love is magic

วันนี้ไม่มีซ้อมตอนบ่ายซึ่งไม่ได้มีมานานแล้ว พอหมดคาบเรียนปุ๊บ ฉันก็กระโดดขึ้นรถเมล์ แล้วมุ่งหน้าไปยังอคาเดมีทันที ฉันพิงหัวลงบนหน้าต่างรถเมล์ที่ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด มองดูวิวทิวทัศน์ที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่แล้วจู่ๆ ความทรงจำต่างๆ เมื่อครั้งอดีตก็ผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ 

 

 

สมัยมัธยมต้น ด้วยความรู้สึกเล็กๆ ที่ทำให้ฉันอยากจะเข้าใกล้รุ่นพี่อีกงให้มากขึ้น ฉันจึงไปสมัครเรียนที่อคาเดมีเดียวกันกับรุ่นพี่ ถึงแม้จะแทบไม่มีโอกาสได้พบรุ่นพี่ที่เรียนอยู่ในคลาสพิเศษเลย แต่แค่ได้อยู่ในสถานที่เดียวกันกับรุ่นพี่ก็ทำให้ดีใจไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว 

 

 

ในตอนที่รุ่นพี่อีกงได้รับรางวัลกรังปรีซ์จากโลซานน์ ฉันนึกว่าจะไม่ได้เห็นหน้ารุ่นพี่อีกแล้วเสียอีก ความรู้สึกที่เหมือนกับว่ารุ่นพี่ที่อยู่ใกล้กันกำลังจะโบยบินไปยังที่ที่สูงเกินจะเอื้อมถึงนั้น แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ฉันก็จำได้ว่าหัวใจดวงน้อยนั้น ไม่อาจจะรู้สึกยินดีได้อย่างสุดหัวใจ 

 

 

แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร รุ่นพี่ถึงได้ละทิ้งโอกาสพิเศษที่จะได้ไปฝึกฝนต่อในต่างประเทศ แล้วกลับมาอยู่ที่เกาหลีต่อ ตอนแรกฉันไม่เข้าใจเลยสักนิด ความจริงแม้แต่ตอนนี้ที่รุ่นพี่บอกว่าอยากจะเต้นโมเดิร์น แล้วก็กำลังพยายามเพื่อสิ่งนั้นอยู่ ฉันก็แค่รู้สึกได้นิดหน่อย และยังไม่รู้เรื่องนั้นอย่างชัดเจน 

 

 

เพื่อไล่ตามรุ่นพี่อีกง ฉันเริ่มเต้นบัลเล่ต์ สมัครเข้าเรียนโรงเรียนศิลปะ และเข้าเรียนที่อคาเดมี พอลองคิดๆ ดูแล้ว ชีวิตวัยเรียนอันแสนสั้นของฉันอาจจะเป็นแค่การใช้มันไปวันๆ เพื่อไล่ตามเงาของรุ่นพี่อีกงก็ได้นะ 

 

 

และฉันที่เป็นแบบนั้นก็ได้จับมือของรุ่นพี่ ได้จูบ แล้วก็ได้เต้นรำไปด้วยกัน ฉันได้เชื่อมโยงกับรุ่นพี่อย่างใกล้ชิดถึงขนาดที่ว่า ไม่จำเป็นจะต้องปลอบใจตัวเองด้วยการเอาตัวเข้าไปอยู่ในสถานที่เดียวกันกับรุ่นพี่อีกต่อไป จะมีอะไรที่เป็นปาฏิหาริย์ไปได้มากกว่านี้อีกไหมนะ 

 

 

“อ๊ะ ฮวีกยอม ไม่ได้เจอกันตั้งนาน! ลงเรียนพิเศษฤดูร้อนสินะ” 

 

 

ในตอนที่ฉันเพิ่งจะเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อ ฉันก็ได้เจอกับอาจารย์วิชาคลาสสิกตรงโถงทางเดินพอดี อาจารย์ยิ้มให้อย่างร่าเริงพร้อมกับพูดทักทายขึ้น 

