หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 990 เข้า
ด้านนอกของเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณ
คลื่นหลิงป่าเถื่อนกวาดออกมาราวกับพายุ ผืนดินยังสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นจากการต่อสู้ ในการแข่งขันชิงที่นั่งนี้ ทุกคนทุ่มกันสุดพลังเลยทีเดียว
ในแท่นรับสิบแท่น ตำแหน่งของมู่เฉินตัดสินเร็วที่สุดไม่เหมือนตรงจุดอื่น นับตั้งแต่เขาเอาชนะจงฮั้วแบบม้วนเดียวจบ ก็ไม่มีใครท้าทายเขาอีก
แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขากลัวมู่เฉิน แต่เป็นเพราะแท่นรับตอนนี้เต็มไปด้วยลวดลายแสง ซึ่งได้ผสมรวมผืนฟ้าและผืนดิน กะพริบไหวราวกับหมู่ดาว
จอมยุทธ์บางคนเพ่งสายตาไปเมื่อเห็นลวดลายแสงที่อัดแน่นก็รู้สึกหนังหัวชาหนึบ ไม่มีใครรู้ว่ามู่เฉินสร้างค่ายกลไว้จำนวนเท่าใด
แท่นรับนี้เป็นป้อมปราการค่ายกลชัดๆ ส่วนมู่เฉินที่อยู่ภายในก็อยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีทางแพ้…
นี่คือส่วนที่น่าสะพรึงกลัวของหลิงเจิ้นซือ ตราบใดที่มีเวลาเพียงพอพวกเขาก็จะสามารถสร้างปราการที่น่ากลัวได้ ผู้บุกรุกเข้าไปจะได้รับผลกระทบจากการทำลายล้างนี้
ภายใต้สายตาเหล่านั้น มู่เฉินก็สะบัดนิ้วขณะที่เกลียวสัญลักษณ์หลิงยิ่งหลั่งไหลออกไปรวมตัวกันในมิติที่ว่างเปล่าเพิ่มอีก ก่อนที่เขาจะตบมือเบาๆ ใช้ประโยชน์จากเวลาที่มีเขาก็สร้างค่ายกลตราประทับคิริเทวโลกขึ้นมาอีกครั้ง นอกจากนี้ยังมีค่ายกลระดับตี้จำนวนนับไม่ถ้วนซ่อนอยู่ภายใน เมื่อรวมเข้าด้วยกันพลังอำนาจของมันก็เรียกว่าน่าอัศจรรย์ใจเลยทีเดียว
ถ้าจงฮั้วกล้าเข้ามาอีกครั้ง มู่เฉินมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่รอดแน่
เมื่อกระบวนการเสร็จสิ้น มู่เฉินก็ผ่อนคลายลง ยามนี้เขาไม่กลัวใครอีกแล้วและเขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าในบรรดาจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดไม่มีใครมีความสามารถที่จะยึดแท่นรับนี้ไปจากเขาได้
เมื่อคลายความตึงเครียด มู่เฉินก็มีอารมณ์ที่จะกวาดมองไปยังแท่นรับอีกเก้าแห่ง การต่อสู้ดุเดือดยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางคลื่นหลิงรุนแรงก็ปรากฏรูปร่างที่แตกต่างของเทพอสูร เสียงคำรามทุกรูปแบบดังก้องข้ามขอบฟ้า
เขามองไปที่แท่นรับที่มั่วเฟิงยืนหยัดอยู่เป็นลำดับแรก เมื่อเพ่งสายตาไปก็อดหดเกร็งม่านตาลงไม่ได้
คู่ต่อสู้ของมั่วเฟิงเป็นโฉมสะคราญที่มีปีกสีแดงเข้มกางออกที่ด้านหลัง ขนนกแสงนับไม่ถ้วนส่งเสียงหวีดหวิวรอบร่างนาง รัศมีแหลมคมครอบงำออกมา กรีดมิติกลายเป็นช่อง
นางเป็นอัจฉริยะของเผ่ากระเรียนไฟที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด รัศมีคมกริบของนางแข็งแกร่งยิ่งกว่าจงฮั้ว นางเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามอย่างชัดเจน
แต่เผชิญหน้ากับการโจมตีที่เฉียบแหลมนี้ สีหน้าของมั่วเฟิงก็ยังสงบเรียบขณะที่ถอยกลับ ดูเหมือนกำลังตกไปในจุดที่ถูกยับยั้งไว้จนไม่สามารถต่อสู้ได้
ทว่าเมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ ดวงตาก็หรี่ลงขณะที่จ้องมองมั่วเฟิง นั่นเพราะเขาสัมผัสได้อย่างคลุมเครือว่าคลื่นหลิงที่ล้อมรอบอีกฝ่ายกำลังเดือดขึ้นราวกับว่ากำลังเตรียมการอะไรอยู่
“นั่นคือ…”
มู่เฉินจ้องมองไปที่มั่วเฟิง ม่านตาก็หดลง
กีดดด!
