ตอนที่ 11-1 love is magic
ช่วงเวลาปิดเทอมสั้นๆ ได้สิ้นสุดลง และฤดูร้อนที่แสนร้อนระอุก็เริ่มจะเย็นลงอย่างเห็นได้ชัด ปฎิทินบอกเดือนกันยายนโดยไม่ทันรู้ตัว ระหว่างที่เหลือเวลาอีกเดือนเดียวก่อนจะถึงงานแสดง ฉันก็เอาแต่ใช้เวลาไปวันๆ อย่างกับก้อนเมฆที่ล่องลอยไปมา จนเริ่มจะกลัวว่าถ้ามัวแต่มีความสุขอยู่อย่างนี้ จะโดนฟ้าลงโทษเอาหรือเปล่านะ
การฝึกซ้อม Le Corsaires เป็นไปอย่างราบรื่น และฉันรู้สึกได้ด้วยตัวเองว่าฝีมือของฉันน่าจะดีขึ้นมากทีเดียว ทั้งความเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับรุ่นพี่ฮยอนจุน ทั้งยังค่อนข้างสนิทกับรุ่นพี่คนอื่นๆ มากขึ้น แน่นอนว่า ถึงฉันจะยังไม่สนิทกับรุ่นพี่โซยอนก็เถอะ แต่เวลาซ้อม ฉันก็รู้สึกสบายใจมากกว่าเดิม อีกทั้งรุ่นพี่อีกงก็ยังคงใจดีและอ่อนหวานกับฉันเช่นเคย
ระหว่างที่ชีวิตของฉันเต็มไปด้วยความสงบและความสุขอย่างสมบูรณ์แบบ ถ้าจะมีอะไรสักอย่างที่ยังค้างคาใจฉันอยู่ล่ะก็ ก็คงจะเป็นการเปลี่ยนไปของอีเซนั่นแหละ
“โย่ กยอมกยอม!”
เซจินที่ไม่ได้เจอกันในห้องเรียนเสียนานยิ้มบานแฉ่งพลางโบกไม้โบกมือมาทางฉัน ฉันเองก็ยกมือขึ้นมาทักทายกลับเช่นกัน แต่แล้วฉันก็สะดุดตาที่นั่งด้านข้างที่ว่างเปล่าของเซจิน ที่นั่งของอีเซ พอคิดถึงหมอนั่น ส่วนหนึ่งในใจของฉันก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา
“โอ๊ย…”
ระหว่างที่กำลังจะนั่งลงกับที่ จู่ๆ ก็เจ็บหูแปล๊บขึ้นมา ฉันส่งเสียงออกมาพร้อมกับทำหน้าบูดบึ้งโดยไม่รู้ตัว เซจินหันกลับมามองหน้าฉันด้วยสีหน้าตกใจ
“เจ็บหูอีกแล้วเหรอ”
“อือ…”
“เธอน่ะ ไม่ใช่ว่ามีปัญหาที่ขากรรไกรหรอกเหรอ หรือว่าหมู่นี้มีเรื่องอะไรเครียดหรือเปล่า”
“…ก็ไม่นะ”
“ก็นั่นสินะ คนที่ใช้ชีวิตอย่างโคตรมีความสุขอย่างเธอ จะไปมีเรื่องอะไรให้เครียดกันเล่า”
ฉันพยายามที่จะฝืนยิ้มให้กับการหยอกล้อของเซจิน แต่ดูเหมือนนี่จะไม่ใช่รอยยิ้มที่ดูดีเท่าไหร่ สักพักเซจินถึงได้สังเกตเห็นสีหน้าที่ดูเป็นกังวลพร้อมกับรอยยิ้มที่หายไปของฉัน เซจินเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างออกมา แต่ฉันก็ไม่ได้ยินเสียงที่เหมือนกับเสียงกระซิบนั่น อ่า หูคงจะแว่วไปเองอีกแล้วสินะ
มันรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาแปลกๆ ฉันนวดหลังใบหูและขมับ ตอนนั้นเองที่ซูฮยอนซึ่งเพิ่งจะมาถึงโรงเรียนพอดีวางกระเป๋าลงบนโต๊ะแล้วนั่งลงกับที่ ต่อจากนั้นเซจินที่หันหน้ามาทางฉันก็รีบสะบัดหน้าขวับหันกลับไปมองข้างหน้าทันที
การขยับตัวเสียงดังแบบนั้น นอกจากฉันแล้ว ก็ยังทำให้ซูฮยอนจ้องมองไปที่แผ่นหลังของเซจินด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจ เอ่อ ดูเหมือนใบหูของเซจินจะแดงแจ๋ขึ้นมานะ ตอนนั้นเองที่ทำให้ฉันนึกถึงเหตุการณ์นั้นขึ้นมา หากพูดไปก็คงจะดูแปลกหน่อยๆ ความสัมพันธ์ระหว่างซูฮยอนกับเซจินที่ฉันดันไปเห็นในห้องซ้อมเต้นตอนเช้าของสักวันหนึ่งเข้า
“…ไงบ้างล่ะ”
เสียงของซูฮยอนดังผ่านเสียงวิ้งๆ ขึ้นมา ฉันค่อยๆ หันหน้าไปหาเขา ซูฮยอนกำลังจ้องมองฉันนิ่ง
“หือ โทษที ไม่ได้ยินน่ะ เมื่อกี้ว่าไงนะ”
“ปิดเทอมเป็นไงบ้าง”
“อ๋อ อือ ก็นะ มัวแต่ซ้อมอย่างเดียวเลยน่ะ”
ถึงฉันจะรู้สึกแปลกใจที่ซูฮยอนถามเรื่องทั่วไปขึ้นมา แต่นั่นก็ยังไม่แปลกเท่าบรรยากาศของซูฮยอนที่เปลี่ยนไปอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก ทั้งที่ใบหน้านั่นเคยเผยออร่าที่เยือกยะเย็นจนรู้สึกขนลุกออกมา แต่ตอนนี้ใบหน้านั้นแหมือนจะดูมีชีวิตชีวาอย่างน่าประหลาด
ฉันทำหน้าสงสัยกับความรู้สึกแปลกๆ นั้น พลางหันหน้าไปมองอีเซที่เดินมาทางฉันด้วยสีหน้าเฉยเมย ใบหน้าที่ดูเหมือนจะซูบลงหน่อยๆ ของอีเซดูเย็นชาสุดๆ อย่างกับซูฮยอนเมื่อก่อน
อีเซวางกระเป๋าลงโดยที่ไม่สบตาฉันเลยสักนิด เขาทำเป็นลังเลว่าจะรับคำทักทายจากเซจินดีไหม ก่อนจะเดินออกจากห้องเรียนไป ในตอนที่ฉันจ้องมองไปยังที่นั่งของอีเซที่ว่างเปล่าอีกครั้ง หัวใจก็รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมา
“นี่ ทำไมหมอนั่นถึงได้เป็นอย่างนั้นเนี่ย”
เซจินหันขวับมาถามฉันด้วยท่าทางหงุดหงิด แต่ทันทีที่สังเกตเห็นท่าทางของซูฮยอน ยัยนั่นก็ปิดปากเงียบแล้วก็หันกลับไปมองข้างหน้าอีกครั้ง
ฉันลังเลอยู่สักพัก ก่อนที่จะลุกออกจากที่นั่งแล้วเดินตามอีเซออกไปข้างนอกห้องเรียนอย่างรีบร้อน ในที่สุดฉันก็เดินตามหลังอีเซที่ดูจะสูงขึ้นเล็กน้อยในช่วงเวลาสั้นๆ แล้วจับเข้าที่แขนของหมอนั่น ดวงตาของอีเซที่หันกลับมามองฉัน มันแห้งแล้งเหมือนกับจะสลายกลายเป็นผง เพราะอย่างนั้นจึงทำให้ฉันตกใจจะแทบสะดุ้ง
“…มีอะไร”
