เหล่าผู้ชมอย่างพวกเขารู้สึกทั้งเหนื่อยทั้งหิวนัก
ในเวลานี้เอง
ทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามารายงานด้วยท่าทางลนลาน “แม่ทัพเซียวแย่แล้ว ทหารต้ามั่วบุกโจมตี!”
“อะไรนะ” เซียวเยว่ชิงสีหน้าคล้ำลงทันที
เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงก็รีบวิ่งไป เห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและกูเยว่อู๋เหินต่อสู้กัน ประกายกระบี่แผ่พุ่งไปทั่วสารทิศ กำลังภายในไหลเวียนอยู่รอบๆ เขาคิดเข้าใกล้ก็มิกล้า เกรงว่าจะถูกทำร้ายจนถึงชีวิต
เขาหาจุดที่ตนคิดว่าปลอดภัย เขย่งเท้าตะโกนหาเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “องค์ชายสี่พ่ะย่ะค่ะ เกิดเรื่องแล้ว คนของต้ามั่วบุกโจมตีแล้ว!”
จากนั้น…
“…”
ไม่มีใครสนใจเขา
เขาสงสัยว่าตนเองเสียงเบาเกินไป ดังนั้นจึงตะเบ็งเสียงขึ้นอีกครั้ง “องค์ชายสี่พ่ะย่ะค่ะ คนของต้ามั่วบุกมาแล้ว!”
เสียงครั้งนี้ดังมาก
เซียวเยว่ชิงคิดว่าขอเพียงไม่ใช่คนหูหนวก ภายในรัศมีร้อยเมตรนี้สมควรได้ยินเสียงของเขา
จากนั้น…
“…”
ก็ยังไม่มีใครสนใจเขา
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับกูเยว่อู๋เหินกำลังประมือกัน ต่อสู้มาหนึ่งคืนแล้ว จวนจะเห็นโอกาสแพ้ชนะ ในเวลานี้ในฐานะบุรุษที่เปิดศึกเพื่อนางในดวงใจ ไม่ว่าเป็นใครเวลานี้ก็ไม่ยินยอมรามือง่ายๆ
ส่วนเรื่องต้ามั่วบุกโจมตี จะก่อคลื่นลมได้มากแค่ไหนเชียว
อย่างไรเสียเขาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ไม่สนใจ
เซียวเยว่ชิงมองเงาร่างเหินไปเหินมาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและกูเยว่อู๋เหิน เขาก็เข้าใจในทันทีว่า องค์ชายสี่คงไม่สนใจเขาแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงวิ่งไปบนกำแพงเมือง
เห็นเป่ยเฉินอี้ปะทะกับจิ่วหุน
คนทั้งสองต่างได้รับบาดเจ็บ มุมปากมีเลือดสดๆ ทว่ายังคงต่อสู้พัวพันกันไม่อาจแยกได้ เซียวเยว่ชิงเสาะหาสถานที่ปลอดภัยอีกครั้ง ตะโกนบอกอีกฝ่ายว่า “อี้อ๋องพ่ะย่ะค่ะ คนของต้ามั่วบุกโจมตีแล้ว!”
เขาตะโกนด้วยเสียงดังสุดทันที
จากนั้น…
“….”
ยังคงไม่มีใครใส่ใจเขาอีก
“อี้อ๋องพ่ะย่ะค่ะ…”
แม่ทัพเซียวสีหน้าเศร้าสลด ไม่รู้ว่าตนเองสมควรเอ่ยอะไรอีกแล้ว
องค์ชายและท่านอ๋องพวกนี้ พวกเขาไม่รู้ตัวหรือว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ของเป่ยเฉิน บนบ่าสมควรแบกภาระหน้าที่หนักหนาเพียงใด
วันๆ รู้จักแต่ประลองต่อสู้ ไม่ทำเรื่องที่ควรทำ! ใจจริงเขาอยากด่าคนเหลือเกิน
อีกอย่าง
เขารู้สึกว่าตัวเองตะโกนรายงานตั้งแต่ด้านล่างกำแพงเมืองไปจนถึงบนกำแพงล้วนไม่มีใครสนใจเขา เซียวเยว่ชิงรู้สึกโดดเดี่ยวเหลือเกิน
เห็นทหารต้ามั่วรุกคืบเข้ามาใกล้ทุกที อีกทั้งผู้นำทัพยังเป็นเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ที่หลายวันก่อนถูกเขาทำคนไล่จากไป
เซียวเยว่ชิงไม่มีอารมณ์ตะโกนเรียกใครอีกแล้ว
หากมิรีบลงไปสั่งการรับศึก วันนี้เกรงว่าจะรักษาชายแดนไว้ไม่อยู่ !