มั่วเฟิงถอยไปจนถึงขอบแท่นรับในที่สุดก็หยุดลง สายตามองไปที่อัจฉริยะเผ่ากระเรียนไฟอย่างเรียบเฉย เขาวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว เสียงลมดังหวีดหวิวขึ้นมาจากร่างกายเขา
บึ้ม!
ปีกหงส์ฟ้าสีแดงแผ่ออกที่ด้านหลังมั่วเฟิงมีขนาดประมาณร้อยจั้ง ตัวปีกกระพือวูบไหว เกลียวไฟสีแดงเข้มก็ก่อตัวกวาดออกไปทุกทิศทุกทางราวกับทะเลเพลิง
ขณะที่เพลิงเข้มข้นกวาดออก ภาพหงส์ฟ้าก็ก่อตัวขึ้น แรงกดดันทรงพลังที่อธิบายไม่ได้กระจายออกมา
เมื่อหญิงสาวเผ่ากระเรียนไฟเห็น สีหน้าก็เปลี่ยนทันที นางตะโกนว่า “เจ้าไม่ได้มาจากเผ่าวิหคโลกันตร์เรอะ? ทำไมถึงมีเพลิงหงส์ฟ้าได้?!”
ที่เรียกว่าเพลิงหงส์ฟ้าสามารถได้รับจากการฝึกฝนของชนชั้นสูงของเผ่าหงส์ฟ้าเท่านั้น พวกมันมีพลังที่ครอบงำสามารถเผาท้องฟ้าต้มท้องทะเล ยิ่งกว่านั้นที่สำคัญก็คือเพลิงหงส์ฟ้าเหล่านี้สามารถปราบปรามเหล่าสัตว์อสูรกลางหาวได้ ซึ่งหญิงสาวเผ่ากระเรียนไฟก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
ฉ่า! ฉ่า!
เพลิงสีแดงเข้มกวาดออกมาปะทะกับกระบี่ขนนก ทันใดนั้นกระบี่ขนนกก็ละลายลง เพลิงหงส์ฟ้าก็ราวกับตัวหนอน เคลื่อนไปยังหญิงสาวเผ่ากระเรียนไฟอย่างรวดเร็ว
ท่าทางของหญิงสาวเปลี่ยนไปอย่างมาก นางรีบถอยร่น ไม่กี่อึดใจก็ถอยออกจากแท่นรับนี้ ก่อนที่จะจ้องเขม็งไปที่มั่วเฟิงแล้วสะบัดหน้าหนีไปอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวคนนี้มีความเด็ดขาดแท้จริงเมื่อรู้ว่าด้วยเพลิงหงส์ฟ้านี้มั่วเฟิงจะยืนอยู่ในตำแหน่งผู้ชนะ นางไม่มีโอกาสชนะในการต่อสู้ครั้งนี้เลย การลากศึกออกไปรังแต่จะเสียเวลาเปล่า
มั่วเฟิงมองไปจอมยุทธ์หญิงเผ่ากระเรียนไฟที่ถอยกลับไป สีหน้าก็ยังคงสงบนิ่ง ด้วยการสะบัดแขนเสื้อเพลิงหงส์ฟ้าสีแดงก็หดตัวเข้ามาแล้วถูกเขากลืนกินกลับเข้าไป
เมื่อจอมยุทธ์คนอื่นๆ ที่ตั้งใจจะจัดการกับมั่วเฟิงเห็นฉากนี้ ท่าทางพวกเขาแข็งทื่อ ก่อนที่จะมองชายหนุ่มด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและหวาดเกรง
พวกเขาเห็นมั่วเฟิงมาในนามเผ่าวิหคโลกันตร์กับตา แล้วเขาจะปลูกฝังเพลิงหงส์ฟ้าได้อย่างไร? เขาเกี่ยวข้องกับเผ่าหงส์ฟ้ายังไง?
