เซียวอี้ 7.
ความเชื่องช้าของซอมบี้ย่อมไม่มีทางเทียบกับความเร็วของรถออฟโรดได้ เพียงชั่วอึดใจเดียว พวกมันก็กลายเป็นจุดดำเล็ก ๆ ในกระจกมองหลังไปแล้ว
หลังจากคลายความตึงเครียดในจิตใจลง อวี่ฉีก็ใช้หางตาชำเลืองมองเซียวอี้ที่นั่งอยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง เขาเท้าศอกกับประตูรถด้วยท่าทางติดจะอ่อนล้า ในมือกำเข็มทิศเอาไว้ แต่กลับไม่มองมัน เอาแต่ก้มหน้าลงไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่
เห็นเซียวอี้มีท่าทางงัวเงียขนาดนี้แล้ว เธอจึงแน่ใจแล้วว่าก่อนหน้านี้เขายังไม่ได้นอนเลยสักงีบ ไม่งั้นคงไม่มีทางรู้สึกตัวได้ว่ามีซอมบี้กำลังตามมาตั้งแต่ตอนที่พวกมันยังอยู่ห่างไปอีกหลายสิบเมตร ต่อให้เป็นคนที่หลับไม่ลึกอย่างเธอก็ยังไม่มีทางตื่นตัวได้ขนาดนั้นเลย
อวี่ฉีเบนสายตามองไปทางอื่น เหม่อมองทะเลทรายที่ไกลสุดลูกหูลูกตาพร้อมกับเอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบว่า “ถ้าตรงไปข้างหน้าเรื่อย ๆ จะเป็นทางไปเมืองอาร์ไม่ใช่เหรอ?” เมื่ออิงตามข้อมูลที่ได้รับมาของโลกนี้ เมืองบีถึงจะเป็นเมืองที่อยู่ใกล้กับฐานปฏิบัติการมากที่สุด ขับรถหนึ่งวันหนึ่งคืนก็น่าจะถึงแล้ว ในขณะที่เมืองอาร์นั้นอยู่ค่อนข้างไกล การขับรถไปต้องใช้เวลาเดินทางไม่ต่ำกว่าสองวันกว่า ๆ
ดูท่าว่าเซียวอี้จะอยู่ในจุดที่ใกล้เข้าฌานเสียแล้ว ขนาดคำที่เธอพูดเขายังตามไม่ทัน จึงได้แต่ตอบ “อืม” แบบเบลอ ๆ ด้วยโทนเสียงสูงขึ้นเล็กน้อย ไม่เหมือนกับท่าทางเย็นชาสงวนท่าทีในยามปกติของเขาสักเท่าไร
เสียงลงท้ายคำที่ติดจะขึ้นจมูกนั้นฟังดูน่ารักอยู่ไม่หยอก อวี่ฉีจึงยกยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ “ง่วงแล้วเหรอ?”
“เปล่า” เด็กชายปฏิเสธโดยอัตโนมัติ ติดเพียงแค่ว่าในเสียงนั้นฟังแล้วแฝงความง่วงงุนเอาไว้อย่างชัดเจน ยิ่งอีกฝ่ายพยายามปกปิดเท่าไรก็ยิ่งแสดงออกมาชัดขึ้นเท่านั้น
อวี่ฉีเหลือบมองเขาแวบหนึ่งโดยไม่พูดอะไร เพียงเก็บรอยยิ้มที่มุมปากกลับไปช้า ๆ แต่ไหนแต่ไรอีคิวของเซียวอี้ก็ไม่สูงอยู่แล้ว ดังนั้นเขาไม่มีทางปฏิเสธความจริงว่าตัวเองกำลังง่วงเพราะว่าเป็นมารยาทหรือมีเหตุผลอะไรอื่นหรอก ดูจากมุมมองด้านจิตวิทยาแล้ว พฤติกรรมที่ทำไปโดยไม่รู้ตัวแบบนี้แสดงให้เห็นได้ชัดว่า ถึงเขาจะไม่ได้หวาดระแวงเธอจนขึ้นสมอง แต่ก็ไม่ได้เชื่อใจหรือคิดพึ่งพาเธอเลย
