เซียวอี้9.
หลังจากอวี่ฉีรวบรวมของส่วนหนึ่งที่ยังใช้ได้ในซูเปอร์มาร์เก็ตที่โดนรื้อค้นจนแทบว่างเปล่า เธอก็พาเซียวอี้กลับไปที่ข้างรถ แต่ยังไม่ทันได้วางกระเป๋าสะพายลง เด็กหนุ่มผมดำก็ใช้น้ำเสียงสงบนิ่งพูดขึ้นมาเสียก่อน
“ในเมื่อมาถึงเมืองอาร์แล้ว ข้อตกลงร่วมมือระหว่างพวกเราก็ควรยุติลงตรงนี้เหมือนกัน” เซียวอี้พูดพร้อมกับดึงประตูรถเปิดออกช้า ๆ พร้อมหยิบกระเป๋าสะพายของตัวเองลงจากรถ
อวี่ฉีตกตะลึง เวลานั้นเธอไม่เข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จึงได้แต่คว้าข้อมือของเซียวอี้ไว้โดยอัตโนมัติเพื่อหยุดการกระทำของอีกฝ่าย
เซียวอี้เอียงหน้ามามองเธอด้วยแววตานิ่งสงบ แต่กลับแฝงความแน่วแน่ที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธเอาไว้
ทั้งคู่ต่างจ้องตากันเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายอวี่ฉีก็คลายมือออกอย่างไม่มีทางเลือก “ทำไมไม่ไปด้วยกันกับฉันล่ะ?”
เซียวอี้ไม่ตอบ เพียงแค่หลุบตาลง เด็กชายดึงกระเป๋าตัวเองขึ้นมาสะพายโดยไม่พูดอะไรสักคำ แล้วหมุนตัวตั้งท่าจะเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อน!” อวี่ฉีทนไม่ไหว ร้องเรียกเขาเอาไว้ เธอขมวดคิ้วพร้อมกับลองหยั่งเชิงเป็นครั้งสุดท้าย “นายจะไปก็ได้ แต่ต้องทิ้งของทั้งหมดไว้กับฉัน” ในยุคสมัยที่โลกล่มสลาย เสบียงนับเป็นของมีค่าที่แท้จริง ทว่าจุดประสงค์ของเธอไม่ใช่เรื่องนี้ เธอแค่ต้องการลองใช้เรื่องนี้มาข่มขู่เพื่อรั้งให้เขาอยู่ที่นี่ต่อเท่านั้น
เซียวอี้หยุดชะงักไปชั่วขณะ แล้วเขาก็ทำสิ่งที่เกินความคาดหมายของเธอด้วยการปลดกระเป๋าสะพายบนหลังลงช้า ๆ ก่อนวางมันลงข้างทางอย่างเบามือ จากนั้นก็เดินต่อไปยังสุดถนนโดยไม่หันกลับมาแม้แต่น้อย มุ่งมั่นที่จะจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว
โชคดีที่อวี่ฉีจัดการซอมบี้รอบบริเวณไปจนเกลี้ยงแล้วตั้งแต่ตอนเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต ไม่อย่างนั้นเด็กชายคงไม่แคล้วโดนซอมบี้พวกนั้นรุมจนหัวทิ่มเพราะได้แต่เดินกะโผลกกะเผลก แล้วจบด้วยการถูกกัดฉีกกระชากจนกลายเป็นเศษชิ้นเนื้อทันทีอย่างแน่นอน
อวี่ฉีเหม่อมองแผ่นหลังผอมบางของเด็กชายที่ค่อย ๆ ห่างไกลออกไป สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความจนใจ เธอหยิบกระเป๋าของเซียวอี้โยนเข้าไปในรถ ส่วนตัวเองก็หมุนตัวกระโดดขึ้นไปบนที่นั่งคนขับ สตาร์ตรถแล้วหักหัวรถกลับ ขับตามหลังเขาไปช้า ๆ ลดหน้าต่างลง แล้วเอียงศีรษะออกไปเอ่ยเกลี้ยกล่อมเด็กชายที่กำลังเดินบนทางเท้าด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ขึ้นมาเถอะ มีเรื่องอะไรพวกเราก็มาคุยปรึกษากันได้นะ มันอันตรายเกินไปที่นายจะเดินทางตัวคนเดียว”
