ตอนที่ 8.10 (เล่มสอง)

ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配

เซียวอี้ 10.

 

เซียวอี้ใช้นัยน์ตาสีดำสนิทอันลึกล้ำและมืดมนจ้องมองเธอไม่ละสายตา อวี่ฉีตระหนักดีว่าตอนนี้เขาคงกำลังใช้ความคิดที่ซับซ้อนของตัวเองวิเคราะห์ผลกระทบและข้อดีข้อเสียที่อาจจะตามมาหลังจากเธอเข้าร่วมกลุ่ม

สำหรับกองกำลังทั้งกองแล้ว ถึงจะเป็นเรื่องดีที่มีนักสู้ที่แข็งแกร่งผิดมนุษย์มนามาเข้าร่วมทีมสักคน แต่มันอาจไม่ใช่ข่าวดีของหัวหน้าผู้ก่อตั้งกองกำลังเสมอไป เป็นเหตุผลเดียวกับในสมัยโบราณที่จักรพรรดิต่างหวาดกลัวแม่ทัพมากความสามารถซึ่งอาจมีโอกาสขึ้นมายึดครองอำนาจเหนือตนได้

เซียวอี้จ้องตาเธอโดยไม่พูดอะไรอยู่นาน ภายในดวงตาสีดำราวกับหมึกคู่นั้นไหววูบไม่หยุด

ในตอนที่อวี่ฉีคิดว่าเขาจะปฏิเสธเธอเหมือนเมื่อห้าเดือนที่แล้วนั่นเอง เขากลับยกยิ้มมุมปากขึ้นช้า ๆ ภายในแววตาที่เดิมทีมีคลื่นใต้น้ำอันเชี่ยวกรากราวกับมหาสมุทรยามค่ำคืนซุกซ่อนอยู่ ได้กลับสู่ความสงบนิ่งเช่นเดิม และเยือกเย็นปราศจากสิ่งวุ่นวายใดเจือปน

เซียวอี้ยื่นมือมาทางเธออย่างเชื่องช้า “ยินดีต้อนรับเข้าร่วมกลุ่ม”

ห้าเดือนก่อน เขาพยายามคิดทุกทางเพื่อสะบัดเธอให้หลุด แต่ห้าเดือนต่อมาเขากลับยิ้มต้อนรับการมาถึงของเธอ

ที่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด ไม่ใช่เพราะเธอไม่เหมือนเดิม แต่เป็นเพราะเขาต่างหากที่เปลี่ยนไป

จริงอยู่ว่าตัวเขาในสมัยก่อนมีสมองที่แทบจะเทียบเคียงได้กับคอมพิวเตอร์ แต่ถึงอย่างนั้นความสามารถในการควบคุมอารมณ์กลับไม่เข้ากันกับมันสมองของเขาเลย ก็เหมือนกับทารกที่กอดอาวุธวิทยาการล้ำหน้าที่สุดบนโลกเอาไว้ แต่ไม่มีทางใช้มันได้ เขาจึงกลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นหมาแมวตัวน้อยที่เธอคอยเลี้ยงดู พอเสียเจ้าของปุ๊บก็ใช้ชีวิตต่อไปด้วยตัวเองไม่ได้อีก

ตัวเขาในตอนนี้ต่างจากห้าเดือนก่อนราวฟ้ากับเหว ก่อนหน้านี้ความเยือกเย็นของเขาเป็นความเคยชินที่เกิดมาจากการถูกบังคับ แต่ในตอนนี้มันกลับเจือความสงบนิ่งและความมั่นใจที่ต่างออกไป หรือพูดอีกอย่างก็คือ เขาไม่ได้เป็นอาเหมิงแห่งรัฐอู๋อีกต่อไปแล้ว

อวี่ฉีก้มลงมองมือขวาของเขาที่ยื่นมาหา มันยังคงขาวนวล กระดูกนิ้วมือตรงเรียวยาวราวกับคนหนุ่มสาว ดูดีกว่ามือของเด็กผู้หญิงหลายคนเสียอีก