“เพลิงหงส์ฟ้าเรอะ…”
มู่เฉินไม่แปลกใจกับภาพนี้ เนื่องจากเขาได้เห็นสิ่งนี้จากมั่วหลิงมาก่อนแล้ว สองพี่น้องต้องมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเผ่าหงส์ฟ้าแน่นอน
ทว่ามู่เฉินก็ไม่เก็บมาคิดมากเกินไป ทุกคนย่อมมีความลับของตัวเอง ตัวเขาก็ไม่อยากไปขุดดูความลับของผู้อื่น ดังนั้นเขาจึงส่ายหัวระงับความคิดก่อนที่จะยิ้มบางให้มั่วเฟิง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันมั่วเฟิงน่าจะสามารถรักษาที่นั่งในแท่นรับนี้ได้แล้ว นั่นก็หมายความว่ากลุ่มของพวกเขาครอบครองที่นั่งสองที่ตามที่กำหนดไว้
มั่วเฟิงที่รับรู้ถึงการจ้องมองของมู่เฉินก็พยักหน้า เมื่อเขาเห็นแท่นรับของมู่เฉินที่ปกคลุมไปด้วยค่ายกลหัวใจของเขาก็สั่นเทา เขารู้สึกชัดเจนถึงภัยคุกคามที่เกิดขึ้นจากค่ายกล
ดูท่าความรู้ของมู่เฉินในศาสตร์ค่ายกลแข็งแกร่งกว่าความคาดหมายของเขามาก
ตู้มมมม!
หลังจากผลลัพธ์ถูกกำหนดจากแท่นรับของมู่เฉินและมั่วเฟิง แท่นรับอื่นๆ ก็เริ่มแสดงผลลัพธ์เช่นกัน คนแรกที่ทำให้ทุกคนตกใจคือหานซันจากเผ่าแรดอสูร
คู่ต่อสู้ของเขาก็คือสีคุนจากเผ่าอสูรกุญชรซึ่งมีความแข็งแกร่งคล้ายคลึงกัน พวกเขาทั้งสองต่างมีพละกำลังที่เหนือกว่าคนอื่น ดังนั้นการเผชิญหน้าของพวกเขาเหมือนศึกปะทะกันระหว่างพญาแรดและพญาช้างโบราณ ทุกครั้งที่ปะทะกันทำให้พื้นดินสะเทือนเลื่อนลั่น
ทว่าหลังจากทั้งสองฟัดกันหลายร้อยกระบวนท่าหานซันก็เป็นผู้ชนะ เขากระแทกสีคุนหลุดออกจากแท่นรับในกระบวนท่าสุดท้าย
เมื่อสีคุนร่อนลงมาที่พื้นด้วยสีหน้าซีดขาว เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ทะยานไปยังแท่นรับอื่นทันที เห็นได้ชัดว่าคู่ต่อสู้จุดอื่นจัดการง่ายกว่าหานซัน
ถัดจากหานซันที่ได้ครอบครองที่ แท่นรับต่อไปก็คือจงเถิงเผ่ากระเรียนฟ้า พลังของชายคนนี้ไม่ธรรมดา เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในอันดับต้นๆ เลยทีเดียว ดังนั้นเมื่อเขาโจมตีด้วยพลังทั้งหมด จึงมีคนไม่มากนักที่สามารถเผชิญหน้ากับเขาได้ สุดท้ายเขาก็ได้ที่นั่งมาอย่างราบรื่น จอมยุทธ์คนอื่นๆ ของเผ่ากระเรียนฟ้าก็ยืนคุมเชิงบนท้องฟ้าเหนือแท่นรับเพื่อข่มขวัญเผ่าอื่นๆ
หลังจากการต่อสู้ดุเดือดบนแท่นรับ ผลลัพธ์ก็ค่อยๆ กำหนดได้แล้ว…