เขาทำเป็นหูทวนลม เอาแต่เดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่ปริปากอะไรทั้งนั้น
ถนนร้างผู้คนและเงียบสงัดตัดกับเงาร่างบอบบางของเด็กชายให้ยิ่งเล็กจ้อยลงไปอีก อวี่ฉีโกรธเขาไม่ลงจริง ๆ จึงได้แต่ขับรถตามหลังของเขาไปต้อย ๆ อย่างอ่อนใจ
หลังจากเลี้ยวเข้าสู่ถนนอีกสาย เด็กชายก็สุ่มผลักเปิดประตูเหล็กของอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งที่ถูกทิ้งร้างมั่ว ๆ แล้วทำท่าจะเดินเข้าไปด้านใน อวี่ฉีเห็นอย่างนั้นก็รีบเรียกเขาเอาไว้
เซียวอี้ชะงักฝีเท้า แต่ไม่ได้หันหน้ากลับมา
อวี่ฉีเปิดประตูแล้วกระโดดลงจากรถ ถือกระเป๋าสะพายของตัวเองเดินไปหาเขา ก่อนจะใช้จังหวะที่เด็กชายกำลังเผยสายตาตะลึงค้างอย่างเห็นได้ชัดนั้นยัดกระเป๋าเข้าไปในอ้อมแขนของอีกฝ่าย แล้วพูดหน้าตายว่า “กระเป๋าใบนี้มีอาหารกับน้ำเยอะกว่านิดหน่อย” พูดจบแล้ว เธอก็จ้องเขาเขม็ง แต่กลับเห็นเขาเอาแต่ก้มหน้าเท่านั้น
หลังผ่านความเงียบงันไปชั่วครู่ เขาก็เอ่ยขึ้นมาเสียงเบาหวิวว่า “ขอบคุณ”
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่อวี่ฉีได้เห็นเขา ด้วยสติปัญญาของเซียวอี้แล้ว หากคิดจะสลัดใครสักคนให้หลุดออกไปก็ถือเป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก
ความจริงแล้ว วันนั้นอวี่ฉีตรงเข้าไปพักในอพาร์ตเมนต์หลังหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับหลังที่เซียวอี้พักทันที ทั้งยังตั้งกล้องส่องทางไกลที่หยิบติดมือมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตไว้ด้านหน้าของหน้าต่างเพื่อจับตาดูเขาทุกย่างก้าวด้วย ติดก็แต่ว่าต่อให้คุณสมบัติของร่างกายจะดีเยี่ยมแค่ไหน เธอก็ไม่มีทางเฝ้าดูอีกฝ่ายโดยไม่หลับไม่นอนได้ตลอดรอดฝั่ง สามวันต่อมา อวี่ฉีฝืนต่อไปไม่ไหว นอนคว่ำหน้างีบหลับสั้น ๆ งีบหนึ่งบนเตียง ใครล่ะจะคาดคิดว่าหลังจากตื่นขึ้นมาแล้วจะไม่พบวี่แววของเซียวอี้อีก
เธอรีบวิ่งลงมาจากตึกและขับรถออฟโรดออกตามหาทันที ค้นหาตามถนนทุกสายรอบด้านจนครบแล้ว แต่กลับคว้าน้ำเหลว รอจนตอนกลับมาถึงอพาร์ตเมนต์เธอถึงเพิ่งจะรู้ว่า จริง ๆ แล้วเมื่อครู่เซียวอี้ไม่ได้ออกไปไหนเลย เขาแค่สุ่มหาตู้สักตู้เป็นที่ซ่อน รอจนเธอขับรถไปไกลแล้วถึงออกจากอพาร์ตเมนต์ เจ้าเด็กคนนี้นี่จะเจ้าเล่ห์ร้ายกาจเกินไปแล้ว
