เยี่ยเม่ยเงียบไป ไม่รู้จะตอบกลับอย่างไร
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก้าวนำออกมา เดินไปหาเยี่ยเม่ย ท่าทางยังสง่างามสบายอารมณ์ แต่สุดท้ายยังเจือความไม่ยินดีอยู่บ้าง เขาถามขึ้นว่า “ไปไหนมา”
นางออกจากเมืองไม่ล่ำลาสักคำ เขากังวลอยู่หลายวันว่านางจะไปแล้วไม่กลับมาอีก คราวนี้เห็นนางกลับมา สายตากลับมิได้มองเขา องค์ชายสี่สงสัยเหลือเกินว่าเขาสูญเสียความโปรดปรานไปแล้วใช่หรือไม่
คิดไม่ถึงว่า เมื่อเขาเอ่ยถามเช่นนี้ เยี่ยเม่ยที่เดิมไม่ใส่ใจเขา ก็คร้านจะมองเขา นางไม่ตอบคำถาม ปรายตามองกูเยว่อู๋เหิน “ท่านประมุขกูเยว่มาได้อย่างไร”
เมื่อคำถามนี้เอ่ยออกมา บรรยากาศรอบๆ พลันไม่ปกติแล้ว
ต่อให้เป็นทหารที่มีความรู้สึกช้า หรือว่าสมองทึ่มหน่อยยามนี้ยังรู้สึกถึงความผิดปกติ คำถามที่เตี้ยนเซี่ยถาม แม่นางเยี่ยเม่ยไม่ตอบก็ช่างเถอะ ยังหันไปถามประมุขกูเยว่ที่อยู่ด้านหลังก่อนอีก
อืม
คนทั้งหมดยามนี้รู้สึกถึงอากาศรอบด้านที่เย็นเยือกลง พวกเขารู้สึกว่าเย็นวาบไปทั้งหัวสุนัขของตน อยากให้ใครสักคนช่วยสวมหมวกบนหัวสุนัขและสวมผ้าพันคอให้เพื่อกันหนาว
กูเยว่อู๋เหินกวาดสายตามองเยี่ยเม่ยนิ่งๆ เอ่ยเสียงเรียบว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยเคยบอกว่า รอที่จะได้พบกันอีก!”
เมื่อเขาเอ่ยออกมา ความเย็นเยือกที่แผ่ออกจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ่งทวีความเข้มข้น
รอที่จะได้พบกันอีก?
องค์ชายสี่ใช้สายตาไม่พอใจมองเยี่ยเม่ย กลับพบความเย็นชาราวกับจะผลักคนไสคนให้ห่างออกไปพันลี้จากนาง นับตั้งแต่กลับมาจนถึงยามนี้ สายตานางยังไม่กวาดมองเขาเลย ทำให้เขาสมองช้ากว่านี้ ก็ยังตระหนักได้ว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง
เยี่ยเม่ยฟังคำของกูเยว่อู๋เหินมุมปากก็กระตุก
วันนั้นนางรับน้ำใจของผู้อื่น ย่อมตอบว่าไว้พบกันอีก วันนี้กูเยว่อู๋เหินเอ่ยออกมากลับทำให้คนรู้สึกคลุมเครือ
เหล่าทหารในที่นี้ต่างก็แตกตื่น หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าจะเกิดเรื่องแล้ว
คราวนี้กลับเป็นเซียวเยว่ชิงที่รู้ทันสถานการณ์ ก้าวไปข้างหน้า “แม่นางเยี่ยเม่ย เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่นำทัพบุกตีเมืองแล้ว!”
