เซียวอี้ 6
เซียวอี้ขมวดคิ้ว หลุบสายตาลงมองขาขวาของตัวเอง เสียงของเขายังคงเยือกเย็นและเคร่งขรึมเหมือนเคย “คงเป็นเนื้อเยื่อเอ็นกล้ามเนื้อฉีกขาดหรือไม่ก็ข้อเคลื่อน แต่ไม่รู้ว่ามีกระดูกหักหรือเปล่า”
อวี่ฉีไม่ใช่คนโง่ เธอย่อมเข้าใจความหนักเบาของทั้งสองอาการนี้เป็นอย่างดี ถ้าเป็นแบบแรกก็ยังพอได้ นอกจากความรู้สึกเจ็บปวดสุด ๆ ในตอนที่ได้รับบาดเจ็บ ปกติเวลาอื่นขอแค่ไม่ไปกระเทือนโดนข้อเข่าก็จะไม่เจ็บมากเท่าไร หลังพักฟื้นไม่กี่วัน ต่อให้ยังออกมาวิ่งเล่นไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดก็พอจะเดินเหินด้วยตัวเองได้แล้ว
ทว่าหากเป็นแบบหลังก็ถือว่าเริ่มยุ่งยากแล้วละ เพราะไม่ใช่แค่ต้องดึงกระดูกให้เข้าที่และเข้าเฝือกให้อยู่นิ่ง ๆ แต่มันยังจำเป็นต้องใช้เวลาพักฟื้นยาวนาน หนำซ้ำระหว่างรอฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพเดิมจะเจ็บจนแทบขยับไปมาไม่ได้ ถ้าเซียวอี้ไม่มีเพื่อนร่วมเดินทางในยุคสิ้นโลกที่มีอันตรายรอบด้านแบบนี้แล้วละก็ อาการบาดเจ็บของเขาก็มีค่าเท่ากับต้องโทษประหารเท่านั้น
ถึงเธอจะไม่มีวันทิ้งเขาเอาไว้โดยไม่สนใจไยดีได้ แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้มันเป็นแบบหลังอยู่ดี
อวี่ฉีควบคุมสีหน้าให้นิ่งพลางลุกขึ้นเดินมาย่อตัวลงข้างขาของอีกฝ่าย เธอยื่นมือไปคลำหัวเข่าข้างขวาของเด็กชายอย่างละเอียด แล้วขมวดคิ้วน้อย ๆ “ดูเหมือนจะบวมขึ้นมานิดหน่อยแล้วนะ”
เซียวอี้ตอบ “อืม” เสียงเรียบโดยที่ใบหน้ายังคงสงบเยือกเย็นราวกับน้ำนิ่งเช่นเดิม เขาก้มลงพับขากางเกงของตัวเองขึ้น แต่เพราะเพิ่งได้รับบาดเจ็บมา ทำให้บริเวณเข่าไม่สามารถขยับได้ตามสะดวก จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีท่าทางงุ่มง่ามอยู่บ้าง
อวี่ฉีรีบหยุดเขาไว้ทันที ตามด้วยการยื่นมือไปช่วยเขาพับขากางเกงขึ้นจนอยู่เหนือหัวเข่าราว ๆ สามสี่นิ้ว เธอเห็นเข่าที่บวมสะดุดตาบนหน้าแข้งเรียวยาวขาวนวลนั้นตามที่คาดเอาไว้ บางจุดเริ่มมีรอยเขียวคล้ำปรากฏ
เซียวอี้ยื่นมือไปคลำเข่าตัวเองซ้ำ ๆ อย่างคล่องแคล่วโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ก่อนจะขมวดคิ้วกัดฟันทนความทรมานขยับข้อต่อครั้งหนึ่ง ท้ายที่สุดก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า “กระดูกไม่หัก แค่เอ็นอักเสบ”
สำหรับอาการบาดเจ็บประเภทนี้ อวี่ฉีรู้แค่ว่าต้องประคบเย็นภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงหลังจากได้รับบาดเจ็บ ยี่สิบสี่ชั่วโมงถัดไปอาจประคบร้อนหรือแปะพลาสเตอร์บรรเทาอาการปวด ติดก็แต่ว่าสถานการณ์และเงื่อนไขในปัจจุบันไม่มีทางหาน้ำแข็งเจอ เธอจึงทำได้เพียงพลิกตัวขึ้นไปบนรถออฟโรด เพื่อควานหาถุงพลาสติกใส่ของสักใบมาเทน้ำเย็นลงไปนิดหน่อย แล้วมัดปมปิดถุงพลาสติกให้แน่นหนาจนกลายเป็นถุงประคบเย็นง่าย ๆ เพื่อมาวางประคบไว้บนหัวเข่าของคนเจ็บ
หลังจัดการเรื่องทั้งหมดนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว อวี่ฉีกำลังจะเดินกลับไปนั่งข้าง ๆ เซียวอี้ แต่กลับพบว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามออกแรงดึงกระเป๋าสะพายของเธอที่อยู่ห่างออกไปเข้ามาหาตัวเองอย่างยากลำบาก
เขายังคงทำตัวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมออกปากขอความช่วยเหลือจากเธอเลยสักครั้ง ทั้งที่ตัวเองอยู่ในสภาพที่ลำบากสุด ๆ แล้วก็ตาม
แต่แทนที่จะบอกว่าเขาแข็งแกร่งพอจะพึ่งพาตัวเองได้ สู้บอกว่าเธอยังคงไม่ได้รับความไว้วางใจจากเขาน่าจะเข้าเค้ามากกว่า
อวี่ฉีถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เธอก็ยังลุกขึ้นยืน แล้วหยิบกระเป๋าสะพายยื่นส่งให้เขา “จะเอาอะไร?”