—————————-
ห้าเดือนหลังจากนั้น อวี่ฉีก็พบเซียวอี้อีกครั้งที่กลางเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่งทางตอนใต้ ตอนนั้นเขาได้ใช้สติปัญญาอันไร้เทียมทานพัฒนาตัวเองจนกลายเป็นหัวหน้าของกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีสมาชิกราวสิบกว่าชีวิตเป็นที่เรียบร้อย
การที่ผู้ใหญ่สิบกว่าคนเต็มใจเป็นลูกน้องของเด็กชายอายุสิบกว่าปีคนหนึ่ง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น อวี่ฉีคงไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด แต่ถ้าเป็นเซียวอี้ก็คงต้องมองกันอีกแบบ ฐานปฏิบัติการทุ่มเงินทุนจำนวนมหาศาลถึงฟูมฟักเขาขึ้นมาได้ หากคนธรรมดาไม่กี่คนยังบังคับบัญชาไม่ได้นี่สิถึงจะเรียกว่าตลก
จุดที่ทั้งคู่ได้พบกันอีกครั้งคือโรงงานอาหารกระป๋องขนาดเล็กแห่งหนึ่ง อวี่ฉีมาที่นี่เพื่อเติมเสบียงอาหาร แต่กลับต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังกลุ่มหนึ่งเข้าพอดี ฝั่งตรงข้ามเห็นว่าเธอมาคนเดียว จึงใช้วิธีหมาหมู่บังคับให้เธอยอมส่งอาหารกระป๋องหนึ่งถุงที่เพิ่งหยิบมาให้พวกเขา อวี่ฉีจึงสั่งสอนพวกเขาไปยกหนึ่งอย่างไม่ไว้หน้า
หลังจัดการจนเรียบร้อย ขณะที่เธอกำลังจะเดินออกไปด้านนอกก็เห็นคนห้าหกคนปรี่เข้ามาด้วยท่าทางดุดัน ดูเหมือนจะเป็นพวกเดียวกันกับกองกำลังกลุ่มเมื่อกี้
บรรยากาศตึงเครียดแบบนี้เดิมทีเป็นสิ่งที่สามารถเห็นได้บ่อยครั้ง เพียงแต่ในวินาทีที่อวี่ฉีเตรียมจะลงมือนั่นเอง เธอกลับเห็นเงาร่างซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของกลุ่มคนพวกนั้นเข้าเสียก่อน ร่างนั้นบอบบางผอมแห้งและยังไม่ค่อยสูงเท่าไรจนดูค่อนข้างอ่อนแอเปราะบาง เขาสวมชุดกีฬาสีขาวหลวมโพรก โลกในตอนนี้ไม่ว่าใครก็ร่างกายสกปรกจนเกินทน แต่เขากลับแลดูสะอาดจนเกือบเรียกได้ว่าสูงส่ง
แสงอาทิตย์มืดสลัวลอดผ่านลูกกรงหน้าต่างขึ้นสนิมด้านหนึ่งเข้ามาเล็กน้อย จนเห็นฝุ่นละอองขนาดเล็กนับไม่ถ้วนหมุนวนล่องลอยอยู่กลางอากาศ เซียวอี้ยืนเงียบ ๆ อยู่ในจุดที่ห่างจากเธอหลายสิบเมตร สีหน้าของเขายังนิ่งสงบเหมือนวันวาน แต่บนใบหน้านั้นกลับแฝงความอำมหิตเด็ดขาดเพิ่มขึ้นบางส่วน ไม่หลงเหลือท่าทางสับสนไม่ประสีประสาเหมือนตอนที่เพิ่งออกมาจากฐานปฏิบัติการอีกต่อไป