น้ำเสียงของอีเซที่แหบแห้งพอๆ กับดวงตาทำให้ฉันต้องเลียรอบๆ ริมฝีปากที่แห้งผาก พลางเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“นายน่ะ โกรธอะไรฉันอยู่งั้นเหรอ”
“…เปล่านี่”
“แล้วทำไมต้องคอยหลบหน้าอยู่เรื่อยล่ะ”
ฉันถามพลางจับแขนของอีเซแรงขึ้นกว่าเดิม จู่ๆ สีหน้าของอีเซก็แข็งทื่อขึ้นในพริบตา มุมปากของอีเซที่บิดเบี้ยวอย่างประหลาดไม่ขยับเอื้อนเอ่ยคำใดๆ ออกมาเลย เขาสะบัดแขนของฉันออกอย่างแรง แรงเหวี่ยงอย่างกะทันหันนั่นทำให้ร่างกายของฉันทรงตัวไม่อยู่ ก่อนที่จะไปชนเข้ากับกำแพงทางเดิน
“โอ๊ย…”
ความเจ็บปวดรุนแรงทำให้ฉันส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ โดยไม่รู้ตัว แล้วอีเซที่ทำท่าทางกังวลก็เข้ามาพยุงที่แขนฉันให้ลุกขึ้น
ใบหน้าของอีเซที่ใกล้เข้ามาไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ดวงตาเรียวยาว ริมฝีปากอวบอิ่ม แต่เมื่ออีเซสบตากับฉันเข้ เขาก็หลบตาฉันทันที นาทีนั้นฉันรู้สึกได้ถึงความสับสน
อีเซที่ฉันไม่รู้จัก ความเยือกเย็นที่ทำให้อึดอัด
น้ำตามันเหมือนจะไหลออกมาเป็นสาย ฉันไม่อาจมองหน้าอีเซได้ตรงๆ ขณะเดียวกันลมหายใจของอีเซก็รดลงบนหัวของฉัน
นี่ฉันทำผิดไปตั้งแต่ตรงไหนกันแน่นะ ไม่ว่าจะคิดทบทวนเท่าไหร่ ฉันก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมอีเซถึงจะต้องเย็นชาใส่ฉันแบบนี้
ฉันได้แต่ก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไร ส่วนอีเซก็ค่อยๆ ปล่อยแขนของฉันลง ผิวตรงที่สัมผัสกับมือของอีเซหลงเหลือเพียงแค่สัมผัสอุ่นๆ
“เธอน่ะ”
เสียงหนักแน่นของอีเซทำให้ฉันค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แล้วจ้องมองไปที่อีเซ อ่า วินาทีนั้นหัวใจของฉันเหมือนจะหยุดเต้น ดวงตาของอีเซ สีหน้าของอีเซ ดูเจ็บปวดอย่างสุดบรรยาย
อีเซได้แต่จ้องมองฉันที่ลนลานตกใจกับท่าทางที่ไม่คุ้นตานั่นนิ่งๆ เขาปิดปากเงียบสนิท ก่อนที่อยู่ดีๆ จะหันหลังให้ฉัน แล้วค่อยๆ เดินห่างออกไป ไหล่ของอีเซที่ค่อยๆ เล็กลงไปเรื่อยๆ ดูห่อเ**่ยวอย่างเห็นได้ชัด
“อะไรกัน ให้ตายสิ”
น้ำเสียงที่ฟังดูหมดแรงดังออกมาจากปากของฉัน อะไรกัน ให้ตายสิ ราวกับพายุทอร์นาโดที่ไม่มีที่มาที่ไปกำลังหมุนวนอยู่ภายในหัว สุดท้ายฉันจึงได้แต่กัดริมฝีปากแล้วเดินกลับไป นี่มันอะไรกันแน่เนี่ย ลีอีเซ
* * *
“วัน ทู ทรี โฟร์!”