เขาวิ่งลงไปอย่างร้อนรน หลูเซียงฮั่วก็แตกตื่นมา “เป็นอย่างไรบ้าง”
“คิดซะว่าองค์ชายสี่กับอี้อ๋องไม่ได้อยู่ที่นี่ก็แล้วกัน พวกเราสมควรทำอะไรก็ทำเถอะ! เร็วเข้า รีบจัดทัพรับศึก!” เซียวเยว่ชิงตัดสินใจในบัดดล เลือกการตัดสินใจในสิ่งที่ลดความเสียหายกับฝ่ายตนให้น้อยที่สุด
หลูเซียงฮั่วเองก็ตื่นเต้น ผู้นำทัพไม่อยู่ พวกเขากังวลเหลือเกินว่าจะสู้ไม่ได้ แต่ว่ายามนี้นอกจากจัดทัพรวมถึงปิดเมืองไม่ออกไปรับศึกแล้ว ก็ไม่มีหนทางอื่นอีก!”
ขณะคิด เขาก็รีบพุ่งไปสั่งการทหารม้า
ไม่นาน ทัพใหญ่ของราชสำนักเป่ยเฉินก็มาถึงประตูเมือง ประตูเมืองยังคงปิดสนิท เหล่าทหารเห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับกูเยว่อู๋เหินต่อสู้กันไม่ไกลจากประตูเมืองเท่าไหร่ ก็ตกสู่ภวังค์เงียบงัน
ความจริงพวกเขาอยากเอ่ยเหลือเกิน “พวกท่านทั้งสองหลบไปหน่อยได้หรือไม่ ไปต่อสู้กันที่อื่น พวกเราต้องป้องกันประตูเมือง หากศัตรูเข้ามาทลายประตูเมืองจะทำอย่างไร”
พวกเขาอยากเอ่ยเหลือเกิน แต่กลับไม่มีใครกล้าเอ่ยออกไป
ดังนั้นแต่ละคนหน้าตาอึ้งทึ่ง มองคนทั้งสองตรงหน้าอย่างจนปัญญา แม่นางเยี่ยเม่ยจะกลับมาเมื่อไรกัน ช่วยมาปกครองชายแดนนี้ให้สงบเสียที ไม่เช่นนั้นคงพินาศกันแน่แล้ว!
“แม่ทัพเซียว ทำอย่างไรดี” นายทหารผู้หนึ่งมองเซียวเยว่ชิง
เซียวเยว่ชิง “…”
พวกเขาจะทำอะไรได้บ้าง
เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
เขาคงไม่อาจพุ่งเข้าไปใช้ไม้ไล่ต้อนให้องค์ชายสี่และกูเยว่อู๋เหินเปิดทางให้เหมือนกำลังไล่ต้อนเป็ดกระมัง
“ข้าล่ะหวังจริงๆ ว่าตอนนั้นข้าไม่ขออาสามาเฝ้าชายแดน!” เซียวเยว่ชิงปาดน้ำตาที่หางตา
ในใจของเซียวเยว่ชิง ‘ชายแดนนี้สมควรเป็นเมืองที่ยากรักษาอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์แล้ว!’
ผู้นำทัพเหล่านี้ไม่ช่วยรับศัตรูก็ช่างเถอะ ไม่สั่งการก็ช่างเถอะ ซ้ำยังต่อสู้กันบังจุดป้องกันเมือง ไม่เว้นที่ทางให้ใครสักคน!