 

 

“ค่ะ เป็นเพราะงานแสดงประจำฤดู หนูก็เลยพลาดคลาสเรียนไปเยอะเลยค่ะ” 

 

 

“ครูก็ได้ยินมาจากอีกงเหมือนกัน ได้ข่าวว่าได้แสดงเป็นกัลแนร์งั้นเหรอ” 

 

 

ชื่อของรุ่นพี่อีกงที่หลุดออกมาจากปากของอาจารย์ทำให้ฉันตกใจโดยไม่รู้ตัว เป็นเพราะมันให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากเวลาที่ได้ยินชื่อรุ่นพี่ที่โรงเรียน 

 

 

เดิมทีแล้ว รุ่นพี่อีกงมีแผนที่จะมาเข้าร่วมกลุ่มบัลเลต์ของอคาเดมีหลังจากที่เรียนจบจากต่างประเทศ และน้ำเสียงภาคภูมิใจของอาจารย์ที่พูดถึงรุ่นพี่อีกงนั้น ก็ทำให้รุ่นพี่ดูเหมือนเป็นอีกคนหนึ่งไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ 

 

 

“ว่าแต่ ครูไม่รู้มาก่อนเลยนะเนี่ย ว่าฮวีกยอมสนิทกับอีกงน่ะ” 

 

 

“อ๋อ ก็พอดีฝึกซ้อมด้วยกันน่ะค่ะ ก็เลย…” 

 

 

“ตอนนี้อีกงก็อยู่นะ ก่อนเข้าคลาสก็ลองไปทักทายดูก่อนสิ” 

 

 

คำพูดของอาจารย์ทำให้ฉันช็อก เท่าที่ฉันรู้ หลังจากที่รุ่นพี่ตัดสินใจจะเลิกเต้นคลาสสิก นอกจากมาเข้าเรียนคลาสคอนเทมโพรารี[1]แล้ว รุ่นพี่ก็ไม่น่าจะมาทำอะไรที่อคาเดมีนี่นา 

 

 

“แค่มาปรึกษากับหัวหน้าคณะ เรื่องการเข้ากลุ่มเป็นกรณีพิเศษน่ะ” 

 

 

คงเป็นเพราะอ่านใจฉันออก อาจารย์ถึงได้ขยายความเพิ่มเติม 

 

 

“อีกงนี่เป็นเด็กที่สุดยอดจริงๆ เลยนะ ยอมทิ้งรางวัลกรังปรีซ์ที่โลซานน์และทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วเปลี่ยนมาสายโมเดิร์นแทน” 

 

 

“…” 

 

 

“ในความคิดของหัวหน้าคณะ เขาคิดว่าน่าจะเข้ากลุ่มก่อน แล้วขณะที่ยังเต้นคลาสสิกอยู่ ก็ให้เต้นโมเดิร์นควบคู่ไปด้วย แบบนั้นน่าจะดีกว่า แต่ดูท่าอีกงคงอยากเริ่มตั้งแต่พื้นฐานเลยน่ะ” 

 

 

เส้นทางของรุ่นพี่ที่ได้ฟังจากคนอื่นแทนที่จะเป็นเจ้าตัวเล่าเองงั้นเหรอ ให้ความรู้สึกแปลกอย่างไรไม่รู้สิ โมเดิร์น โมเดิร์นงั้นเหรอ ฉันได้แต่ยิ้มแห้งๆ 

 

 

“ตายจริง ถึงเวลาแล้วเหรอเนี่ย” 

 

 

หลังจากก้มดูนาฬิกาข้อมือ อาจารย์ก็รีบจัดเอกสารที่ถืออยู่ในมือ แล้วดึงแขนฉันไป แม้ว่าตัวฉันจะถูกลากไป  แต่ความคิดเกี่ยวกับรุ่นพี่ก็ยังไม่ถูกสลัดออกไปจากหัวของฉัน รุ่นพี่ที่ฉันคิดว่า ในที่สุดเราก็ได้ใกล้กันมากขึ้นแล้ว กลับห่างออกไปอีกครั้ง 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