ครู่ต่อมาเซียวอี้ก็ตื่นเต็มตา เขาออกปากอธิบายพร้อมกลับมาทำเสียงเรียบนิ่งเหมือนเครื่องจักรตามปกติอีกครั้ง “คนที่หลบหนีออกจากฐานปฏิบัติการไม่ได้มีแค่พวกเราสองคน ดังนั้นเมืองบีที่อยู่ใกล้ที่สุดจะต้องเป็นทางเลือกอันดับหนึ่งของพวกนั้นแน่นอน” เขาเว้นช่วงไปก่อนจะอธิบายต่อว่า “แล้วระหว่างที่พวกเขาเดินทางไปเมืองบี ก็ย่อมต้องล่อซอมบี้จำนวนมากตามไปด้วย รอจนตอนที่พวกเราไปถึงเมืองบี ถ้าทั่วทั้งเมืองไม่ถูกพวกซอมบี้ครอบครองไปแล้ว อีกเดี๋ยวก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกมันแน่”
อวี่ฉีพยักหน้าเข้าใจ “พวกเราก็เลยต้องไปเมืองอาร์ เพราะที่นั่นปลอดภัยกว่าสินะ”
เซียวอี้ปรายตามองเธอแวบหนึ่ง ก่อนวางเข็มทิศในมือลงข้างมือเธอโดยไม่บอกไม่กล่าว แล้วส่ายศีรษะช้า ๆ ชี้ความจริงอันโหดร้ายให้ฟังด้วยน้ำเสียงสงบเยือกเย็น “ไม่ เมืองอาร์ก็ไม่ปลอดภัย มันแค่จะถูกยึดครองช้ากว่าเมืองบีไม่กี่วันเท่านั้น”
อวี่ฉีเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบา “งั้นหลังจากนั้นพวกเราจะไปที่ไหนกันล่ะ?” หลังเอ่ยประโยคนี้จบ เธอก็ตั้งใจสังเกตสีหน้าของเขาเป็นพิเศษ
เซียวอี้ไม่ได้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองอะไรเป็นพิเศษกับคำว่า ‘พวกเรา’ ที่ออกมาจากปากเธอแต่อย่างใด นี่นับเป็นข่าวดี เพราะมันแสดงให้เห็นว่าจิตใต้สำนึกของเขานั้นตัดสินใจว่าจะยังคงร่วมเดินทางกับเธอเหมือนเดิมหลังจากที่ไปถึงเมืองอาร์แล้ว
เด็กชายเม้มปากเล็กน้อยอย่างติดเป็นนิสัย พลางหรี่ตามองออกไปนอกหน้าต่าง หลังครุ่นคิดอยู่สักพักถึงหันหน้ากลับมา “จากนั้นก็ไปทางใต้ ถึงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด อันที่จริงถ้าไปทางเหนือจนถึงเมืองหลวงแล้วอาจจะได้รับการคุ้มครองจากกองทัพ แต่ผู้รอดชีวิตจากทั่วทุกที่ก็คงเลือกไปเมืองหลวงเหมือนกันแทบทั้งหมด เพราะฉะนั้นหลังผ่านไประยะหนึ่งแล้ว ที่นั่นจะต้องเกิดปัญหาด้านทรัพยากรและการก่อจลาจลระดับร้ายแรงแน่นอน อีกจุดที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ เธอกับฉันต่างก็เป็นร่างทดลองที่หนีออกมาจากฐานปฏิบัติการด้วยกันทั้งคู่ ถ้าสถานะถูกเปิดเผยขึ้นมา ถ้าไม่ถูกเอากลับไปขังไว้ในห้องทดลองอีกรอบ ก็คงโดนเบื้องบนใช้เป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์เข้าตัว ยังไงก็ไม่มีจุดจบที่ดีแน่”
อวี่ฉีตอบ “อืม” ไปอย่างเห็นด้วย ก่อนพูดเสริมว่า “ไปทางใต้ภูมิอากาศก็อบอุ่นกว่าหน่อยด้วย รอจนถึงฤดูหนาวก็น่าจะอากาศกำลังสบาย ไม่เลวเลย”
ใครจะคิดว่าเซียวอี้กลับทำหน้าตายมองเธอแวบหนึ่ง แล้วพูดเสียงเรียบนิ่งว่า “ทางใต้มีประชากรมาก ส่วนใหญ่จะเป็นเมืองที่มีประชากรแออัด เทียบกันแล้วมีแต่จะอันตรายมากกว่าเท่านั้น”
อวี่ฉีจนด้วยคำพูดอยู่ชั่วครู่ เธอไม่คิดจะแสดงความเห็นใดที่อาจทำให้เกิดการเถียงกันอีก จึงได้แต่ขับรถไปเงียบ ๆ