“เช่นนั้นก็ออกไปรับศึก ข้าจะทำทหารไล่สังหารพวกเขาด้วยตัวเอง!” เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมาดังสะท้านกึกก้องไปทั่ว
เหล่าทหารทั้งหมดพลันรู้สึกถึงความทรงพลัง ความรู้สึกจนปัญญา หมดคำพูดและอึ้งทึ่งก่อนหน้านี้ จนมาถึงความตื่นเต้นยินดีในยามนี้ ในใจของพวกเขายิ่งเห็นเยี่ยเม่ยประดุจนางฟ้าไปแล้ว
“ดี !” เซียวเยว่ชิงทั้งตื่นเต้นระคนยินดี ตอบรับอย่างรวดเร็ว รีบสั่งการคนทั้งหมดเปิดประตูออกไปรับศึก
เยี่ยเม่ยกวาดตามองบุรุษรูปงามทั้งสี่ “พวกท่านจะตามข้าออกไปรบ หรือว่าจะหลบถอยไปอย่ามาเกะกะ มีเรื่องอะไร รอสงครามจบก่อนค่อยพูดกัน!”
เมื่อนางเอ่ยออกมา เหล่าทหารเริ่มเปรียบเทียบนางกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเป่ยเฉินอี้ พลันรู้สึกว่า แม่นางเยี่ยเม่ยช่างรู้จักหนักเบา อีกทั้งมีคุณธรรมจรรยา ทหารแต่ละคนพากันตื้นตันเสียน้ำตาคลอเอ่อล้นหางตา
รวมถึงแม่ทัพหลายคนที่มีเซียวเยว่ชิงเป็นผู้นำ ยามนี้ยังคิดลงชื่อให้ฝ่าบาทย้ายเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเป่ยเฉินอี้ที่ไม่ทำงานซ้ำยังทำลายขวัญทหารกลับเมืองหลวงไปเสีย ทิ้งแม่นางเยี่ยเม่ยไว้ที่นี่คนเดียวก็พอแล้ว
เขาคิดด้วยน้ำตาคลอเบ้า
บุรุษรูปงามทั้งสี่ฟังคำพูดของเยี่ยเม่ย ถึงเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคิดว่าเยี่ยเม่ยในวันนี้มีบางอย่างผิดปกติ แต่ว่าก็ยังพลิกกายขึ้นม้า เอ่ยด้วยเสียงน่าฟัง “เมื่อฮูหยินสั่งการ เยี่ยนย่อมเป็นกำลังช่วยเหลือเคียงบ่าเคียงไหล่กับฮูหยิน!”
เป่ยเฉินอี้กวาดตามองคนทั้งหมด หัวเราะเบาๆ จากนั้นก็เดินลงจากกำแพงเมือง พลิกกายขึ้นมา “ผู้นำทัพมีคำสั่งแล้ว หากข้ายังไม่ร่วมศึกอีก นั่นไม่เท่ากับข้ามีเจตนาอื่นหรือ”
กูเยว่อู๋เหินไม่เอ่ยมากความ ตวัดสายตามองเฉิงฉู่ บ่าวรับใช้คนสนิทผิวปาก ม้าของเขาก็วิ่งกลับ กูเยว่อู๋เหินกระโดดขึ้นม้า
ถึงเรื่องการต่อสู้ที่ชายแดนไม่เกี่ยวพันอะไรกับเขา แต่ว่าความหมายของเยี่ยเม่ยคือ การสู้ศึกนี้เท่ากับช่วยนาง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาย่อมต้องร่วมศึกด้วย
จิ่วหุนยิ่งรีบวิ่งลงมาทันที ท่าทางคล้ายเด็กน้อยเชื่อฟังติดตามอยู่ด้านหลังเยี่ยเม่ย ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนที่มองด้วยความตะลึงงัน พวกนางพบว่าจิ่วหุนที่บอกว่าลงมือก็ลงมือผู้นั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยเม่ยกลายเป็นเหมือนกระต่ายน้อยแสนเชื่องตัวหนึ่ง
เซียวเยว่ชิงก็คิดไม่ถึงว่า คำพูดประโยคเดียวของเยี่ยเม่ย ถึงกับทำให้บุรุษทั้งหลายที่ไม่สนใจความเป็นตายของพวกตนเลย พลันเปลี่ยนไปจริงจังเคร่งขรึมเช่นนี้ นาทีนี้ในใจเขารู้สึกนับถือเยี่ยเม่ยเหมือนสายน้ำไหลเวียนไม่มีวันหยุด