หลังจากที่กินอาหารกลางวันเสร็จ ฉันก็ได้รับข้อความจากรุ่นพี่อีกงว่าให้ไปเจอกันที่ดาดฟ้าโรงเรียน ฉันแอบเดินออกไปจากห้องเรียน แล้ววิ่งไปทางประตูฉุกเฉินที่เชื่อมกับดาดฟ้า โดยปกติแล้วที่แห่งนี้จะถูกล็อกเอาไว้ แต่ไม่รู้เพราะอะไรแม่กุญแจถึงถูกปลดล็อกอยู่ ฉันมองไปรอบๆ พร้อมกับรีบเปิดประตูดาดฟ้า 

 

 

ท้องฟ้าของฤดูใบไม้ร่วงที่สีเข้มและลอยตัวสูงขึ้น ไม่มีเมฆแม้แต่ก้อนเดียวลอยอยู่ แต่คงเป็นเพราะฤดูร้อนยังไม่ผ่านพ้นไปด้วยดี ลมที่พัดผ่านมาจึงยังอบอุ่นอยู่ ฉันรีบปิดประตูจนเสียงเหล็กหนักๆ ที่กระทบกันดังไปทั่วดาดฟ้าที่ว่างเปล่า 

 

 

“มาเร็วจัง” 

 

 

ระหว่างที่ฉันหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหารุ่นพี่ เสียงที่ไม่ว่าจะฟังเมื่อไหร่ก็ทำให้อารมณ์ดีก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังพร้อมกับกลิ่นที่คุ้นเคย แล้วทันใดนั้นสัมผัสที่เข้ามาโอบเอวของฉันก็ทำให้ฉันเผลอยิ้มออกมา ความรู้สึกเมื่อหันหน้าไปมันเหมือนกับว่า นี่ฉันไม่ได้พบกับรุ่นพี่นานขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย 

 

 

“ขึ้นมาที่นี่ได้ยังไงกันคะ” 

 

 

“สิทธิพิเศษสำหรับนักเรียนดีเด่นน่ะ” 

 

 

ที่มือของรุ่นพี่มีพวงกุญแจอยู่ เสียงกรุ๊งกริ๊งๆ ดังขึ้น ตามมาด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ฉันรู้สึกอ่อนเปลี้ยไปทั้งตัว ก็พี่บอกว่าอยากมาซ้อมที่นี่น่ะสิ รุ่นพี่พูดเสริม ในตอนนั้นรุ่นพี่ก็จูงมือของฉันเดินมาตรงกลางดาดฟ้ากว้างๆ ที่ไม่มีอะไรอยู่เลย 

 

 

“จะซ้อมที่นี่จริงๆ เหรอคะ” 

 

 

“อือ ดูเว่อร์เกินไปหรือเปล่านะ” 

 

 

รุ่นพี่อีกงพูดแบบนั้นพลางส่งยิ้มที่เต็มไปด้วยความขี้เล่นกลับมา ใบหน้าของรุ่นพี่ดูเหมือนกับเด็กซุกซนอย่างไรก็ไม่รู้ เขาดึงมือของฉันที่ตัวเองจับเอาไว้อยู่เข้ามาใกล้ แล้วใช้แขนอีกข้างโอบเอวของฉันเอาไว้ ชายเสื้อนักเรียนของรุ่นพี่ที่ปลิวไปตามลมส่งกลิ่นอาคาเซียอ่อนๆ  

 

 

“แต่ก็น่าจะลองเต้นอย่างอื่นดูนะ” 

 

 

“เต้นอะไรเหรอคะ” 

 

 

“อะไรก็ได้ ตามแต่ที่ร่างกายจะเคลื่อนไหว” 

 

 