ฉันโค้งตัวลงช้าๆ ตามเสียงดนตรีที่สนุกสนานและเสียงนับของอาจารย์ แต่ขณะเดียวกันภายในหัวของฉันก็มีเพียงแต่ความกังวลเกี่ยวกับอีเซ เด็กน้อยผู้ร่าเริงและยิ้มอย่างสดใส หมอนั่นมักเข้าหาฉันอย่างอ่อนโยนเสมอ
เมื่อฉันหมุนตัวช้าๆ ไปตามจังหวะ ข้ามบาร์ไม่กี่อันไปนั่น ฉันมองเห็นแผ่นหลังของอีเซที่ยืนห่างไกลออกไป
แผ่นหลังกว้างๆ ของอีเซที่ดูราวกับโตขึ้นมากนั้นกำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายใต้เสื้อยืดสีขาว เส้นผมสีน้ำตาลยังคงดูยุ่งเหยิงไม่ต่างไปจากเดิม แต่ความรู้สึกมันเหมือนกับว่าหมอนั่นได้ห่างไกลจากฉันไปซะแล้ว พอคิดอย่างนั้น ฉันที่จู่ๆ ก็หดหู่ขึ้นมา จึงยกขาไปข้างหลังช้าๆ พลางหันไปมองที่กระจก
ร่างกายผอมกะหร่อง แถมยังตัวเล็กกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน นั่นเลยทำให้ตาโตๆ นี่ดูปูดโปนหนักไปอีก ดูไม่น่ามองเลยจริงๆ เซจินมักจะบ่นอยู่เสมอว่าสำหรับบัลเลรินาแล้ว หุ่นผอมๆ นี่เป็นข้อได้เปรียบที่ใหญ่หลวงเลย แต่ตรงกันข้าม ฉันกลับคิดว่าหุ่นที่ผอมแต่ดูมีเนื้อมีหนังอย่างเซจินยังดูสวยงามกว่า
ถ้าเผลอชะล่าใจแค่แป๊บเดียว สมดุลของร่างกายก็จะพังทลายลง ฉันจึงมักจะใส่ใจกับการควบคุมน้ำหนักอยู่เสมอ เพราะถ้าเทียบกับเซจินที่ดูมีเนื้อมีหนังพอดีๆ แล้ว คนที่มีหุ่นเรียบเป็นกระดานแบบฉันก็ทำได้ดีที่สุดแค่การรักษาร่างกายผอมๆ นี้เอาไว้เท่านั้นแหละ แต่หมู่นี้มันก็ชักจะไม่ง่ายแล้วน่ะสิ
“ฮวีกยอม”
ระหว่างที่ฉันคิดเรื่องอื่นอยู่ ดูท่าการทำบาร์เวิร์คจะจบลงพอดี เสียงกระซิบของเซจินที่เรียกชื่อฉัน ทำให้ฉันที่ได้สติคืนมารีบเดินไปย้ายบาร์พร้อมกับเพื่อนๆ
พอดีกับที่อีเซเดินผ่านข้างๆ ฉันไป กลิ่นเหงื่ออ่อนๆ นั่น ท่าทีของอีเซที่ยังคงเมินเฉยฉันเหมือนจะทำให้ความโกรธของฉันพลุ่งพล่านขึ้นมา เสียงปรบมือของอาจารย์ทำให้ฉันเดินมาต่อแถว แล้วเริ่มทำเซ็นเตอร์เวิร์ค[1] แต่ว่าฉันก็ยังคงโฟกัสไปที่อีเซ
“เอาล่ะ เข้าแถว!”
เป็นเพราะฉันมัวแต่คิดเรื่องอื่นอยู่หรือเปล่านะ เพียงแค่พริบตาเดียวก็หมดคาบเสียแล้ว ฉันนั่งลงที่เดิมพลางเช็ดเหงื่อ ขณะเดียวกันก็เงี่ยหูฟังคำพูดของอาจารย์ไปด้วย ใช่แล้ว ฉันมีเรื่องมากมายที่จะต้องไปทำ มากกว่าที่จะมาสนใจปัญหาของอีเซ ฉันพยายามสะบัดอีเซออกไปจากหัว
“อย่างที่พวกเธอรู้กัน ต้นปีหน้าจะมีการแข่งขันปรีย์ เดอโลซานน์[2] กำลังจะเริ่มมีการรับเอกสารแล้วนะ ใครที่สนใจจะเข้าร่วม ควรจะเริ่มเตรียมเอกสารกับวิดีโอไว้ล่วงหน้า”
พออาจารย์พูดจบก็เกิดเสียงพูดคุยเจี๊ยวจ๊าวดังขึ้นระหว่างเด็กๆ การแข่งขันปรีย์ เดอโลซานน์คือการแข่งขันระดับโลกที่มุ่งเป้าไปที่นักเต้นที่เป็นนักเรียน การแข่งขันรายการนี้ทรงอิทธิพลขนาดที่คนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องบัลเลต์ก็ยังต้องเคยได้ยินสักครั้ง และเมื่อปีที่แล้วรุ่นพี่อีกงก็เข้าร่วมแข่งขันแล้วคว้ารางวัลกรังปรีซ์มาได้
“พวกเธอคงรู้นะ ว่าถ้าวิดีโอได้รับการคัดเลือก โรงเรียนจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่”
