เซียวอี้11.
ขณะอวี่ฉีเพิ่งกลับมาจากการพาคนไปรวบรวมเสบียงที่โรงสีแป้ง ก็ได้ยินคนบอกว่าเซียวอี้กำลังตามหาตัวเธออยู่
หลังจากฝากงานทั้งหมดให้ผู้ช่วยแล้ว อวี่ฉีก็ก้าวฉับไวไปถึงหน้าห้องของเขา แล้วเคาะประตูสามครั้งอย่างไม่รีบร้อน แต่ก็ไม่ถึงกับเอื่อยเฉื่อย
เสียงทุ้มต่ำของเซียวอี้ดังแว่วออกมาจากภายในห้อง มันเจือไปด้วยกลิ่นอายลึกลับอย่างที่ไม่อาจหยั่งถึงได้เอาไว้ไม่น้อย “เข้ามา”
อวี่ฉีกดคันประตูลง เอียงตัวแทรกเข้าไปในห้อง แล้วเหลือบตาขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองเจ้าของห้อง
เซียวอี้ในชุดเรียบกริบกำลังกึ่งนั่งกึ่งพิงอยู่ตรงหัวเตียงด้วยท่าทางผ่อนคลาย พลางหรี่ตามองหน้าจอแอลซีดีขนาดยักษ์บนกำแพงตรงหน้า เมื่อได้ยินเสียงเธอเดินเข้ามาในห้องแล้ว เขาก็ทำเพียงเอ่ยเสียงเรียบนิ่งขึ้นโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ามามอง “นั่งได้ตามสบาย”
อากัปกิริยาของเขาแม้ดูเหมือนเย็นชา แต่อวี่ฉีรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วนี่คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อใจ ถ้าเกิดคนที่เข้ามาเป็นคนอื่น เขาคงลุกขึ้นมานั่งหน้าโต๊ะทำงานไปแล้ว แน่นอนว่าที่เขาทำแบบนั้นไม่ใช่เพราะให้เกียรติคนอื่น แต่เป็นเพราะมีปืนพกที่เตรียมไว้ยามฉุกเฉินซ่อนอยู่ในลิ้นชักของโต๊ะหนังสือต่างหาก หลายปีมานี้เขาใช้อำนาจกดขี่ในการปกครองผู้ใต้บังคับบัญชา ทำให้ต้องคอยเฝ้าระวังคนทรยศอยู่ตลอดเวลา
อวี่ฉีไม่ได้ปรายตามองหน้าจอแอลซีดีที่กำลังสว่างจ้าแม้แต่แวบเดียว เธอทำเพียงแค่ก้าวไปบนพื้นไม้อย่างแผ่วเบาจนถึงข้างเตียง ยกมือขึ้นวางลงบนไหล่ของเซียวอี้ เอ่ยถามเสียงเบาว่า “มีเรื่องที่อยากให้ฉันไปทำหรือเปล่า?”
เธอรู้น้ำหนักความสำคัญของตัวเองในใจเซียวอี้ตอนนี้เป็นอย่างดี หลายปีมานี้เธอคือลูกน้องที่เขาเชื่อใจและเป็นผู้ช่วยที่ไว้ใจได้เพียงหนึ่งเดียวของเขา ภายในฐานทัพนี้เขาเดินใกล้เธอมากที่สุด แต่มันก็หยุดอยู่เพียงแค่นั้น ด้วยข้อจำกัดบางอย่างที่ไม่ว่ายังไงก็ข้ามไปไม่ได้ เปรียบเหมือนกับขุนนางที่ต่อให้ใกล้ชิดจักรพรรดิยิ่งกว่านี้ ก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ทึกทักทายใจองค์จักรพรรดิเอาเอง ดังนั้นถึงจะได้รับอนุญาตให้เข้าออกห้องนี้ได้ตามใจชอบ เธอก็ไม่เคยสอดส่ายสายตามองจนเกินควรเพราะความอยากรู้อยากเห็นไร้สาระเลยแม้แต่แวบเดียว
เซียวอี้ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา สักพักจึงเอ่ยปากขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่ออกไปทางหมองหม่น “คนที่อยู่บนหน้าจอคนนี้ เธอมีความคิดเห็นกับเขายังไงบ้าง?”