รุ่นพี่พูดพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเพลง แล้ววางลงไปบนพื้น ทันใดนั้น ดนตรีแจ๊สอันแสนหวานก็ดังขึ้น รุ่นพี่ดึงเอวของฉันที่จับอยู่เข้าไปใกล้ด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะกระซิบเบาๆ 

 

 

“ไม่ต้องคิดเรื่องอะไรทั้งนั้น แค่เคลื่อนไหวไปตามที่ร่างกายพาไปก็พอ เข้าใจไหม” 

 

 

“…ค่ะ” 

 

 

ถึงฉันจะเผลอพยักหน้าให้ แต่ความจริงแล้วฉันกลับรู้สึกประหม่าสุดๆ ฉันแทบจะไม่เคยเต้นอย่างอื่นเลยนอกจากบัลเลต์ อย่างมากก็แค่เรียนคลาสคอนเทมโพรารีที่โรงเรียนล่ะมั้ง 

 

 

รุ่นพี่คงจะสังเกตเห็นท่าทางที่ยืนตัวแข็งทื่อของฉันเข้า เขาจึงอมยิ้ม พร้อมกับประสานมือของตัวเองเข้ากับมือของฉันที่กุมเอาไว้ อ่า หัวใจเต้นรัวไม่หยุดอีกแล้ว 

 

 

“ไม่มีอะไรต้องคิดให้ยุ่งยากหรอก เอาล่ะ แบบนี้” 

 

 

รุ่นพี่ที่กำลังหัวเราะอยู่นั้น แอบผลักตัวของฉันออกไป ทำให้ตัวของฉันที่ถูกผละออกจากรุ่นพี่ เริ่มหมุนเป็นวงกลม  

 

 

ต่อจากนั้น รุ่นพี่ก็ดึงมือของฉันอีกครั้ง ฉันหมุนตัวทั้งอย่างนั้น ก่อนจะถูกสวมกอดจากอ้อมอกของรุ่นพี่ แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงรู้สึกตื่นเต้นอย่างประหลาด ความรู้สึกมันอย่างกับว่ากำลังถูกเชิญไปร่วมงานเลี้ยงเต้นรำในเทพนิยายล่ะมั้ง 

 

 

ฉันก้มหน้าก้มตาลงด้วยความเขินอาย แต่รุ่นพี่กลับไม่ได้สนใจอะไร เขาจับมือทั้งสองข้างของฉันเอาไว้ แล้วจู่ๆ ก็เริ่มหมุนเป็นวงกลม พอได้หมุนไปเรื่อยๆ เหมือนกับเครื่องเล่นหมุนๆ ในสนามเด็กเล่น มันก็ทำให้ฉันหัวเราะออกมาในทันที เฮ้อ ให้ตายสิ 

 

 

“สนุกใช่ไหมล่ะ” 

 

 

รุ่นพี่หัวเราะเสียงดังออกมา ก่อนจะตะโกนเสียงดัง อ้า! เป็นเสียงตะโกนที่สดใสและกังวาน อ้า! ฉันเองก็พลอยตะโกนตามรุ่นพี่ไปด้วย มันเริ่มรู้สึกสนุกเหมือนกับกำลังเล่นเครื่องเล่นอยู่จริงๆ เลยแฮะ 

 

 

ดนตรีเปลี่ยนไปกี่รอบแล้วนะ ร่างกายเริ่มเคลื่อนไหวไปตามที่จดจำในหัว ไปจนถึงเคลื่อนไหวตามที่นึกคิดออกมาในตอนนั้น โดยที่ไม่สนว่าท่าไหนจะมาก่อนหรือหลัง ฉันเพียงแต่หยิบมันออกมาเต้นตามอารมณ์ แล้วจู่ๆ รุ่นพี่ก็เข้ามาโอบเอวของฉัน ก่อนยกตัวฉันชูขึ้นไปกลางอากาศเหมือนกับกำลังทำท่าลิฟท์ 

 

 

“ระ รุ่นพี่คะ!” 