“ครับ/ค่ะ”
“ฮวีกยอม เธอจะเอายังไงล่ะ”
คำถามของเซจินทำให้ฉันลังเลในคำตอบอยู่พักใหญ่ ถ้ารวมรุ่นพี่อีกงเมื่อปีที่แล้วเข้าไปด้วย ก็จะมีนักเรียนโรงเรียนเราเพียงแค่สามคนเท่านั้นที่ไปจนถึงรอบแข่งจริง ถึงจะคิดว่าอย่างน้อยส่งเอกสารไปก็น่าจะดี แต่เอาจริงๆ แล้ว ฉันไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะผ่านรูเข็มนั่นไปได้
เมื่อเทียบกับฉัน เซจินน่ะเตรียมตัวที่จะเข้าแข่งขันปรีย์ เดอโลซานน์มาตั้งแต่เข้าชั้นประถมแล้ว ดังนั้นหากเป็นเซจิน อาจจะเข้าไปจนถึงรอบสุดท้ายเลยก็ได้ ไม่สิ เผลอๆ อาจจะไปจนถึงได้รางวัลเลยด้วยซ้ำ
เซจินมักจะได้รับรางวัลสูงๆ มาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น เธอเป็นนักเต้นที่ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะ แม้จะซ้อมน้อยกว่าคนอื่นแต่ก็ยังได้ยืนอยู่ข้างหน้าเสมอ
อาจารย์หลายคนมักจะพูดเสมอว่า ถ้าจะมีอะไรสักอย่างที่เป็นข้อเสียของเซจิน ก็คงจะเป็นเรื่องการขาดความกระตือรือร้น แน่นอนว่ามันก็เป็นแค่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนมัธยมต้น
เพราะเมื่อขึ้นชั้นมัธยมปลาย แล้วได้พบกับซูฮยอน เซจินก็ได้เติมเต็มความกระตือรือร้นที่ขาดหายไปจนได้ เพราะเจ้าตัวมีความแน่วแน่ในการแข่งขันที่อยากจะชนะฝ่ายตรงข้ามและไม่อยากพ่ายแพ้ มันเลยกลายเป็นโอกาสที่ดีที่ทำให้เซจินได้พัฒนาตัวเอง
ทำให้เซจินในตอนนี้กำลังฉายแววของบัลเลรินาในอุดมคติที่ฉันใฝ่ฝันถึง พรสวรรค์ที่มีมาแต่เกิด ใบหน้าที่ทรงเสน่ห์ ความปรารถนาที่จะมุ่งสู่จุดสูงสุด บางทีต่อให้ฉันพยายามทั้งชีวิตก็คงจะไม่สามารถตามได้ทัน รู้สึกหดหู่ขึ้นมาเลยแฮะ
“ส่วนซูฮยอนก็จะเข้าร่วมแน่นอน”
เสียงของอาจารย์ดังขึ้นมาอย่างชัดเจนท่ามกลางเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเหล่าเด็กๆ วินาทีที่ชื่อของซูฮยอนถูกเรียกขึ้นมา ฉันก็สัมผัสได้ว่าเซจินสะดุ้งเฮือก พอทุกสายตาจ้องมองไปที่ซูฮยอน หมอนั่นก็ยิ้มแห้งๆ เหมือนกับทำตัวไม่ถูก ก่อนจะพยักหน้าเงียบๆ
“ซูฮยอนได้รับรางวัลจากการแข่งขันที่จัดขึ้นที่โซล เลยได้รับการยกเว้นรอบคัดเลือกสินะ”
เสียงซุบซิบของเด็กๆ ดังขึ้นมาสักครู่หนึ่ง ในตอนที่ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าสีหน้าของเซจินดูสั่นจนผิดสังเกต จู่ๆ แก้มทั้งสองข้างของยัยนั่นก็แดงแจ๋ขึ้นมาซะเฉยๆ
เอ๋ การตอบสนองที่ไม่คุ้นตาของเซจินกลับทำให้ฉันต่างหากล่ะที่เป็นฝ่ายทำตัวไม่ถูก ถ้าเป็นปกติล่ะก็ยัยนั่นคงจะออกอาการโมโหออกมาแล้วพูดว่า ก็แค่การแข่งขันเล็กๆ ซูฮยอนได้รางวัลเพราะฉันไม่ได้ลงแข่งต่างหากล่ะ
สรุปแล้ว วันนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมเซจินถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้ ฉันที่เกิดความสงสัยขึ้นมาจึงหันไปจ้องซูฮยอนตาเขม็ง หมอนั่นยังคงยิ้มเจื่อนๆ ออกมา แต่ก็กำลังจ้องมองไปที่แผ่นหลังของเซจินอย่างไม่วางตาเช่นกัน
“เอาล่ะ ถ้างั้นทุกคนก็ตั้งใจฝึกซ้อมงานแสดงประจำฤดูเข้าล่ะ!”