อวี่ฉีได้ยินอย่างนั้นจึงหันหน้าไปมอง พอเห็นเด็กหนุ่มสวมเครื่องแบบทหารอำพรางตัวสีเขียวคนนั้นแล้วก็นิ่งงันไป
คนในจอคือพระเอก ‘หลินจื้อเฟิง’ ของนิยายเรื่องนี้ไม่ผิดแน่ เขาเคยเป็นทหารประจำการมาก่อน ภายหลังที่เข้าสู่ยุคสิ้นโลก เขากับนางเอกคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ดิ้นรนฟันฝ่าเพื่อเอาชีวิตรอด แล้วยังก่อตั้งกองกำลังผู้รอดชีวิตกลุ่มหนึ่งขึ้นมา โชคร้ายที่เขากลับต้องมาเผชิญหน้ากับคนของฐานทัพอีโดยบังเอิญ เสบียงทั้งหมดจึงถูกปล้นสะดมจนเกลี้ยง มิตรสหายดี ๆ หลายคนของเขาถูกระเบิดศีรษะตายในนัดเดียวระหว่างที่กำลังพยายามต่อต้าน ทั้งยังถูกใช้กำลังชิงตัวเด็กสาวหลายคนที่หน้าตาดีในกองกำลังไปด้วย โชคดีที่เขาเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่รอดตายได้อย่างเฉียดฉิวเพียว นับแต่นั้นหลินจื้อเฟิงจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องช่วยนางเอกออกมาและแก้แค้นแทนเพื่อน ๆ ให้ได้
ทว่าอาศัยกำลังของเขาแค่คนเดียวคงไม่เพียงพอในการช่วยคนรักของตัวเองออกมาได้ ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนสถานะของตนเพื่อแฝงตัวเข้ามาในฐานทัพอี หลังอยู่ที่นี่ได้หลายเดือน เขาก็พบว่าเซียวอี้ปกครองคนอื่นโดยใช้อำนาจกดขี่จนสร้างเสียงบ่นไม่พอใจดังระงมไปทั่วในหมู่สมาชิก ด้วยเหตุนี้หลินจื้อเฟิงจึงเกิดความคิดเหิมเกริมขึ้นมาอย่างหนึ่ง นั่นคือการโน้มน้าวลูกน้องของเซียวอี้ให้ร่วมมือกับเขาเพื่อต่อต้านอีกฝ่าย และใช้วิธีนี้มาทำให้ฐานทัพแตกแยกออกเป็นส่วน ๆ นั่นเอง
เพียงแต่อวี่ฉีกลับคิดไม่ถึงว่าเซียวอี้จะให้ความสนใจในตัวพระเอกไวขนาดนี้
ถึงแม้ในใจจะไม่ได้สงบนิ่งเหมือนทุกที แต่อวี่ฉีก็ยังหันมาทำหน้าราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเอ่ยเสียงราบเรียบเหมือนกำลังวิจารณ์สมาชิกในกองทัพที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับตัวเธอ “เขาไม่ใช่ลูกน้องของฉัน ฉันเลยไม่ค่อยรู้จักเขาเท่าไหร่” เธอขมวดคิ้วน้อย ๆ “แต่เหมือนว่านิสัยเขาจะไม่เลวนะ เวลาต่อสู้ก็ตั้งอกตั้งใจดี เลยเข้ากับคนอื่นได้ง่าย คนเก่าแก่ในฐานทัพหลายคนก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา”
เซียวอี้ได้ยินก็ปรายตามองเธอแวบหนึ่ง ยกมือขึ้นนวดคลึงหว่างคิ้วแฝงไปด้วยความอ่อนล้า “ถ้าอย่างนั้นความหมายของเธอก็คือ เขาไม่มีปัญหางั้นเหรอ?”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนอย่างเซียวอี้ การปกป้องพระเอกจนออกนอกหน้าอาจจะกระตุ้นความสงสัยของอีกฝ่ายขึ้นมาแทนได้ ถ้าถูกสงสัยขึ้นมาจริง ๆ ต่อให้เป็นเธอก็ยังหาทางเอาตัวรอดยาก เพราะงั้นถ้าอยากเก็บพระเอกเอาไว้จริง ๆ แค่พูดเกริ่นสักหน่อยแล้วปล่อยทิ้งไว้ก็เพียงพอแล้ว ด้วยเหตุนี้เองอวี่ฉีจึงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “ถ้านายอยากกำจัดเขา ฉันสามารถทำให้เขาหายไปจากฐานทัพในวันนี้เลยก็ยังได้ แล้วบนโลกใบนี้ก็จะไม่มีคนคนนี้อีก”