เซียวอี้อึ้งไปเล็กน้อยก่อนที่จะรับมันไป เขาเลื่อนขาที่บาดเจ็บวางไว้บนกระเป๋าสะพาย ก่อนอธิบายอย่างสงบนิ่งว่า “การยกแผลให้สูงขึ้นหน่อยจะป้องกันไม่ให้มันบวมมากกว่าเดิมได้”
อวี่ฉีพยักหน้า มองไปรอบ ๆ แล้วหันศีรษะกลับมาถามเขา “ยังมีเรื่องอะไรที่ต้องทำอีกไหม?”
เซียวอี้หลุบตาลง ก่อนจะส่ายหน้า “รอจนพระอาทิตย์ตกดิน พวกเราก็ออกเดินทางกันได้แล้ว” เขาพูดก่อนจะเสริมอีกประโยคว่า “ถือโอกาสที่ตอนนี้ยังไม่มีเรื่องอะไรพักผ่อนให้มาก ๆ หน่อย เพราะเดี๋ยวจะต้องรีบเดินทางกันทั้งคืน รับรองว่าเหนื่อยจนลืมหายใจแน่”
อวี่ฉีได้ยินอย่างนั้นก็ผ่อนคลายลง แล้วกลับไปนั่งข้างกายเขาอีกครั้ง
เหมือนจะจงใจ แต่ก็คล้ายกับไม่ได้มีเจตนา เธอเข้าไปใกล้เด็กชายมากจนไหล่ของคนทั้งคู่ติดกัน ขนาดที่ว่ารับรู้ได้ถึงอุณหภูมิในร่างกายของอีกฝ่ายที่ส่งผ่านมาทางเนื้อผ้า
อวี่ฉีควานเอาขนมปังแข็งสำหรับทหารออกมาจากในกระเป๋าสะพายอย่างระมัดระวังไม่ให้ไปกระทบโดนขาที่บาดเจ็บของคนข้างตัว ก่อนบิออกมาครึ่งแผ่นแล้วยื่นให้อีกฝ่าย
ร่างกายที่แนบชิดกับตัวเธอของเซียวอี้แข็งค้างไปชั่วขณะ ก่อนจะผ่อนคลายลงช้า ๆ เขาส่ายศีรษะปฏิเสธไปว่า “เธอกินเถอะ ฉันไม่หิว”
ในตอนที่เธอกำลังจะลองงัดเอาวิธีโน้มน้าวที่ค่อนข้างจะซ้ำซากจำเจ แต่ก็คลาสสิกตลอดกาลจำพวก ‘ถึงไม่หิวก็ต้องกินสักหน่อย ไม่อย่างนั้นจะไม่มีแรงเดินทาง’ ออกมาใช้นั่นเอง เด็กชายกลับอธิบายด้วยเสียงนิ่ง ๆ เหมือนรู้ว่าเธอกำลังจะพูดอะไรออกมา “หลังกินอาหารที่มีแคลอรี่สูงพวกนี้เข้าไปแล้วจะต้องสิ้นเปลืองน้ำจำนวนมากเพื่อใช้ในการย่อย ดังนั้นถ้าต้องคำนึงถึงเรื่องประหยัดน้ำแล้ว เป็นไปได้ก็พยายามกินให้น้อยที่สุดก่อนที่พวกเราจะออกจากเขตทะเลทรายจะดีกว่า”
หลังจากเขาอธิบายความรู้ทั่วไปทั้งหมดนี้จบ อวี่ฉีก็รู้สึกผิดที่จะกินขนมปังแข็งครึ่งแผ่นนั้นขึ้นมาชอบกล แต่ยังไงก็หยิบออกมาแล้ว ครั้นจะวางกลับคืนก็ดูเสียหน้าเกินไปหน่อย เธอจึงตัดสินใจฉาบหน้าให้หนาแล้วกลืนขนมปังครึ่งชิ้นนั้นลงท้อง ก่อนจะยัดส่วนที่เหลือกลับเข้าไปในกระเป๋าตามเดิม
ทั้งคู่นั่งพิงกันเงียบ ๆ เพียงไม่กี่นาที ฝ่ายอวี่ฉีก็คล้ายว่าจะหลับสนิทไปแล้ว ศีรษะของเธอเอนไปด้านข้างเล็กน้อยก่อนวางแหมะลงบนข้างขมับของเซียวอี้พอดิบพอดี ด้วยระยะห่างที่ใกล้ถึงขนาดนี้ มันเกือบจะทำให้พวกเขาแลกลมหายใจกันได้เลยทีเดียว