“ขอบคุณครับ/ค่ะ!”
ทันทีที่อาจารย์เดินออกจากห้องซ้อมเต้น ทุกคนต่างพร้อมใจเข้าไปรุมล้อมซูฮยอน ดูท่าคงจะไปถามเรื่องเกี่ยวกับการแข่งล่ะมั้ง
ระหว่างนั้นเซจินก็หลบซ่อนใบหน้าที่แดงระเรื่อขึ้นมา แล้วค่อยๆ เดินออกไปข้างนอก ฉันมองซูฮยอนกับประตูที่เซจินเดินออกไปสลับไปมา จนในที่สุดฉันก็ทำได้แต่รีบเดินตามเซจินออกจากห้องซ้อมเต้นไป
“เซจิน!”
ฉันจับมือของเซจินที่เริ่มจะเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ แล้วรั้งตัวเธอกลับมา แต่กลับได้เห็นใบหน้าที่เคร่งเครียดแทน ฉันตกใจจนสะดุ้งเฮือก พลางปล่อยมือของเซจิน จะว่าไงดี สีหน้านั้นดูสับสนอย่างบอกไม่ถูก เซจินเอามือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดใบหน้าที่ร้อนผ่าวจนกลายเป็นสีแดง เธอหยุดยืนอยู่ตรงนั้น ก่อนจะเอามือถูหน้าไปมาอยู่หลายครั้ง
“…เป็นอะไรไป มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ”
เซจินไม่ยอมพูดอะไรอยู่สักพัก ฉันรอคอยคำตอบของเซจินอยู่เงียบๆ เซจินนั่งย่องๆ พิงกำแพงทางเดินโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะเอาหน้ามุดลงไประหว่างหัวเข่า แล้วเอาแต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ด้วยความรู้สึกอึดอัด ฉันจึงย่อตัวลงมานั่งกอดเข่าอยู่ข้างๆ เซจินด้วยเช่นกัน
“กยอมกยอม”
ปากที่หนักอึ้งของเซจินยอมขยับในที่สุด ฉันพยักหน้าเล็กๆ พลางเฝ้ารอให้เซจินพูดต่อ เซจินที่นั่งกอดขาพลางกระดิกนิ้วไปมายังคงเอาแต่ซบหน้าลงที่หัวเข่า พร้อมกับพึมพำขึ้นมาด้วยเสียงที่เบามากๆ
“ฉันคงจะเป็นคนที่เลวมากเลยล่ะ”
“…จู่ๆ ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะ”
“ฉันไม่มีอะไรดีเลยนอกจากศักดิ์ศรีนี่นา ทั้งที่อุตส่าห์จงใจเลือกแต่คำแรงๆ แท้ๆ ทั้งที่ฉันทำตัวโคตรแย่กับชเวซูฮยอน”
“…”
“แต่ว่าหมอนั่นน่ะ…”
เซจินหยุดพูดไปสักพัก ก่อนจะส่งเสียง โอ๊ย ออกมาพร้อมกับขยี้หัวตัวเองอย่างแรง ลมหายใจที่เซจินพ่นออกมาเหมือนกับจะทำให้บรรยากาศโดยรอบขุ่นมัวไปหมด
ฉันจับมือเซจินไว้โดยไม่พูดอะไร ในตอนนั้นเองที่เซจินเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ แก้มสีแดงทั้งสองข้างพองโตขึ้นมา เธอถอนหายใจ ก่อนจะสั่นเบาๆ แล้วพูดออกมาด้วยเสียงที่เบาจนเกือบจะไม่ได้ยิน
“หมอนั่นบอกว่าชอบฉันน่ะ”
“แล้วเธอตอบไปว่ายังไงล่ะ”