เมื่อได้ยินเธอพูดอย่างนี้ เซียวอี้กลับครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้า เขาหยิบรีโมตคอนโทรลขึ้นมาปิดหน้าจอ
ปัจจุบันฐานทัพอีคือฐานทัพที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ แถมยังสร้างระบบผลิตไฟฟ้าของตัวเองขึ้นมา โดยทั่วไปห้องของพวกผู้นำมักจะมีไฟฟ้าใช้กันทั้งนั้น แต่ห้องของเซียวอี้ไม่ได้มีแค่ไฟฟ้า กระทั่งน้ำร้อนบริการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงก็ยังมี
“ช่วงนี้ดูเหมือนว่าคนในฐานทัพกับฉันจะมีความเห็นไม่ลงรอยสักเท่าไหร่ เวลาแบบนี้อย่าเพิ่มความวุ่นวายจะดีกว่า” เซียวอี้หรี่ตาทั้งสองข้างลงตามความเคยชิน ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากเล็กน้อยพร้อมกับพินิจพิเคราะห์อยู่ชั่วครู่ นิ้วมือเรียวยาวกรีดลงบนผ้าปูเตียงโดยไม่รู้ตัว
“รอให้ผ่านไปอีกสักพักก็แล้วกัน พวกเราค่อยมาจัดระเบียบคนในฐานทัพให้หมด” เขาเอ่ยเนิบ ๆ ความอำมหิตเย็นยะเยียบดั่งน้ำแข็งตวัดผ่านนัยน์ตาสีเข้มคู่นั้นไปอย่างรวดเร็ว แต่น้ำเสียงกลับอ่อนโยนนุ่มนวลราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องธรรมดาทั่วไป “ถ้ามีใครคนไหนไม่เชื่อฟัง ก็ไม่จำเป็นต้องเก็บเอาไว้ต่อแล้ว”
ทว่าก่อนที่ ‘ผ่านไปอีกสักพัก’ ของเซียวอี้จะมาถึงนั้น หลินจื้อเฟิงก็รวมหัวกับหัวหน้าทีมที่อาวุโสกว่าหลายคนในฐานทัพแล้วเริ่มปฏิบัติการล้มล้างผู้นำด้วยกัน
หลินจื้อเฟิงเลือกจังหวะเวลาได้อย่างเหมาะเจาะ สมาชิกที่อยู่มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งฐานทัพเกินครึ่งได้แปรพักตร์และเข้าร่วมการปฏิวัติในครั้งนี้เพื่อบุกจู่โจมเซียวอี้โดยไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัวทัน ระหว่างที่อวี่ฉีนำทีมที่มีสมาชิกจำนวนไม่มากไปสำรวจสถานการณ์ของฐานทัพศัตรูพอดี
เซียวอี้ไม่ใช่คนที่ใช้คุณธรรมมาทำให้ผู้อื่นยอมทำตามคำสั่ง คนในฐานทัพต่างหวาดกลัวเขามากกว่าจะเคารพ ดังนั้นเขาจึงไม่มีลูกน้องที่ภักดีกับเขาจากใจจริงสักคน เพียงไม่นานก็ต้องยอมถอยร่นเนื่องจากพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า ภายใต้ความร่วมมือของหลินจื้อเฟิงกับคนอื่น ๆ
กว่าอวี่ฉีจะกลับมา ผู้นำของฐานทัพอีก็เปลี่ยนเป็นหลินจื้อเฟิงไปแล้ว ส่วนเซียวอี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเผด็จการที่ถูกราษฎรของตัวเองขับไล่ออกนอกเขตปกครอง ไม่มีใครรู้สึกเห็นใจเขาเลยสักนิด ทุกคนต่างรู้สึกยินดีจากใจจริงที่ได้ประกาศอิสรภาพจากการปกครองอันไร้ความเมตตาของปีศาจร้าย