แต่เธอรู้ดีว่าเขาไม่ได้ต้อนรับเธอจากใจ มันเป็นเพียงการทำดีเพื่อซื้อใจคนเท่านั้น

แม้ว่าเมื่อก่อนเขาจะทำหน้าตายตลอดเวลาจนดูเข้าหาได้ยาก แต่ก็ไม่ได้สร้างกำแพงปิดกั้นจิตใจตัวเองไปจนหมด ในเวลาที่ต้องแสดงละครหลอกตา เขาจะยิ้มเหมือนกับไม่ยิ้ม ถ้าไม่สังเกตดี ๆ อาจจะมองไม่เห็น แต่อย่างน้อยมันก็ยังออกมาจากใจจริง

 ทว่าในตอนนี้ ทั้งที่เพิ่งเจอหน้ากันได้ไม่นาน เขากลับยิ้มออกมาแล้วถึงสองครั้ง มันชวนให้รู้สึกห่างไกลอย่างไม่มีวันเอื้อมถึง

แต่ต่อให้เป็นแบบนี้ อวี่ฉีก็ยังรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้ได้อย่างดีเยี่ยม เธอยื่นมือออกไปจับมือเขา หลังมือทั้งสองกุมเข้าด้วยกันเบา ๆ แล้วเซียวอี้ก็ชักมือกลับทันที ห่างเหินจนไม่ต่างอะไรกับคนแปลกหน้าสองคน

เธอรู้สึกเสียใจมากที่ห้าเดือนก่อนปล่อยอีกฝ่ายหลุดมือไป ระดับความยากในการพิชิตใจตอนนี้จึงพุ่งสูงขึ้นไปอีกระดับ ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก ตอนนั้นต่อให้ต้องใช้กุญแจมือ เธอก็ต้องล่ามเขาไว้กับตัวให้ได้ เขาจะดิ้นรนอารมณ์เสียยังไงมันก็ยากระดับปลอบเด็กขี้เหวี่ยงคนหนึ่งเท่านั้น แต่เวลานี้กลับกลายเป็นความยากระดับลูกน้องพิชิตใจหัวหน้าไปแทนเสียแล้ว

จริงอยู่ว่าหากยึดตามความสามารถด้านการต่อสู้ของเธอแล้ว การจะกวาดล้างกองกำลังกลุ่มเล็ก ๆ นี้ของเขานั้นไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิด แต่จุดมุ่งหมายของภารกิจคือการพิชิตใจตัวร้าย ไม่ใช่การกำจัดตัวร้ายทิ้ง อวี่ฉีจึงทำได้แค่เพียงปรับเปลี่ยนแผนเล่นตามน้ำไปตามการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ในปัจจุบัน สตาร์ตโหมดพิชิตหัวหน้า หรือถ้าให้เป๊ะกว่านั้นอีกหน่อยก็คือเข้าสู่โหมดแม่ทัพผู้ภักดีพิชิตใจจักรพรรดิขี้ระแวงนั่นเอง 

กองกำลังขนาดเล็กของเซียวอี้กำลังอยู่ระหว่างการก่อตัวเพื่อที่จะกลายเป็นฐานทัพอีในอีกสิบห้าปีให้หลัง สมาชิกสิบกว่าคนต่างเป็นชายหนุ่มที่มีกำลังต่อสู้ฮึกเหิมเต็มไปด้วยความกระฉับกระเฉง ไม่มีคนแก่ คนอ่อนแอ ผู้หญิงหรือเด็กแม้แต่คนเดียว   

โครงสร้างสมาชิกแบบนี้ช่วยให้ประสิทธิภาพต่อสู้ของกลุ่มเพิ่มสูงขึ้นมาก ทั้งยังไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครเป็นตัวถ่วงด้วยก็จริง แต่ถ้าหากยังเป็นแบบนี้เรื่อย ๆ ย่อมต้องหลีกเลี่ยงปัญหายิบย่อยมากมายในอนาคตไม่ได้แน่ กลุ่มที่มีผู้ชายวัยสี่สิบรวมตัวกันมากว่าปี แต่กลับไม่มีผู้หญิงคอยเยียวยาแม้แต่คนเดียวนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไร ไหนจะปัญหาหยุมหยิมจำพวกใครจะมาคอยมาซักผ้าทำอาหารให้พวกเขา และที่สำคัญกว่านั้น ถ้าหากสมาชิกที่คิดจะเข้าร่วมกลุ่มในอนาคตมีภรรยามีลูก ก็จะให้เขาทอดทิ้งภรรยาและลูกงั้นหรือ?

