ตอนที่ 8.8 (เล่มสอง)

ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配

เซียวอี้ 8

เซียวอี้ก้มหน้ามองการกระทำของเธอ ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมาตามความเคยชิน แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธเช่นกัน

อวี่ฉีก้มหน้ามองเซียวอี้ เด็กชายที่หน้าตาดีแถมยังร่างกายเปราะบางอ่อนแออย่างนี้ ต่อให้ทำตัวดื้อรั้นหน้าบูดบึ้งยิ่งกว่านี้ ก็ทำให้คนโกรธเขาไม่ลงอยู่ดี ยิ่งเป็นเธอยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะความเป็นมืออาชีพในหลายปีที่ผ่านมาไม่อนุญาตให้เธออารมณ์ขึ้นใส่เป้าหมายที่ต้องพิชิตใจอยู่แล้ว

เธอถอนหายใจเบา ๆ เฮือกหนึ่ง ก่อนยื่นมือไปปัดผมสีดำอ่อนนุ่มที่ปรกระอยู่บนหน้าผากของเด็กชายไปด้านข้างเบา ๆ หญิงสาวนิ่งไปเล็กน้อย แล้วงอนิ้วชี้ลูบไล้ผ่านแก้มของเขาอย่างแผ่วเบา เอ่ยเสียงนุ่มนวลราวกับกระซิบว่า “หลับให้สบายสักตื่นนะ”

เซียวอี้ไม่ได้มองเธอ เขาหลุบตาลงต่ำอยู่อย่างนั้นโดยไม่ตอบอะไรสักคำ ผ่านไปสักพัก เสียงเครื่องยนต์ก็กลับมาดังขึ้นที่ข้างใบหู รถออฟโรดมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของทิวทัศน์ยามราตรีอีกครั้ง

หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก อวี่ฉีใจจดจ่ออยู่กับการขับรถ คอยเทียบทิศทางกับเข็มทิศอยู่บ่อย ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการเบนออกนอกเส้นทาง ส่วนเซียวอี้กลับหันไปมองเนินทรายที่เคลื่อนตัวสวนทางไปด้านหลังไปเรื่อย ๆ นอกหน้าต่างเงียบ ๆ

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากหลับ แต่เขาหลับไม่ลงต่างหาก การฝึกฝนที่ได้รับมาตั้งแต่เด็กไม่อนุญาตให้เขาหลับลึกข้างคนอื่นโดยที่ไม่ระวังหรือป้องกันตัว เพราะนั่นเท่ากับเป็นการมอบโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามปลิดชีพตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องเปลืองแรง เพียงแต่ตัวเขาเองรู้ดีว่าถ้ายังรักษาความเคยชินนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ต้องมีสักวันที่ร่างกายทรุดหนักแน่นอน ฉะนั้นการโละนิสัยนี้ทิ้งอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าก็ได้

หลังครุ่นคิดนิ่ง ๆ อยู่ครู่หนึ่ง เซียวอี้ก็ค่อย ๆ หันหน้าไปมองอวี่ฉี ดวงตาสีดำที่เรียบนิ่งเย็นยะเยือกราวกับเครื่องจักรมาโดยตลอดนั้น เวลานี้กลับเอ่อล้นไปด้วยห้วงอารมณ์ซับซ้อนอยู่ภายใน ตั้งแต่ลืมตาดูโลก ฐานปฏิบัติการก็ฝึกฝนให้พวกเขา ‘แย่งชิงเพื่อให้ได้มา และถ้าอยากแข็งแกร่งขึ้นก็ต้องแข่งขันต่อสู้’ ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาครอบครองอยู่จึงต่างถูกแย่งชิงมาจากคนอื่นโดยไม่เลือกวิธีการแทบทั้งสิ้น

แต่ความรู้สึกดี ๆ จากหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ นั้น เขาไม่จำเป็นต้องแข่งขันหรือช่วงชิงจากใคร มันก็วางอยู่ตรงนั้น ขอเพียงยื่นมือออกไปก็เอื้อมถึงได้ทันที