เซียวอี้ค่อนข้างรู้สึกอึดอัดเมื่อต้องสัมผัสใกล้ชิดกับคนอื่นแบบนี้ แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกแปลกประหลาดอันเลือนรางอีกรูปแบบซึ่งมาพร้อมกับร่างกายอุ่น ๆ และกลิ่นหอมอ่อนจางที่โชยมาจากตัวของคนข้าง ๆ พาให้ร่างกายของเขาอ่อนยวบ ทั้งยังรู้สึกจั๊กจี้ในใจลึก ๆ อยู่ตลอด
ความรู้สึกนี้ไม่นับว่ารู้สึกสบาย แต่จะบอกว่ารู้สึกแย่ก็ไม่ได้ เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย
ความจริงอวี่ฉีจงใจให้สถานการณ์ออกมาเป็นแบบนี้เอง ถ้าพูดในมุมมองด้านวิทยาศาสตร์แล้ว ส่วนใหญ่คนสองคนจะสามารถเพิ่มความสนิทสนมและความเชื่อใจได้โดยการสัมผัสใกล้ชิดทางกายง่ายกว่าการพูดคุยทำความรู้จักกันเสียอีก ความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวอย่างไม่มีที่มาที่ไปและสัมผัสไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ได้ผลโดยไม่อาจปฏิเสธ
ยกตัวอย่างง่าย ๆ สักเรื่องแล้วกัน สมมติว่าเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่วันมาทักทายคุณ ตอนนั้นคนหนึ่งโอบไหล่คุณจากด้านหลังพร้อมกับรอยยิ้ม ส่วนอีกคนเพียงแค่ยิ้มน้อย ๆ แล้วพูดว่า ‘ไฮ’ คำหนึ่ง คุณก็ต้องรู้สึกว่าเพื่อนคนแรกเข้าถึงได้ง่ายกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
ถึงแม้ไม่รู้ว่าวิธีการนี้จะส่งผลกระทบต่อเซียวอี้ได้มากแค่ไหน แต่อวี่ฉีก็อยากลองดูสักตั้ง เดิมทีเธอยังคิดจับคู่กลยุทธ์พิงไหล่เพิ่มไปอีกอย่างด้วย ขอแค่เป็นเด็กสาวที่รูปร่างหน้าตานับว่าพอผ่านเกณฑ์ได้ เมื่อเธอพิงศีรษะลงบนไหล่ของผู้ชายราวกับต้องการที่พึ่งพิง ร้อยทั้งร้อยไม่มากก็น้อยต้องกระตุ้นความรู้สึกอยากปกป้องจากส่วนลึกในจิตใจของพวกเขาขึ้นมาได้บ้างอยู่แล้ว
อวี่ฉีคิดใช้วิธีนี้กำจัดภาพลักษณ์หญิงถึกที่มีเรี่ยวแรงช้างสารและแข็งแกร่งเหนือชายชาตรีของตัวเองที่เคยมอบให้กับเซียวอี้ ช่วยให้เขาไม่เกิดความรู้สึกต้องการพึ่งพาเธอเป็นหลักจนกลายเป็นพี่สาวหรือกระทั่งเป็นแม่ไป เพียงแต่เธอคำนวณความสูงระหว่างเขากับตัวเธอเองผิดไปนิดหน่อย เนื่องจากความต่างของวัย สุดท้ายเลยได้แต่เอาศีรษะชนกันเท่านั้น
พอสงวนท่าทางแบบเดิมนิ่ง ๆ ไม่กระดุกกระดิกเป็นเวลานาน สุดท้ายอวี่ฉีก็เผลอหลับไปจริง ๆ โดยไม่รู้ตัว
————————-
กว่าเธอจะถูกอีกคนปลุกให้ตื่นก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว เซียวอี้กดเสียงให้เบาลง เอ่ยอย่างรวดเร็วข้างหูของเธอว่า “พวกมันตามมาแล้ว หยิบถุงนอนกับกระเป๋าสะพายเร็ว เราต้องออกไปจากที่นี่ทันที”
