย่างศิษย์คนที่สี่ฟู่หลิงอวิ๋นและศิษย์น้องสี่ฟู่หลิงเซียวซึ่งอิจฉาริษยาในตอนแรก ก็ไม่มีจิตคิดริษยาอีกต่อไป เพราะแม้พวกเขาจะได้รับการบ่มเพาะจากอาจารย์อย่างสุดกำลังก็เป็นได้เพียงขั้นอลวนชั้นที่เก้าเท่านั้น

บัดนี้ศิษย์น้องอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้แข็งแกร่งเสียจนเหนือกว่าศิษย์พี่กงเหลียงอี้และศิษย์พี่หญิงกุ่ยลี่ที่พวกเขาเคยนับถือเสียอีก

ในวันนี้ ชื่อเสียงอันเกรียงไกรของอิงซานเสวี่ยอิงได้แพร่สะพัดไปทั่วในบรรดาบุคคลระดับสูงของดินแดนจิตโลกา ทำให้บรรดาผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนจับตามองดินแดนเล็กๆ ทางตอนใต้ของรัฐโบราณคิมหันตวายุแห่งนี้ ส่วนภายในรัฐเมฆทักษิณาก็ยิ่งเดือดพล่านเข้าไปใหญ่

“ศิษย์ขอคารวะอาจารย์” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินมุ่งหน้าไปแล้วทำความเคารพ

 ……………………………….