คงต้องบอกว่าถึงแม้เซียวอี้จะรู้จักบงการจิตใจคนอื่นเก่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็ยังประเมินค่าความสำคัญในเรื่องความรู้สึกของคนเราต่ำเกินไปอยู่ดี

แต่ถึงยังไงเรื่องทั้งหมดนั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ เป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวของเธอคือการทำให้เซียวอี้ชอบตัวเองให้ได้ ส่วนกองกำลังที่เขาบัญชาการจะเกิดปัญหาขึ้นมาหรือไม่ ฐานทัพอีของเขาจะพัฒนาต่อไปได้หรือเปล่านั้น แทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอเลย

หลังจากเข้าร่วมกองกำลังของเซียวอี้แล้ว อวี่ฉีก็สามารถกลายเป็นส่วนหนึ่งของทีมได้อย่างรวดเร็ว โดยการลงมือสอนเทคนิคการต่อสู้บางส่วนให้สมาชิกในกลุ่ม และสยบพวกที่ไม่ไว้ใจเธอได้ทั้งหมดภายในเวลาสั้น ๆ เพียงวันเดียว

พวกผู้ชายนั้นลึก ๆ แล้วมักอยากติดตามคนที่แข็งแกร่งกว่ามาตั้งแต่เกิด ดังนั้นพวกเขาจึงชอบที่จะ ‘ผูกมิตรกันด้วยกำปั้น’ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้หญิงแล้วละก็ ลองพวกเธอสองคนข่วนหน้ากระชากผมตบตีกันสักยกดูสิ อย่าว่าแต่จะตกลงญาติดีกันได้ในตอนหลังเลย ชาตินี้ทั้งชาติขอรับรองเลยว่าพวกเธอไม่มีทางอยากเห็นหน้ากันอีกแน่ ๆ

หนึ่งเดือนถัดมา อวี่ฉีก็คุ้นเคยกับสมาชิกทุกคนได้อย่างง่ายดาย พวกเขาเรียกเซียวอี้ว่า ‘ลูกพี่’ และเรียกเธอว่า ‘เจ๊ใหญ่’ แต่งตั้งให้เธอมีฐานะในกลุ่มเป็นรองแค่เซียวอี้อย่างเต็มภาคภูมิ

ความสามารถด้านการต่อสู้อันแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวของอวี่ฉีนำพาชัยชนะมาให้แก่กองกำลังนี้แทบทุกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย ก่อนหน้านี้หากจะบุกเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ก็จำเป็นต้องร่วมมือกับกองกำลังอื่น แต่ตอนนี้ขอแค่มีอวี่ฉีคอยเปิดทางอยู่ด้านหน้า หลังจากนั้นไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นสมาชิกทุกคนพากันเข็นรถเข็นหยิบของกันสบายใจเฉิบเลยทีเดียว

เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า กองกำลังที่แรกเริ่มมีสิบกว่าคนก็ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น แต่ในขณะเดียวกันผลงานของเธอที่เพิ่มขึ้นในแต่ละวันก็เริ่มส่งผลกระทบต่อตำแหน่งหัวหน้าของเซียวอี้ เขาเริ่มหวาดระแวงเธอถึงแม้จะไม่แสดงอาการ ไม่ว่าจะที่ไหนหรือเมื่อไรเขามักจะให้เธอติดตามไปข้างกายตลอดเหมือนให้ความสำคัญกับเธอมาก ๆ แต่เอาเข้าจริง นั่นกลับเป็นการจับตามองอย่างใกล้ชิดต่างหาก

 