 

 

ทันทีที่ฉันเผลอจับต้นคอของรุ่นพี่ด้วยความตกใจ รุ่นพี่ก็จับขาของฉันขึ้นมาเกี่ยวไว้ที่เอวของตัวเอง 

 

 

“ฮวีกยอม” 

 

 

รุ่นพี่เรียกชื่อของฉันพร้อมกับฉีกยิ้มแสนสดใส ความรู้สึกเขินอายทำให้ฉันไม่แม้แต่จะกล้ามองตาของรุ่นพี่ได้ตรงๆ ได้แต่ก้มหน้าลงอย่างเงอะๆ งะๆ น้ำเสียงอันเร่าร้อนของรุ่นพี่ที่ทำให้ฉันละลายนั้น กระซิบผ่านหูฉันเข้ามา 

 

 

“จูบฉันทีสิ” 

 

 

วินาทีนั้นหัวใจของฉันเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมา ลำคอมันจั๊กจี้ไปหมด ใบหูก็ร้อนผ่าว และมือของฉันที่โอบคอของรุ่นพี่อยู่ก็เริ่มสั่นไหว 

 

 

รุ่นพี่จ้องมองมาที่ใบหน้าของฉันที่คงจะร้อนจนแดงแจ๋ ก่อนจะหัวเราะคิกคัก พลางเริ่มหมุนตัวขณะที่กอดฉันเอาไว้ 

 

 

“ระ รุ่นพี่! เดี๋ยวก่อนค่ะ!” 

 

 

“เร็วสิ” 

 

 

น้ำเสียงหยอกล้อของรุ่นพี่ดังขึ้นเพื่อเร่งฉัน เมื่อมุมมองที่หมุนเป็นวงกลมหยุดลง ฉันก็แสดงท่าทีลนลานออกมาพักใหญ่เพราะคำว่า เร็วสิ เร็วๆ ของรุ่นพี่ที่เร่งมาอีกครั้ง และในท้ายที่สุด ฉันก็เม้มปากแน่น พร้อมกับรวบรวมความกล้า แล้วจ้องไปที่ตาของรุ่นพี่ 

 

 

ดวงตาสีดำคมเข้มของรุ่นพี่โค้งงอ รวมไปถึงรูปตาที่เรียวยาว ขนตาที่สั่นไหวเบาๆ และจุดโฟกัสสายตาที่คมลึก สิ่งเหล่านั้นทำให้ฉันเหมือนกับต้องมนต์สะกดอีกครั้ง 

 

 

“นับถึงสามนะ” 

 

 

เสียงของรุ่นพี่ที่เหมือนกับเสกเวทมนตร์ ใบหน้าของฉันคงจะแดงเหมือนมะเขือเทศไปแล้วมั้ง 

 

 

“หนึ่ง” 

 

 

ฉันกลืนน้ำลายลงคอ ทำไงดี จะทำอย่างไรดี 

 

 

“สอง” 

 

 

บนใบหน้าของรุ่นพี่ที่อยู่ต่ำกว่าฉันเล็กน้อย ถูกปกคลุมไปด้วยเงาของฉัน ริมฝีปากที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของรุ่นพี่วาดเส้นอันอ่อนช้อยขึ้นมา ในตอนนั้นเองสายลมอบอุ่นได้พัดผ่านมาจากที่ไหนสักที่ ทำให้หน้าม้าของรุ่นพี่ปลิวไปมาเบาๆ 

 

 

“สาม” 

 

 

วินาทีที่ฉันได้ฟังการร่ายคาถาครั้งสุดท้าย ฉันโผเข้าไปกุมแก้มของรุ่นพี่ แล้วประทับริมฝีปากของตัวเองลงไปบนริมฝีปากของเขา เพลงรักกำลังล่องลอยออกมาจากโทรศัพท์ของรุ่นพี่ที่วางอยู่บนพื้น 

 

 