ความจริงต่อให้ไม่มีหลินจื้อเฟิง อย่างไรก็ต้องเกิดเหตุการณ์ที่เซียวอี้ถูกโค่นล้มอยู่ดี จริงอยู่ที่เซียวอี้นำพาผู้คนไปช่วงชิงชัยชนะมาหนแล้วหนเล่า ช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากความหิวโหยและการคุกคามของซอมบี้ได้ ทว่าเมื่อผ่านพ้นยุคสมัยแห่งการสร้างจักรวรรดิไปแล้ว หลังผ่านพ้นคืนวันที่ต้องวิ่งวนระหกระเหินไปทั่วเป็นเวลาสิบกว่าปี สิ่งที่คนพวกนั้นต้องการมากกว่าคือผู้ปกครองที่รู้จักผ่อนปรนให้อภัยและชีวิตที่มั่นคงสงบสุข
นิสัยและประสบการณ์ของเซียวอี้กำหนดให้เขารู้จักแค่สู้รบเพื่อเอาชนะเท่านั้น ดังนั้นผู้คนจึงเลือกที่จะทอดทิ้งเขาไปอย่างไม่ลังเล
ผู้ชายคนนี้ก่อตั้งจักรวรรดิที่ทรงอำนาจที่สุดของยุคสิ้นโลกจนกลายเป็นตำนานอันยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ แต่ตอนนี้เขากลับพลัดตกลงมาจากเมฆบนท้องฟ้า ร่วงหล่นลงกลางบ่อน้ำโคลนตมอย่างแรงจนไม่มีโอกาสพลิกตัวลุกขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่สอง
อวี่ฉีหาเซียวอี้พบบนภูเขาลูกหนึ่งที่ห่างจากฐานทัพไปไม่ไกล ทว่าเธอกลับคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะหนีออกมาด้วยรถออฟโรดคันที่เธอและเขาเคยใช้หนีออกมาจากฐานปฏิบัติการด้วยกัน
หน้าต่างรถตำแหน่งที่นั่งคนขับลดลงมาครึ่งหนึ่งจนเห็นร่างของเซียวอี้โน้มพิงอยู่บนพวงมาลัย ผมซอยสีดำอ่อนนุ่มบดบังใบหน้าครึ่งซีกจนทำให้เธอมองไม่เห็นสีหน้าของเขา
อวี่ฉีชะลอฝีเท้าลง ก้าวเชื่องช้าไปถึงข้างตัวรถ
เซียวอี้ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา ภายในน้ำเสียงแหบพร่านั้นแฝงไว้ด้วยความอ่อนแอที่ปกปิดไว้ไม่มิด “เหออวี่ฉี?”
เธอขานรับเบา ๆ คำหนึ่ง ก่อนเอื้อมมือไปเปิดประตูรถแล้วก้มลงมองเขา “นายยังไหว…” เสียงซักถามหยุดชะงักลงทันที เมื่อได้กลิ่นเลือดฉุนกึกที่คละคลุ้งไปทั่วภายในตัวรถ
อวี่ฉีรีบประคองเขาขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แต่กลับเห็นมือขวาของเขากดท้องน้อยฝั่งซ้ายเอาไว้แน่น เนื้อผ้าสีขาวตรงจุดนั้นถูกย้อมด้วยเลือดสีแดงสดชั้นแล้วชั้นเล่า เขาพิงร่างมาบนตัวเธออย่างไร้เรี่ยวแรง กระทั่งแรงในการหายใจก็แทบไม่เหลือ
เธอขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ยื่นมือไปกุมบนหลังมือเปื้อนเลือดของเขาอย่างแผ่วเบา “นายถูกยิงเหรอ” ผิวของเขาเย็นเฉียบถึงขั้นที่ทำให้เธอตกใจ เพราะมันแทบไม่ต่างอะไรกับผิวของคนตายเลย
อวี่ฉีกัดฟัน ถามรวดเดียวว่า “แผลโดนหลอดเลือดแดงหรือเปล่า ทำไมไม่ทำแผล? แล้วบนรถไม่มีอุปกรณ์การแพทย์เลยรึไง”
เซียวอี้ไม่ตอบอะไรเธอสักคำ จนเธอคิดว่าเขาตกอยู่ในสภาพมึนงงเพราะเสียเลือดมาก แต่ในที่สุดเขาก็หัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
อวี่ฉีชะงัก ก้มหน้าสัมผัสแก้มขวาเย็นยะเยียบของเขา “เป็นอะไรไป”
บางทีตอนหัวเราะคงไปกระทบโดนบาดแผลเข้า เซียวอี้เจ็บจนครางเสียงอู้อี้ออกมา ผ่านไปสักพักใหญ่ถึงผ่อนลมหายใจให้เป็นปกติได้ เขาพูดขึ้นด้วยท่าทางอ่อนระโหย แต่น้ำเสียงยังสงบนิ่งยากหยั่งถึงเหมือนเคย “พวกเขาหักหลังฉัน…”