หลังเสร็จสิ้นการวิเคราะห์ไปรอบหนึ่ง เซียวอี้ก็ดูอ่อนเพลียยิ่งกว่าเดิม เขานั่งพิงเบาะด้วยสีหน้าเหนื่อยล้าหมดแรง
เนื่องจากความอิดโรยทำให้แววตาดูค่อนข้างเฉื่อยชาอยู่บ้าง ใต้ตามีเงาคล้ำสีเข้มเด่นชัด ดูทรงแล้วเขาน่าจะเหนื่อยจนหมดสภาพไปเป็นที่เรียบร้อย
แต่ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา เดิมทีร่างกายของเขาก็ไม่แข็งแรงอยู่แล้ว วันนี้ทั้งหนีตายทั้งได้รับบาดเจ็บ หนำซ้ำยังต้องเปลืองแรงสมองไปมากมายมหาศาลโดยไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยทั้งวัน ภายใต้สถานการณ์ที่มีแรงกดดันสองต่อจากทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าเขายังกระปรี้กระเปร่าอยู่สิถึงจะเรียกว่าแปลก
เซียวอี้ได้ยินก็ส่ายหน้า และตอบกลับมาด้วยเสียงที่ติดจะแหบพร่าว่า “ทิศที่เธอขับมันเบนออกไปหน่อยนึงแล้ว ต้องตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้สิถึงจะถูก”
อวี่ฉีปรายตามองคนที่ตาแทบจะปิดอย่างประหลาดใจกลาย ๆ แต่ก็ยังเปลี่ยนทิศทางตามที่เขาบอก ก่อนอดใจไม่ไหวถามขึ้นมาว่า “เมื่อกี้นายดูเข็มทิศเหรอ?” ว่ากันตามหลักเหตุผลแล้ว เข็มทิศวางอยู่ข้างมือของเธอ เขามีแต่ต้องยืดตัวขึ้นแล้วเอนมาทางนี้เท่านั้น ไม่งั้นก็ไม่มีทางมองเห็นทิศที่เข็มชี้อยู่ได้หรอก
เซียวอี้ยกมือขึ้นนวดคลึงหว่างคิ้ว ส่ายศีรษะปฏิเสธด้วยท่าทางง่วง ๆ ตอบเธอแบบขอไปที “ดูสักษณะการเจริญเติบโตของพุ่มไม้กับรูปร่างของเนินทรายนอกหน้าต่างก็รู้ทิศทางได้แล้ว” เขาอธิบายด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนว่ามันเป็นความรู้ทั่วไปแสนธรรมดาสามัญที่ทุกคนต้องรู้
ทำงานในสายอาชีพนี้มานานปีดีดัก แต่ไหนแต่ไรมาในระหว่างคนสองคน อวี่ฉีจะเป็นฝ่ายที่มีความรู้รอบด้านมากกว่ามาโดยตลอด ทว่าตอนนี้สถานะกลับตาลปัตร พลิกผันถึงขั้นเปิดฉากให้เธอรับหน้าที่แสดงบทคนธรรมดาสมองทึบที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว มันช่างเป็นความรู้สึกที่ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร แต่ต่อให้จะเป็นอย่างที่ว่ามา ความเป็นมืออาชีพก็ยังคงช่วยให้น้ำเสียงของเธออ่อนโยนจนไม่มีอะไรเทียบเคียงได้เช่นเดิม “นายวางใจได้แล้วก็นอนเถอะ ฉันจะมองเข็มทิศบ่อย ๆ เพราะงั้นไม่น่าจะขับผิดทางแล้วละ”
เซียวอี้เหลือบมองเธอจากด้านข้างโดยไม่พูดอะไร แต่แววตานั้นเพียงพอที่จะอธิบายทุกอย่างได้ชัดเจนแล้วว่าเขายังไม่ไว้ใจเธออยู่ดี