พอฉันถามออกไปโดยไม่มีท่าทีตกใจอะไร เซจินก็ทำตาโตเป็นไข่ห่านด้วยความตกใจแทน แล้วจ้องมาที่ฉัน ทันใดนั้นหางตาก็ตกลงมา พร้อมกับแสดงท่าทีลังเลอยู่สักพัก ก่อนที่จะค่อยๆ ส่ายหัว
“ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปหรอก”
“…นี่เธอเกลียดชเวซูฮยอนขนาดนั้นเลยเหรอ”
“…ไม่รู้สิ”
เซจินถอนหายใจอีกครั้งแล้วมองต่ำลงไปที่พื้น ขนตาที่สั่นไหวอยู่เบาๆ ของเซจินดูน่ารักเสียจนฉันเผลอกำมือที่จับเอาไว้ให้แน่นยิ่งขึ้น เซจินโวยวายขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับทำหน้าเหยเก
“ฉันไม่ชอบหมอนั่นจริงๆ เกลียดเข้าไส้เลยแหละ แต่ตอนนี้ฉันกลับไม่รู้อะไรทั้งนั้น ความจริงแล้ว คำว่าชอบน่ะ ต้องรู้สึกยังไงฉันก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ”
“…”
“ถึงฉันจะชอบรุ่นพี่อีกง แต่นั่นก็แค่ความเพ้อฝัน ตอนที่ได้ยินว่าเธอคบกับรุ่นพี่ ถึงฉันจะอิจฉาหน่อยๆ แต่ฉันก็ไม่ได้เศร้าใจอะไร”
เซจินทำปากจู๋ พร้อมกับทำท่าเหมือนครุ่นคิด แล้วทันใดนั้นยัยนั่นก็ส่ายหัวพลางพึมพำเบาๆ
“แต่กับชเวซูฮยอนน่ะ มันมีอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไป ทั้งๆ ที่ฉันไม่ชอบหมอนั่น ทั้งที่เกลียดเข้าไส้แท้ๆ แต่หลังจากที่ฉันพูดคำแรงๆ ออกไป แล้วก็ทำเป็นไม่สนใจหมอนั่น… แทนที่จะรู้สึกโกรธ ฉันกลับรู้สึกหดหู่ซะงั้น”
“…”
“แล้วพอได้ฟังว่าหมอนั่นชอบฉัน หลังจากนั้นฉันก็เอาแต่คิดว่า ที่ผ่านมาฉันทำตัวไม่ดีเอาไว้ แล้วก็รู้สึกผิด รู้สึกอาย มันรู้สึกแปลกไปหมด…”
เซจินพูดอย่างนั้น ขณะเดียวกันใบหน้าก็ยิ่งแดงหนักขึ้น ท่าทางอย่างนั้นดูน่ารักชะมัด ฉันหัวเราะคิกคักพลางลูบหัวกลมๆ ของเซจิน
เซจินที่มักจะดูโตและเป็นผู้ใหญ่มากกว่าฉัน แต่ในวันนี้เธอดูเหมือนกับเด็กน้อยไม่มีผิด ต่อจากนั้นเซจินก็ทำหน้าบูดอีกครั้ง พลางบ่นว่า พูดมากเกินไปแล้วสินะ
“ไม่หรอก ไม่หรอก ขอบใจนะที่เล่าให้ฟัง”
“…จะยังไงก็ตาม เธอต้องเก็บไว้เป็นความลับนะ ห้ามบอกแม้แต่รุ่นพี่อีกงเชียวล่ะ”
“เข้าใจแล้ว ฉันสัญญา”
ตอนนั้นเองที่เซจินกลับมาทำปากเป็นปกติ แล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะส่งมือมาให้ฉัน มือเล็กๆ ขาวๆ นั่น ฉันยิ้มพลางจับมือแล้วลุกขึ้น
* * *
[1] การเต้นบัลเลต์กลางห้องเรียน (Center Work)
[2] Prix de Lausanne : การแข่งขันบัลเลต์ รายการ ปรีย์ เดอโลซานน์ เปิดโอกาสให้นักเต้นอายุระหว่าง 15-18 ปีเข้าแข่งขัน เพื่อก้าวเข้าสู่มืออาชีพ และร่วมงานกับสถาบันสอนเต้นชื่อดังทั่วโลก