เขาโบกมือสั่งการเหล่าทหารตั้งแถวเรียบร้อยด้วยดวงตาพร่าเลือนไปด้วยน้ำตา
เมื่อประตูเมืองเปิดออก
เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่เพิ่งนำทหารเข้าใกล้เข้ามา เห็นคนด้านในทัพทั้งหมด เขาก็ตกสู่ความเงียบใบหน้าอึ้งทึ่ง
เขาโบกมือสั่งให้ทหารต้ามั่วหยุดลงพร้อมเขา
ทหารต้ามั่วทั้งหลายเองก็อึ้งเช่นกัน รู้สึกว่าใบไม้แห้งในฤดูใบไม้ร่วงเหน็บหนาวปลิดปลิวอยู่เบื้องหน้าพวกเขา รวมถึงลมฤดูหนาวพัดมาแล้ว
ทำเอาพวกเขาพลันรู้สึกไม่สบายกาย ถึงขั้นคิดหาหมวกไหมพรมใบหนึ่งมาสวมศีรษะเพื่อช่วยลดความหนาวบนหัวสุนัขของตน
ไหนว่า…
เยี่ยเม่ยไม่อยู่ชายแดน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับกูเยว่อู๋เหินกำลังต่อสู้กัน เป่ยเฉินอี้กับจิ่วหุนก็โรมรันพันตู ไม่มีใครสนใจเรื่องการศึก เป็นโอกาสดีที่พวกเขาบุกโจมตีมิใช่หรือ
ยามนี้มันสถานการณ์อันใดกัน
เยี่ยเม่ยที่บอกว่าไม่อยู่ ยามนี้นำทัพอยู่แนวหน้า บุรุษรูปงามทั้งสี่ที่ว่าต่อสู้กันขี่ม้าตั้งแถวตามหลังเยี่ยเม่ยพร้อมเพรียง ท่าทางเหมือนกำลังจะทำศึกตัดสินเป็นตายกับพวกเขา
เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ตะลึงงันแล้ว…
ต่อให้เยี่ยเม่ยกลับมาแล้ว พวกเขาเลิกสู้กัน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนช่วยเยี่ยเม่ย จิ่วหุนช่วยเยี่ยเม่ยก็ช่างเถอะ แต่ว่าเรื่องพวกนี้เกี่ยวอะไรกับกูเยว่อู๋เหินด้วยเล่า
ถึงเขาไม่เคยพบกูเยว่อู๋เหินมาก่อน แต่ว่าสายรายงานว่าอีกฝ่ายต่อสู้กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ตามคำเล่าลือกูเยว่อู๋เหินมีรสนิยมสูงส่ง มีกลิ่นอายเฉยชา สมควรเป็นบุรุษด้านหน้านี้ไม่ผิดแน่
ใครบอกเขาได้บ้างว่า ประมุขกูเยว่สอดมือเรื่องการศึกนี้เพราะอะไรกันแน่
ไม่สิ
นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
ที่สำคัญคือ เขาหลงคิดว่าตนจะตีฝูงมังกรไร้หัวให้ย่อยยับ ผลคือเยี่ยเม่ยกลับมา ไม่ต้องเอ่ยถึงเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เป่ยเฉินอี้และจิ่วหุนที่มีพลังรบร้ายกาจ ยังมีกูเยว่อู๋เหินโยนหินซ้ำเติมเตรียมร่วมศึกด้วยอีก
ลมหนาวยะเยือกพัดมาระลอกหนึ่ง เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่รู้สึกว่าหางตาเขาถูกลมพัดจนปวดแสบ เสี้ยววินาทีหนึ่งที่เขาคิดร้องไห้ออกมาแล้ว
เขาหันกลับมองรองแม่ทัพด้านหลัง ตวาดเสียงก้องว่า “สายของพวกเราทรยศแล้วหรือไง”
นี่ไม่เท่ากับขุดหลุมใหญ่ให้ตัวเองโดดลงไปแล้วหรือ
รองแม่ทัพตีสีหน้าเศร้า ต่อให้เขาโง่แค่ไหน ก็มองออกว่ายามนี้พวกเขากำลังเผชิญกับสถานการณ์เลวร้าย