นี่นับเป็นเรื่องแปลกใหม่มากสำหรับเขา ความจริงแล้วตอนแรกเขาวางแผนแค่จะทำลายระบบรักษาความปลอดภัยของฐานปฏิบัติการ จากนั้นก็สุ่มหาร่างทดลองรุ่นที่สี่หรือรุ่นที่ห้าสักคนเพื่อออกจากฐานปฏิบัติการพร้อมกัน แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีร่างทดลองรุ่นแรกคนหนึ่งเป็นฝ่ายมาตามหาเขาก่อน ทั้งยังตอบรับร่วมมือกับเขาโดยแทบไม่วางเงื่อนไขอะไรด้วย

ถ้ายึดตามกรอบความคิดเมื่อก่อนของตัวเอง เขาต้องหวาดระแวงกำไรที่สามารถได้มาโดยไม่ต้องแย่งจากใครมาแบบนี้อย่างสุดใจแน่ ๆ แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป เพราะมันมีสัญชาตญาณแรงกล้าบางอย่างบอกกับเขาว่า เธอคนนี้ไม่มีวันทำร้ายเขา ต่อให้แววตาของเธอเวลาต่อสู้กับศัตรูจะโหดเหี้ยมเย็นชาแค่ไหน ทว่าเมื่อหันมาเผชิญหน้ากับเขา มันกลับแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนนุ่มนวลโดยไม่ได้ตั้งใจ สายตาแบบนี้เองที่ทำให้กำแพงป้องกันในหัวใจที่เขาชอบยกขึ้นมาปิดกั้นตัวเองหายไปอย่างไร้ร่องรอยโดยไม่ทันรู้ตัว

เซียวอี้มองเธอราวกับตกอยู่ในห้วงความคิด ภายใต้แสงมืดสลัว รูปหน้าด้านข้างของเธออ่อนโยนไร้ที่ติ เส้นโค้งจากสันกรามไปจนถึงลำคอนั้นดูงดงามประณีต ให้ความรู้สึกแตกต่างจากความดุดันเวลาที่เธอกำลังรบราฆ่าฟันอย่างสิ้นเชิง มองไปมองมา เขากลับพบว่ามุมปากของเธอค่อย ๆ ยกขึ้นเป็นมุมโค้งที่เจือความหยอกล้อเอาไว้ เซียวอี้จึงเผลอหลุดท่าทางแข็งทื่อออกมาโดยไม่รู้ตัว

วินาทีถัดมา น้ำเสียงที่แฝงรอยขบขันของเธอก็ดังแว่วขึ้นมาภายในรถ “มองฉันทำไม มีอะไรติดอยู่บนหน้าฉันหรือไง?”

เซียวอี้เบนสายตาหนีทันทีโดยไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม ทั้งยังรีบหลับตาสองข้างลงอย่างรวดเร็วด้วย

ภายในรถตกอยู่ในความเงียบสงัดอีกครั้ง รถออฟโรดที่ขับเคลื่อนอยู่กลางทะเลทรายกระเด้งกระดอนขึ้นลงครั้งแล้วครั้งเล่า โคลงเคลงส่ายไปมาจนชวนให้คนเคลิ้มหลับ

เดิมทีเซียวอี้นึกว่าตัวเองจะแค่หลับตาเฉย ๆ โดยไม่นอนจริง ๆ ทั้งคืนได้ คิดไม่ถึงว่าผ่านไปไม่ทันไรตัวเองก็เผลอหลับสนิทไปทั้งอย่างนั้น

ตอนที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งฟ้าก็สว่างแล้ว ในรถมีเขาเพียงคนเดียวจนรถดูโล่งกว้างถนัดตา แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาบนร่างกายซีกหนึ่งร้อนระอุจนแสบผิวนิด ๆ กลิ่นอายเค็มอบอ้าวซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของเขตร้อนแทรกซึมไปทุกอณูรอบด้าน