อวี่ฉีไม่แปลกใจเลยที่เรื่องราวได้พัฒนามาถึงจุดนี้ ความจริงเธอแอบพอใจอยู่นิดหน่อยเสียด้วยซ้ำ เพราะสิ่งที่เรียกว่าการจับตาดูอย่างใกล้ชิดของเซียวอี้นั้น สำหรับเธอแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับหอริมน้ำที่ได้รับแสงจันทร์ก่อนที่อื่น[1] ซึ่งเข้าทางเธอสุด ๆ

แต่ในขณะเดียวกัน การใกล้ชิดจักรพรรดิก็เหมือนกับการใกล้ชิดพยัคฆ์ ตำแหน่งนี้หากมองอีกมุมก็เสี่ยงอันตรายไม่เบา นับแต่โบราณกาลไม่รู้ว่ามีขุนนางที่โดดเด่นเกินหน้าเกินตากี่คนแล้วที่ไม่ได้ตายดี นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจหลักการที่ว่าทำคุณความดีนั้นง่าย แต่การรักษาคุณความดีนั้นยาก คิดไปเองว่าตนมีผลงานยิ่งใหญ่คับฟ้าจนยโสโอหังคิดว่าตัวเองเป็นที่หนึ่ง กระทั่งวันหนึ่งเผลอไปแตะถูกเกล็ดมังกร[2] ของฝ่าบาทเข้าจนสุดท้ายก็มีจุดจบอันน่าสังเวชยิ่งกว่าใคร

อวี่ฉีไม่มีวันทำเรื่องผิดพลาดอย่างนี้อยู่แล้ว ยิ่งชื่อเสียงของเธอในหมู่สมาชิกสูงมากเท่าไร เธอก็ยิ่งถ่อมตนมากขึ้นเท่านั้น ทำเพียงอยู่ด้านหลังของเซียวอี้เงียบ ๆ ตลอดเวลา ไม่เคยทำเรื่องแปลกแยกหรือต่อต้านเลยสักครั้ง

——————————–

สิบห้าปีผ่านไปภายในชั่วพริบตา กลุ่มที่แต่เดิมมีสมาชิกเพียงสิบกว่าคนได้พัฒนากลายเป็นฐานทัพขนาดใหญ่มหึมา ในที่สุดเซียวอี้ก็ก่อตั้งจักรวรรดิภายในยุคสิ้นโลกที่เหลือแต่ซากปรักหักพังแสนรกร้างแห่งนี้ขึ้นมาด้วยมือของเขาเองตามต้องการ ส่วนอวี่ฉีก็คอยกำราบศัตรูและคู่แข่งมากมายให้กับเซียวอี้มาตลอดสิบกว่าปีนี้ จนได้กลายเป็นลูกน้องเพียงหนึ่งเดียวที่เขาเชื่อใจ

ความจริงแล้วเธอรอคอยการมาถึงของพระ-นางในนิยายเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา เพื่อจะรอการปลุกระดมจากพวกเขาให้ทุกคนล้มล้างเซียวอี้

ว่ากันว่ายามตกทุกข์ได้ยากเท่านั้นถึงจะมองออกว่าใครเป็นเพื่อนแท้ เธอทำการวางดอกไม้สดลงบนผ้าปักดอก[3] มาแล้วสิบห้าปี แต่แทบไม่ได้ผลอะไรเลย เธอจึงเลือกจะเปลี่ยนวิธี ไม่แน่ว่าการมอบถ่านหินให้ท่ามกลางหิมะที่หนาวเหน็บอาจเป็นวิธีที่จะช่วยให้เธอทำภารกิจสำเร็จทันทีเลยก็ได้

[1] 近水楼台หมายถึง อาศัยความใกล้ชิดทำให้ได้รับโอกาสหรือผลประโยชน์ก่อนผู้อื่น

[2] 逆鳞 หมายถึง เกล็ดใต้คอมังกรที่ว่ากันว่า หากเผลอไปแตะโดนจะทำให้มังกรพิโรธจัด

[3] 锦上添花หมายถึง การเพิ่มเติมสิ่งที่สวยงามอยู่แล้วให้สวยงามขึ้นไปอีก

————————————————————