อวี่ฉีตอบ “อืม” เบาๆ ปลอบโยนเขาว่า “แต่นายยังมีฉันนะ”
เซียวอี้เงียบไปเป็นเวลานาน แล้วจึงเอ่ยขึ้นมาช้า ๆ โดยแฝงไว้ด้วยความอ่อนล้าอย่างถึงที่สุดว่า “ใช่ ฉันยังมีเธอ”
เขายันพวงมาลัยด้านหนึ่งยืดตัวขึ้นมาอย่างทุลักทุเล แล้วกล่าวเบา ๆ โดยไม่ได้หันมองเธอเลยแม้แต่แวบเดียวว่า “ขึ้นรถ”
อวี่ฉีได้ยินอย่างนั้นก็ปิดประตูรถให้เขา แล้วก้าวไว ๆ อ้อมหน้ารถมาดึงประตูเปิดออก กระโดดขึ้นไปนั่งข้างคนขับ เธอประคองร่างกายที่สั่นน้อย ๆ ของเซียวอี้เอาไว้ พลางขมวดคิ้วมุ่นทั้งสองข้าง “ให้ฉันช่วยนายเอาลูกกระสุนออกมานะ ไม่อย่างนั้น…”
“ไม่ต้อง นั่งเป็นเพื่อนฉันสักพักก็พอ” เขาปฏิเสธเธอเสียงเรียบแล้วค่อย ๆ เอนตัวกลับไปพิงพนักที่นั่ง
ไหน ๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว บางทีความตายอาจเป็นการปลดปล่อยที่ดีที่สุดก็ได้
เขาหลับตาลงทั้งสองข้าง รู้สึกเพียงแค่ว่าสติค่อย ๆ หลุดลอยออกจากร่างไปทีละน้อย แขนขาเสียเลือดมากเกินไปจนรู้สึกเย็นยะเยียบคล้ายอยู่ในห้องน้ำแข็ง มีเพียงความอบอุ่นหนึ่งเดียวจากมือของเธอที่อยู่ข้าง ๆ เท่านั้น อุณหภูมิที่แทบจะลวกผิวหนังเขาได้ ไม่ต่างอะไรกับแสงอาทิตย์ที่แผดเผากลางทะเลทรายเมื่อสิบห้าปีก่อน
บางทีความโชคดีเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตนี้ของเขา ก็คือคนที่เชื่อใจเพียงหนึ่งเดียวซึ่งไม่เคยทรยศกัน
เธออยู่ตรงนี้เสมอ ตั้งแต่จุดแรกสุดของการเริ่มต้นกระทั่งถึงตอนนี้
ทว่าในชั่วเสี้ยววินาทีก่อนที่จะหมดสติไปโดยสมบูรณ์นั่นเอง เขากลับรู้สึกถึงความเจ็บปวดรุนแรงเสียดแทงระลอกหนึ่งที่บริเวณท้องน้อยราวกับถูกกระแสไฟฟ้าพาดผ่าน ท้องน้อยของเขาแข็งเกร็งจนกระชากสติมึนเบลอสับสนของเขาให้ตื่นขึ้นเต็มตาภายในพริบตา
เซียวอี้พยายามลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก เขาเห็นเพียงชายเสื้อของตัวเองถูกเลิกขึ้นสูง ส่วนอวี่ฉีกลับกำลังก้มตัวอยู่แถวลำตัวของเขา และกำลังคีบลูกกระสุนอาบเลือดนัดหนึ่งด้วยสองนิ้ว ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะต้องพึ่งอุปกรณ์ผ่าตัด แต่สำหรับเธอที่เป็นร่างทดลองรุ่นแรกแล้ว ของพวกนั้นคงไม่จำเป็น
อวี่ฉีเงยหน้าขึ้นชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง เห็นเพียงเหงื่อเย็นเฉียบที่ใหญ่เท่าเมล็ดถั่วค่อย ๆ ไหลลงมาตามดวงหน้าซีดเผือดของเขา จึงขมวดคิ้วแล้วกุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น พูดรัวเร็วเสียงบางเบาว่า “อดทนไว้นะ!” พูดจบก็ฉีกชายเสื้อของตัวเองดังแคว่ก ออกแรงกดผ้าบริเวณปากแผลเพื่อห้ามเลือดให้เขา แล้วเอนตัวไปหาอุปกรณ์การแพทย์ที่เบาะด้านหลัง
เซียวอี้เปิดเปลือกตาขึ้นมองเธอด้วยท่าทางอ่อนแรง พยายามผลักมือของเธอออกไป “ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”