 ‘พวกเรา’ พัวพันกันยุ่งเหยิงบริเวณริมฝีปากที่แนบชิดติดกัน ไม่คิดเลยว่ามันจะหอมหวานได้ขนาดนี้ ฉันมีความสุขมากเสียจนรู้สึกเหมือนจะลอยขึ้นไปบนฟ้าทั้งๆ อย่างนี้ 

 

 

เส้นผมของฉันสยายหลุดลุ่ยปลิวไปตามสายลม และแก้มก็รู้สึกจั๊กจี้ แสงสีแดงลอดผ่านเปลือกตาทั้งสองข้างที่กำลังปิดสนิท หัวใจของฉันที่เต้นจนเหมือนจะระเบิดออกมาซะเดี๋ยวนั้นกำลังส่งเสียงดังเสียยิ่งกว่าเสียงเพลงจนทำให้รู้สึกคันยุบยิบที่หู 

 

 

ฉันออกแรงเกร็งขาที่กำลังเกี่ยวเอวของรุ่นพี่ให้มากยิ่งขึ้น ต่อจากนั้นฉันรู้สึกได้ว่าวงแขนของรุ่นพี่ที่โอบกอดเอวของฉันเอาไว้ดูจะแคบลงและรัดแน่นขึ้น ความร้อนจากร่างกายของรุ่นพี่เริ่มส่งผ่านมาทางเสื้อนักเรียนบางๆ ที่แนบชิดกันอยู่ 

 

 

อุณหภูมิของร่างกายที่ร้อนเหมือนกับจะเรียกฤดูร้อนให้กลับมา อากาศร้อนผ่าวมาพร้อมกับกลิ่นอาคาเซียที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ต่อจากนั้นเมื่อริมฝีปากผละออกไปช้าๆ ความรู้สึกที่รุ่มร้อนเสียยิ่งกว่าก็ยังคงเหลือติดอยู่ที่ริมฝีปาก 

 

 

แต่ในขณะที่รุ่นพี่กำลังงับเบาๆ อยู่ตรงปลายริมฝีปากของฉันที่กำลังจะผละออก จู่ๆ รุ่นพี่ก็คว้าเส้นผมของฉันที่ร่วงลงมาปรกหน้า ก่อนจะดึงเข้าหาตัวเองอย่างเบามือ 

 

 

ทำให้ปากของฉันแนบชิดกับริมฝีปากของรุ่นพี่อีกครั้งโดยที่มีแม้แต่เวลาจะให้ตกใจ รุ่นพี่ที่ดันฉันไปติดกับรั้วเหล็กที่ล้อมอยู่รอบระเบียงดาดฟ้าดูจะรีบร้อนแปลกๆ 

 

 

ฉันที่ตกใจกับเสียงกระแทกโดนรั้วเหล็ก จึงขัดขืนเบาๆ พลางกำปกคอเสื้อของรุ่นพี่เอาไว้ ดวงตาของรุ่นพี่ที่ฉันค่อยๆ มองนั้น กำลังลุกโชนอย่างเร่าร้อนเหมือนกับดวงอาทิตย์ 

 

 

เสียงกลืนน้ำลายลงคอดังอึก ริมฝีปากที่แห้งผาก หัวใจของฉันเต้นโครมครามจนเหมือนจะระเบิดออกมา จนเมื่อความเย็นของรั้วเหล็กที่สัมผัสกับแผ่นหลังผ่านเสื้อนักเรียนบางๆ แทรกตัวเข้ามายังผิวหนัง ฉันก็สั่นไปหมดทั้งตัว พลางเกร็งขาที่เกี่ยวกับเอวของรุ่นพี่เอาไว้แน่น 

 

 

แล้วจู่ๆ รุ่นพี่ก็เอามือทั้งสองข้างขึ้นมากุมใบหน้าของฉันไว้แน่น ลิ้นนุ่มๆ ที่แทรกเข้ามาในริมฝีปากในชั่วพริบตา ความเจ็บแสบจากการกัดริมฝีปากล่าง และความร้อนจากร่างกายที่พันกันยุ่ง ทำให้ฉันไม่อาจแม้แต่จะหายใจได้ไหว ฝ่ามือของรุ่นพี่ที่แนบอยู่ตรงแก้มของฉันช่างร้อนเหลือเกิน ทำให้สุดท้ายฉันก็ได้แต่หลับตาพริ้ม 