และแววตาของเขาก็ไม่ได้เย็นชาดั่งน้ำแข็งแบบพวกหุ่นยนต์อีกแล้ว แต่มันเป็นแววตาที่เจือความลุ่มลึกซึ่งแฝงกลิ่นอายชั่วร้ายกดดันผู้คนแทน
เขาดูโตขึ้นมาก แถมยังไม่ปริปากพูดอะไรสักคำทั้งที่เธอยืนอยู่ตรงนั้นแท้ ๆ จะมีก็เพียงความดุดันที่แผ่อยู่รอบกายของเขาอย่างชัดเจน
อวี่ฉีมองเขาเงียบ ๆ โดยมีกลุ่มคนคั่นอยู่ระหว่างกลาง ก็ถึงกับถอนหายใจออกมาเบา ๆ ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอถึงค่อยยิ้มบาง ๆ ส่งให้เขาเหมือนอย่างที่เคยทำเสมอมา แล้วค่อย ๆ ปลดปลอกมีดบนเอวโยนไปด้านหนึ่ง ส่งสัญญาณว่าตัวเองไม่มีเจตนาเป็นศัตรูแม้แต่นิดเดียว
เซียวอี้มองเธอนิ่ง ๆ ก่อนยกมือขึ้นหยุดลูกน้องที่กำลังหงุดหงิดกระเหี้ยนกระหือรือเอาไว้
เขาเดินทอดน่องเชื่องช้ามายืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าของเธอ ใบหน้าเจือรอยยิ้มอ่อนจางจนแทบมองไม่เห็นเอาไว้ และมองเธอด้วยท่าทางสุภาพห่างเหิน “ไม่เจอกันนานเลยนะ” กิริยามารยาทอยู่ในขั้นตีตัวออกห่างอย่างเห็นได้ชัด ราวกับปฏิบัติต่อคนแปลกหน้าไม่มีผิด อวี่ฉียังถึงขนาดเห็นความหวาดระแวงที่ซุกซ่อนอยู่ในดวงตาของเขาด้วยซ้ำ
ยุคสมัยสิ้นโลกคือสถานที่ที่สามารถขัดเกลาผู้คนได้ดีที่สุดจริง ๆ หากอยู่ในยุคที่สงบสุข การจะสอนให้เขาเข้าใจความเป็นไปของโลกนั้นเกรงว่าคงต้องใช้เวลาสักสองสามปี ทว่าตอนนี้เพิ่งผ่านไปเพียงห้าเดือนเท่านั้น ท่าทางที่เขาใช้ทักทายเธอก็ดูเจนโลกได้ถึงขนาดนี้แล้ว
อวี่ฉีนิ่งไปโดยไม่รู้ตัว หลังได้สติกลับมาจึงระบายยิ้ม “ไม่เจอกันนานเลย เซียวอี้ นายโตขึ้นแล้วนะ”
เซียวอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ภายในดวงตาสีดำลึกล้ำมีประกายความไม่พอใจวูบผ่านเนื่องจากเธอพูดไม่เข้าหู
อวี่ฉีถึงกับตกตะลึง เธอเพิ่งเข้าใจตอนนี้เองว่าเขาไม่ใช่เด็กชายตัวน้อยที่เธอปกป้องเอาไว้ข้างกายคนนั้นอีกแล้ว การพูดแบบนี้ต่อหน้าลูกน้องของเขา นับว่าเป็นการหักหน้าเขาอยู่ไม่น้อยจริง ๆ
แม้สิ่งที่เธอทำก่อนหน้านี้จะทำไปเพื่อให้ภารกิจสำเร็จ แต่การอยู่ร่วมกันหลายวันนั้นใช่ว่าจะปราศจากความจริงใจไปเสียทั้งหมด พอเห็นเขาเป็นแบบนี้ ต่อให้เป็นอวี่ฉีก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอ้างว้าง ทว่าด้วยความเป็นมืออาชีพ รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอจึงยังอ่อนโยนดังที่เคยเป็นมาไม่มีเปลี่ยน “กองกำลังของนายน่ะ ให้ฉันเข้าร่วมด้วยคนได้ไหม?”
————————————————————————————————–