เซียวอี้เปิดประตูรถ ใช้มือยันขอบประตูไว้แล้วขยับตัวลงมาบนพื้นช้า ๆ เขาเงยหน้ามองไปบริเวณโดยรอบครั้งหนึ่ง เห็นเพียงทรายสีเหลืองกับเนินดินสุดลูกหูลูกตา แต่กลับไม่มีแม้แต่เงาคนให้ได้เห็น

หัวใจของเขาพลันกระตุกวูบ คล้ายกับจะทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ทว่าผ่านไปเพียงครู่สั้น ๆ เขาก็กลับมาสงบเยือกเย็นได้อีกครั้ง ก่อนหันกลับไปมองด้านในรถแวบหนึ่ง กระเป๋าสะพายของพวกเขาสองคนยังอยู่ครบ พิสูจน์ให้เห็นว่าเหออวี่ฉีไม่ได้หนีไปคนเดียว

กระนั้นเซียวอี้กลับยังไม่คลายใจ ความจริงแล้วตอนนี้เขากำลังรู้สึกกระวนกระวายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หากเป็นตัวเขาในอดีตต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์สิ้นหวังแค่ไหนก็ไม่มีลนลานทำอะไรไม่ถูก การที่อวี่ฉีจะอยู่หรือไปก็ไม่ควรส่งผลกระทบกับเขาขนาดนี้

สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าใจของเขานั้นเห็นเธอเป็นที่พึ่งโดยเขาไม่ทันได้ตระหนักถึงเสียแล้ว

นี่นับเป็นอันตรายอย่างมาก ไม่ว่าคนที่ตัวเขาเองเกิดความรู้สึกแบบนี้ด้วยจะเป็นใครก็ถือเป็นอันตรายทั้งหมด เพราะหากวันหนึ่งต้องเสียคนคนนั้นไป ความเคยชินจากการมีที่พึ่งพิงนั้นอาจทำให้ตัวเขาไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับทุกสิ่งเมื่ออยู่เพียงลำพังได้ยังไง และอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้

อวี่ฉีเดินอ้อมมาจากหลังเนินทรายพร้อมกับหนูเจอร์บิลสองตัวในมือ ครั้นเงยหน้าขึ้นมองก็เจอภาพเด็กหนุ่มสวมเสื้อกีฬาสีขาวพิงหลังกับรถออฟโรด เขาดูสะอาดบริสุทธิ์เป็นพิเศษเมื่ออยู่ท่ามกลางฝุ่นทรายสีเหลืองรอบด้าน เพียงแต่สีหน้าของเขากลับซับซ้อนสุดหยั่งถึง

เมื่อสายตาของทั้งคู่ประสานกัน อวี่ฉีก็ยิ้มน้อย ๆ ให้เด็กชายโดยอัตโนมัติ ทว่าเซียวอี้กลับชะงักแล้วเบือนหน้าหนีไปอย่างเย็นชา ก่อนเดินกะโผลกกะเผลกไปนั่งลงตรงที่ร่ม

อวี่ฉีอึ้งจนพูดไม่ออกเมื่อถูกปฏิบัติใส่แบบนี้อย่างไม่มีที่มาที่ไป เธอจึงชะลอฝีเท้าแล้วครุ่นคิดว่าตัวเองไปล้ำเส้นคุณชายน้อยคนนี้เข้าตรงไหน

เธอเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายแล้วก็ยังคิดสาเหตุของท่าทางแบบนี้ไม่ออกอยู่ดี จึงได้แต่ยกหนูเจอร์บิลในมือขึ้นมาพิจารณา ย่อตัวลงมองเขา เสียงของเธอยังคงอ่อนโยนนุ่มนวลเหมือนเคย “ถ้านายรู้สึกว่าสัตว์พวกนี้สกปรกละก็ ให้ฉันไปหาเหยื่อชนิดอื่นอีกรอบดีไหม? หรืออยากกินขนมปังแทนมากกว่า?”