ความจริงเขาอยากเข้าไปถามองค์ชายสี่และกูเยว่อู๋เหินเหลือเกิน ‘พวกท่านเป็นสายลับของต้ามั่วใช่หรือไม่’
ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนจ้องมองพวกเซียวเยว่ชิงอยู่ตลอด แอบเกิดความเห็นใจอยู่เงียบๆ หากพวกนางอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน ซินเยว่เยี่ยนเกรงว่าคงเกิดความคิดถอดเกราะกลับไปทำนาแล้ว
ยังดีที่
ในเวลานี้เอง
ในเมืองพลันมีทหารผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา จากนั้นรายงานด้วยความดีใจว่า “ข่าวดีๆ แม่นางเยี่ยเม่ยกลับมาแล้ว !”
“อะไรนะ ? !”
คนทั้งหมดยามนี้ตื่นเต้นยินดี
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนและกูเยว่อู๋เหินเองก็หยุดปะทะกันในยามนี้ สองคนสบตากัน รั้งมือกลับอย่างพร้อมใจ ไม่ต่อสู้อีก
ในเมื่อถึงยามนี้ยังไม่อาจพิสูจน์แพ้ชนะ หากเยี่ยเม่ยเห็นพวกเขาต่อสู้กันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่
ส่วนบนกำแพงเมือง
จิ่วหุนกับเป่ยเฉินอี้ก็ชะงักไปแล้ว
จิ่วหุนหยุดมือทันที เขาร่นถอยไปหลายก้าว ยามนี้ร่างกายเขายังไม่หายดี หากให้เยี่ยเม่ยเห็นว่าเขาต่อสู้กับ เป่ยเฉินอี้คงโดนนางอบรมแน่
เขาโดดออกจากวงล้อม รีบเช็ดเลือดที่มุมปาก แสร้งทำเป็นเหมือนว่าพวกเขาไม่เคยต่อสู้กันมาก่อน
เดิมทีเป่ยเฉินอี้ก็หาได้คิดสู้กับจิ่วหุนอยู่แล้ว ในสายตาเขา การต่อสู้กับจิ่วหุน เดิมทีก็เป็นการต่อสู้โดยไร้ความหมาย เมื่อจิ่วหุนเลิกสู้ เขาก็รั้งมือกลับ ทั้งเช็ดรอยเลือดที่มุมปากตนเช่นกัน
บุรุษทั้งสี่แทบจะสงบลงในเวลาเดียวกัน
จากสถานการณ์ดุเดือดเลือดพล่านเมื่อครู่ จนถึงต่างฝ่ายต่างเคารพกันละกัน แทบจะเรียกว่าเป็นฉากพี่น้องได้พบกันแล้ว ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนที่ดูอยู่ชะงักงัน คนทั้งสี่นี่กำลังเล่นตลกอยู่หรือไง
เยี่ยเม่ยน่ากลัวเพียงนี้เชียวหรือ
เหล่าทหารชายแดนจวนเจียนจะหลั่งน้ำตาแห่งความตื่นเต้นยินดีออกมาแล้ว ดีเหลือเกิน องค์ชายสี่กับประมุขกูเยว่เลิกต่อสู้ขวางประตูเสียที ในที่สุดพวกเขาก็สามารถปกป้องชายแดนได้แล้ว
คนทั้งหมดดีใจเหลือเกิน…
ดังนั้นยามเยี่ยเม่ยปรากฏตัวหน้าประตูเมืองชายแดน ทหารทัพใหญ่หลายแสนนาย โบกง้าวยาวให้นางด้วยความยินดีเบิกบาน น้ำตาคลอเบ้าเอ่ยว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ท่านกลับมาเสียที!”
เยี่ยเม่ยชะงักงัน มองคนทั้งหมดกระบอกตาแดงรื้น ท่าทางคล้ายซาบซึ้งจนน้ำตาไหล ถามว่า “พวกเจ้าเป็นอะไร”
ถึงนางเป็นคนมั่นใจในตัวเองมาตลอด แต่ว่าไม่เคยรู้เลยว่า นางได้รับความนิยมในชายแดนถึงเพียงนี้! จากไปไม่กี่วัน คนทั้งหลายมาต้อนรับนางน้ำตานองหน้า
เหล่าทหารมองพวกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทีหนึ่ง ทั้งไม่กล้าเอ่ยความจริง ได้แต่เอ่ยด้วยน้ำตาคลอว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย พวกเราคิดถึงท่านแล้ว!”