 

 

“อ๊ะ…” 

 

 

ทุกครั้งที่มีโอกาส ฉันก็จะปล่อยลมหายใจที่อัดแน่นอยู่ที่ลำคอออกมาอย่างเหนื่อยหอบ ฉันไม่อาจตั้งสติได้เลยจริงๆ ริมฝีปากรู้สึกแสบร้อนอย่างกับโดนไฟแผดเผาจนฉันเผลอครางออกมาเบาๆ ลมหายใจอุ่นๆ ของรุ่นพี่รดลงมาบนริมฝีปากของฉัน 

 

 

สติอันเลือนรางของฉันหวนคืนมาเมื่อได้ยินเสียงกริ่งเข้าเรียนดังขึ้นมา เสียงนั้นที่ทำให้รู้ว่าเวลาพักกลางวันได้จบลงแล้ว ริมฝีปากของรุ่นพี่วาดรอยยิ้มที่ทำให้ฉันรู้สึกเสียดายขึ้นมา ก่อนจะผละออกจากฉันไป 

 

 

“กริ่งดังแล้ว” 

 

 

รุ่นพี่เลียริมฝีปากตัวเองด้วยปลายลิ้น ก่อนจะหัวเราะคิกคัก พลางจุ๊บลงที่หน้าผากของฉัน ตอนนั้นเองที่ความเขินอายที่ฉันได้ลืมเลือนไปชั่วขณะเอ่อขึ้นมาเหมือนน้ำทะลัก จนใบหน้าร้อนวูบวาบไปหมด 

 

 

ฉันรีบยกขาที่เกี่ยวกับเอวของรุ่นพี่ลง ส่วนรุ่นพี่เองก็ค่อยๆ วางฉันลงบนพื้นอย่างช้าๆ เมื่อความรู้สึกอบอุ่นจากตอนที่แนบชิดกันจางหายไปจากร่างกายของฉัน มันให้ความรู้สึกอย่างกับว่าของที่แต่เดิมเคยผูกติดเอาไว้ ได้หลุดออกไป 

 

 

ฉันก้มหน้าที่ร้อนผ่าวจนแดงแปร๊ดลง แล้วกระดิกนิ้วไปมา แต่รุ่นพี่กลับยื่นมือมาตรงหน้าฉันอย่างมั่นใจ ฉันเงยหน้ามองไปที่รุ่นพี่ ก่อนจะจับมือนั้นอย่างระมัดระวัง นิ้วมือของรุ่นพี่ที่แทรกเข้ามาตรงช่องว่างระหว่างฝ่ามือให้ความรู้สึกจั๊กจี้ บนแก้มทั้งสองข้างของรุ่นพี่ที่มีเลือดฝาดนั้นมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนอยู่ 

 

 

“ไปกันเถอะ” 

 

 

ไปกันเถอะ คำนั้นทำให้ฉันน้ำตาเกือบจะไหลออกมา ฉันจับมือของรุ่นพี่ แล้วจ้องไปที่แผ่นหลังของเขา พลางเดินตามรุ่นพี่ไปพร้อมกับความหวัง 

 

 

ความหวังที่ว่า ต่อจากนี้ไป ฉันจะยังคงได้ยินคำๆ นี้ไปอีกเรื่อยๆ และยังคงสามารถจับมือ เดินตามรุ่นพี่ไปได้ตลอดทั้งชีวิต 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] คอนเทมโพรารี แดนซ์เป็นสไตล์การเต้นร่วมสมัยที่รวมเทคนิคของโมเดิร์นแดนซ์กับบัลเลต์คลาสสิกเข้าด้วยกัน เน้นการแสดงออกของความรู้สึกภายในของผู้แสดง