แต่อวี่ฉีไม่สนใจ เธอขมวดคิ้วพลางใช้มือหนึ่งกดปากแผลของเขาเอาไว้ ส่วนอีกมือก็หิ้วกล่องปฐมพยาบาลขึ้นมา เปิดมันออกด้วยมือข้างเดียว หยิบแอลกอฮอล์ ผ้าก๊อซ กับผ้าพันแผลออกมาอย่างรวดเร็วแม่นยำ แล้ววางเตรียมไว้ข้างตัว พร้อมฉวยโอกาสก้มหน้าลงเหลือบมองคนตรงหน้าแวบหนึ่ง “เซียวอี้ ฉันอยากให้นายมีชีวิตอยู่ต่อไป”
เซียวอี้นิ่งไป จากนั้นก็ยิ้มอย่างไร้เรี่ยวแรงออกมา “มีชีวิตไปทำไม?” เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ คล้ายกับว่าเขาได้ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีไปจนหมดสิ้นแล้ว ความรู้สึกเหนื่อยล้าหนักหน่วงห่อหุ้มทั่วทั้งตัวเขาเอาไว้อีกครั้ง
อวี่ฉีกัดฟัน ฉีกผ้าที่ขวางปากแผลออกอย่างรวดเร็ว แล้วราดแอลกอฮอล์ครึ่งขวดลงบนแผลของเขาพรวดเดียวจนเซียวอี้ครางออกมาด้วยความเจ็บปวดจนตัวงอ
หลังกดผ้าก๊อซสะอาดลงบริเวณบาดแผลอย่างรวดเร็วจนเสร็จ อวี่ฉีก็ลงมือพันผ้าพันแผลรอบเอวของเขาอย่างคล่องแคล่ว “ถ้านายไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อฐานทัพอีก งั้นก็ลอง…”
เพื่อให้เขายังตื่นมีสติต่อไป การกระทำของอวี่ฉีจึงไม่ได้ผ่อนแรงลงเลยสักนิด ถึงขั้นเรียกว่าโหดเหี้ยมได้เลยด้วยซ้ำ
เซียวอี้สูดลมเย็นยะเยียบเข้าปอดเฮือกหนึ่ง ตามด้วยขยับริมฝีปากอย่างยากลำบาก “อะไร?”
พอผูกปมเสร็จ อวี่ฉีก็ตัดผ้าพันแผลให้ขาดออกจากกัน จากนั้นก็ก้มหน้าลงสบตาเขานิ่ง ขณะที่ความสงสัยกำลังปรากฏขึ้นมาในนัยน์ตาของเซียวอี้นั่นเอง เธอก็ค่อย ๆ โน้มตัวลงใช้สองมือประคองใบหน้าของเขาเอาไว้ แล้วประทับจุมพิตลงบนริมฝีปากบางของเขาแผ่วเบา
เธอผละออกมาเล็กน้อย เอ่ยเบาหวิวด้วยเสียงแหบพร่าว่า “ลองมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อฉัน ดีไหม?” เธอก้มหน้ากอดเขาไว้ พาดคางลงบนบ่าที่ค่อนข้างเล็กของอีกฝ่ายเบา ๆ “ฉันต้องการนายนะ ถ้านายตายไป แล้วฉันจะอยู่ยังไง?”
เซียวอี้ใช้เวลาอยู่นานมากถึงค่อยเข้าใจได้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาทำได้เพียงมองไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย
เธอค่อย ๆ กอดเอวเขาแน่นขึ้น เอ่ยทวนซ้ำเบา ๆ อีกครั้ง
“มีชีวิตต่อไปเพื่อฉันได้หรือเปล่า?”
ร่างกายที่แนบสนิทเข้าด้วยกันส่งผ่านความร้อนอันอบอุ่นไม่ต่างจากวันวาน ขณะที่กำลังมึนงงอยู่นั้น เขารู้สึกราวกับเวลาได้ย้อนกลับไปตอนช่วงบ่ายที่อากาศร้อนแห้งจนจะเผาคนได้เมื่อสิบห้าปีก่อน ร่างกายเคล้ากลิ่นหอมของเด็กสาวแนบชิดไหล่กับแขน นั่นเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าหัวใจที่เย็นชาเหมือนก้อนหินของตัวเองนั้นคล้ายจะเต้นแรงขึ้นมาครู่หนึ่ง
หลังผ่านความเงียบงันไปชั่วครู่ เซียวอี้ก็หลุบตาลง เอ่ยตอบเสียงเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยินว่า
“ก็ได้”
ภารกิจ…สำเร็จแล้ว
——————————————-