หลายคนที่มีไอคิวสูงเกินไปมักจะติดนิสัยเสียอย่างหนึ่งคือชอบบงการมากเกินไป พวกเขาจะคิดอยู่เสมอว่าพวกพ้องหรือลูกน้องนั้นสามารถทำอะไรโง่ ๆ จนทุกอย่างพังลงและเลวร้ายลงเรื่อย ๆ ได้ ถ้าไม่มีพวกเขาคอยมองและให้คำแนะนำอยู่ข้าง ๆ
แล้วสุดท้ายพวกเขาก็ต้องลงแรงทำเรื่องทั้งหมดด้วยตัวเอง พลังงานจึงถูกเค้นเอาไปใช้จนไม่เหลือ และตกอยู่ในสภาพเหมือนเซียวอี้เวลานี้ไม่ผิดเพี้ยน
อวี่ฉีไม่พูดอะไรให้มากความอีก เธอเหยียบเบรกรถทันที
เซียวอี้มองเธอด้วยท่าทางฉงนเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามก็เห็นเธอเอื้อมมือมากดปุ่มปรับเอนที่นั่งข้างคนขับลงไปจนสุด จากนั้นก็รีบหมุนตัวมานั่งคุกเข่าข้างหนึ่งบนที่นั่งคนขับ ยืดตัวขึ้นมาควานเอาเสื้อกันหนาวตัวหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสะพายบนที่นั่งด้านหลังแล้วยื่นส่งให้คนข้าง ๆ “ห่มเจ้านี่แล้วหลับซะ จะได้ไม่เป็นหวัด”
เซียวอี้ไม่ยอมหลับแต่โดยดี กลับนั่งยืดตัวตรงขึ้นมาคล้ายว่าอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่อวี่ฉีนั้นไม่คิดจะให้โอกาสเขาเลยแม้แต่น้อย
เธอเกือบจะใช้ความรุนแรงในการกดมือทั้งสองข้างลงบนไหล่ของเขาเพื่อดันให้ร่างเล็ก ๆ นั้นนอนลงบนพนักพิงเก้าอี้อย่างช้า ๆ อวี่ฉีหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วมองเขาลงมาจากมุมมองที่สูงกว่า “เซียวอี้ นายก็รู้สภาพร่างกายของตัวเองดีอยู่แล้ว ไม่กินไม่ดื่มแล้วยังไม่พักผ่อนแบบนี้อีก นายจะทนไปได้อีกสักกี่น้ำกัน?”
เมื่อมองจากมุมของอวี่ฉี เธอเห็นแพขนตายาวหนาของคนตรงหน้าที่เดิมหลุบต่ำนิ่งสงบ ค่อย ๆ สั่นไหวแผ่วเบาขึ้นมาราวกับกำลังรับฟังที่เธอพูด เขาไม่ตอบอะไร เพียงแต่เบือนหน้าหนีไปมองวิวทะเลทรายนอกหน้าต่างที่ถูกปกคลุมอยู่ในค่ำคืนอันมืดมิดเงียบ ๆ เท่านั้น
อวี่ฉีมองเขาโดยไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบา เธอพยายามผ่อนน้ำเสียงให้นุ่มนวลลงอีกหน่อยอย่างสุดความสามารถ “นายจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะเชื่อใจคนอื่นนะเซียวอี้ การแบกรับทุกอย่างเอาไว้คนเดียวมันเป็นเรื่องที่เหนื่อยเกินไป แล้วสักวันนายจะล้มเอาได้เพราะทนต่อไปไม่ไหว” เธอค่อย ๆ คลายสองมือที่กดไหล่ของเขาเอาไว้ แล้วหยิบเสื้อกันหนาวที่อยู่บนตักตัวนั้นของเซียวอี้ขึ้นมาช่วยห่มให้เขาอย่างอ่อนโยน “ฉันไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือสำหรับใช้เคลียร์เส้นทางของนายอย่างเดียว แต่ยังเป็นพวกพ้องที่จะยืนเคียงข้างนายในอนาคตด้วย ตอนนี้ทำใจให้สบายแล้วหลับซะ จากนั้นก็เชื่อเถอะว่าฉันจะสามารถจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยได้ โอเคไหม?”
————————————————————————–