อวี่ฉียังอยู่ในช่วงเพิ่งตื่น ช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นจึงยังไม่เข้าใจว่า ‘พวกมัน’ ที่ว่านี้เป็นใคร แต่เมื่อเบิกตามอง เธอก็เห็นว่าในจุดที่ห่างออกไปหลายสิบเมตร มีคนจำนวนมากกำลังเดินกระจัดกระจายโซเซมุ่งหน้ามาทางนี้ ภายใต้ท้องฟ้ายามสนธยา ร่างของพวกมันมีท่าทางแข็งทื่อและบิดเบี้ยว เผยความลึกลับที่เจือกลิ่นอายความตายไว้
พวกมันคือซอมบี้ บางทีเสียงเครื่องยนต์ของรถออฟโรดคงดึงดูดพวกมันมา โชคดีที่เธอขับรถกันเป็นเวลานานตลอดทั้งวันเพื่อหาแม่น้ำสายนี้ ไม่อย่างนั้นบางทีทั้งเธอและเซียวอี้คงโดนบังคับให้ต้องขึ้นรถเดินทางตอนกลางวันแสก ๆ แน่
ฐานปฏิบัติการเลี้ยงดูร่างทดลองจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน แต่มีเพียงสองสามเปอร์เซ็นต์จากทั้งหมดเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ ดูจากข้อมูลนี้ก็คงรู้ได้ว่า ร่างทดลองที่ล้มเหลวและกลายสภาพเป็นซอมบี้นั้นมีจำนวนมากมายแค่ไหน ถ้าไม่ถือโอกาสหนีไปตอนที่ยังมีซอมบี้แค่ไม่กี่ตัวไล่ตามมาจนสุดท้ายถูกโอบล้อมปิดทางไว้ละก็ การขับรถหนีได้ก็คงเป็นไปได้ยากแล้ว หนำซ้ำถ้ารถออฟโรดถูกซอมบี้ล้อมจริง ๆ ต่อให้อวี่ฉีจะสู้เก่งแค่ไหน ก็ยากมากที่จะปกป้องคนเข่าเคล็ดที่ไม่ค่อยมีฝีมือในการต่อสู้ไปพร้อมกับฝ่าวงล้อมหาช่องว่างเพื่อหนีออกไปให้ได้โดยสวัสดิภาพ
แต่ถึงจะยากแค่ไหน เธอก็ไม่ได้หยิบถุงนอนกับกระเป๋าสะพายตามที่เซียวอี้บอก ปฏิกิริยาตอบสนองแรกของเธอคือการประคองเซียวอี้ขึ้นมาจากพื้นโดยอัตโนมัติ แต่อาจเพราะนั่งนานไป ข้อเข่าของเขาจึงค่อนข้างตึง ขยับแค่นิดเดียวก็รู้สึกเจ็บปวดแล้ว
อวี่ฉีลำบากลำบนกว่าจะช่วยให้เขาปีนขึ้นไปตรงที่นั่งข้างคนขับของรถออฟโรดซึ่งสูงจากพื้นพอสมควรได้สำเร็จ จากนั้นเธอจึงค่อยหันตัวกลับไปดึงถุงนอนสองถุงลงมา พร้อมคว้ากระเป๋าสะพายบนพื้น จากนั้นก็โยนทั้งหมดไปบนเบาะหลังของรถ ตามด้วยปิดประตูรถดังปัง
เธอก้าวไว ๆ อ้อมไปด้านหลังรถ แล้วกระโดดขึ้นรถด้วยท่าทางปราดเปรียวว่องไว มือข้างหนึ่งบิดกุญแจพร้อมกับหย่อนตัวลงนั่งฝั่งคนขับ สตาร์ตรถติดภายในชั่วเสี้ยววินาทีแล้วรีบหักพวงมาลัยทันที ใช้จังหวะที่ดินทรายฟุ้งไปทั่วท้ายรถสลัดหลุดจากซอมบี้ที่เข้ามาใกล้ด้านหลัง แล้วเร่งเครื่องพุ่งหนีออกจากตรงนั้นไปอย่างรวดเร็ว
————————————————————————————————————-