เซียวอี้หรี่ตาลงขณะที่มองอวี่ฉี เขาเม้มปากเข้าหากัน วินาทีนั้นก็คล้ายจะเข้าใจว่าทำไมตนถึงเกิดความรู้สึกอยากพึ่งพาเธอขึ้นมาได้ ด้วยทุกอย่างที่ผู้หญิงคนนี้ทำไม่แปลกเลยที่เขาจะรู้สึกแบบนี้ แต่นี่ก็ถือเป็นสัญญาณอันตรายมากเช่นกัน

เขาตัดสินใจแล้วว่าจะแยกทางกับอวี่ฉีทันทีที่ถึงเมืองอาร์ แล้วค่อยเดินทางต่อไปเพียงลำพัง ทว่าก่อนที่จะถึงเวลานั้น เขากลับไม่สามารถเปิดเผยความรู้สึกแท้จริงที่ซ่อนเอาไว้ได้ ถึงแม้จะไม่มีประสบการณ์ในการอยู่ร่วมกับคนอื่นเลย แต่เขาก็มีลางสังหรณ์ว่าถ้าปล่อยให้อีกฝ่ายรู้เรื่องนี้ บางทีอาจจะทำให้เรื่องมันยุ่งยากโดยไม่จำเป็นก็ได้

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เซียวอี้ก็ส่ายหน้าเล็กน้อยตอบอวี่ฉี เขารับหนูเจอร์บิลสองตัวจากในมือของเธอไป หลุบตาลงแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้พวกเรากำลังขาดแคลนวิตามินที่อยู่ในเลือดของพวกมันพอดี”

อวี่ฉีชะงัก เธอพินิจมองสีหน้าของคนตรงหน้าอย่างละเอียดอยู่ชั่วครู่ ถึงจะไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ แต่ลางสังหรณ์กำลังบอกเธออยู่ตลอดว่าเขากำลังทำท่าตีตัวออกห่าง ทั้งยังจงใจรักษาระยะห่างตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว

ความรู้สึกแบบนี้มันแปลกพิกลเอามาก ๆ ก็เห็นกันอยู่ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าท่าทางอะไรเลย แต่กลับรู้สึกได้ว่าการวางตัวของเขาดูเย็นชาห่างเหินกว่าที่เคย ก่อนหน้านี้ถึงเขาจะไม่เคยเป็นฝ่ายเปิดปากขอความช่วยเหลือจากเธอสักครั้ง เธอก็ยังลงมือทำเองได้ แต่ตอนนี้ต่อให้เธออยากจะช่วยเขา ก็มีแต่โดนปฏิเสธซ้ำ ๆ ไม่ว่าจะขึ้นลงรถหรือหยิบของ เขาก็ยืนกรานดื้อดึงอย่างเอาเป็นเอาตายว่าจะทำเอง ไม่ว่าจะเรื่องขี้ปะติ๋วแค่ไหนก็ไม่ต้องการให้เธอช่วย

ทั้งคู่เงียบเป็นเป่าสากภายใต้บรรยากาศแปลก ๆ มาตลอดทางจนถึงเมืองอาร์ในที่สุด

แต่เรื่องที่เหนือความคาดหมายก็คือ เมืองอาร์ตกอยู่ในเงื้อมมือของซอมบี้เรียบร้อยแล้ว!

มหานครที่เคยมั่งคั่งและคึกคักในอดีต ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงซากปรักหักพังอันหนาวเหน็บขนาดมหึมา เมื่อกวาดตามองก็เห็นเพียงทิวทัศน์อันวิเวกวังเวงและเยือกเย็น อาคารเหล็กเย็นเฉียบขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านราวกับไม่แยแสต่อสิ่งใด ซากศพกระจัดกระจายอยู่บนถนนทรุดโทรมนั้นกำลังเดินร่อนเร่เรื่อยเปื่อยไร้จุดหมายไปรอบบริเวณด้วยท่าทางโงนเงนบิดเบี้ยว ทุกสิ่งอย่างภายใต้สีท้องฟ้าอันมืดสลัวล้วนดูหดหู่จนไม่อาจหาคำมาอธิบายได้ ราวกับว่าเมืองนี้ได้ตายลงไปแล้ว

 ———————————————————————————————