อัจฉริยะจากเผ่านักกะกลืนฟ้า ลู่เจี่ย
เผ่ามังกรวานร เฉินจ้าน
และสีคุนเผ่าอสูรกุญชรที่พ่ายแพ้ให้กับหานซันมาก่อน…
มู่เฉินกวาดสายตามองไปก่อนที่จะหยุดลงตรงแท่นรับสุดท้ายก็ต้องอึ้งไปพร้อมกับคิ้วขมวดแน่น นั่นเป็นเพราะเขาตระหนักได้ว่าจอมยุทธ์ที่ครอบครองแท่นรับเป็นคนหน้าคุ้น ชายคนนี้ก็คือจอมยุทธ์จากเผ่าอีกาสายฟ้าที่พวกเขาปะทะกันในวงแหวนอุกกาบาต
ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาที่นี่และได้แท่นรับไปเหมือนกัน
เมื่อมู่เฉินเห็นชายชุดดำเผ่าอีกาสายฟ้า อีกฝ่ายก็สัมผัสถึงได้ก็เงยหน้าขึ้น หลังจากได้เห็นมู่เฉินเขาก็ขมวดคิ้วก่อนที่จะมองไปที่แท่นรับซึ่งปกคลุมไปด้วยค่ายกล ดวงตาเขาก็หดลงเล็กน้อย
มู่เฉินไม่สนใจถอนสายตากลับไป หลังจากการต่อสู้ดุเดือดบนแท่นรับทั้งสิบในที่สุดบรรยากาศก็สงบลง จอมยุทธ์สิบคนคือคนที่ยืนอยู่ในจุดสูงสุด
เว้นแต่ไม่รู้ว่าใครจะประสบความสำเร็จที่ดีที่สุดในเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณและได้รับโอกาสยอดเยี่ยมไป
ความคิดไหลเวียนอยู่ในใจ มู่เฉินก็มองไปที่เจดีย์โบราณกะดำกะด่าง ก่อนที่สายตาจะร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ โอกาสสำหรับเขาที่จะบรรลุขั้นสองของคัมภีร์หลงเฟิ่งอยู่ในนั้น
ในเวลาเดียวกันพายุคลื่นหลิงในบริเวณนี้ก็ค่อยๆ สงบลง โดยมีจอมยุทธ์ทั้งสิบยืนตระหง่านอยู่บนแท่นรับ แต่ละคนมีรัศมีที่น่าประทับใจ ชัดว่าล้วนไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา
ครืน!
เมื่อพายุคลื่นหลิงสงบลง ทันใดนั้นเสียงโบราณก็ดังกึกก้องมาจากเจดีย์ ทุกคนสามารถมองเห็นแสงไหลเวียนอยู่บนพื้นผิวของเจดีย์โบราณ ซึ่งก่อตัวขึ้นเป็นลำแสงสิบสายล้อมรอบร่างเงาทั้งสิบเอาไว้
เมื่อลำแสงห่อหุ้มร่าง มู่เฉินก็รู้สึกถึงแรงดูดที่พยายามดึงร่างกายเขาเข้าไป ดวงตาของเขาวูบไหว ก่อนที่จะหยุดการต่อต้าน
ฟิ้ว!
ลำแสงพุ่งกลับไปพร้อมกับนำตัวจอมยุทธ์ที่ได้ที่นั่งมาด้วย พวกเขาทะยานเข้าไปภายใต้สายตาร้อนแรงนับไม่ถ้วน เข้าไปในเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณ
จิ่วโยวมองมู่เฉินที่ถูกพาเข้าไปภายในเจดีย์ก็กำมือแน่น ต่อจากนี้ไปนางไม่สามารถให้ความช่วยเหลือแก่มู่เฉินได้ เขาจะต้องพึ่งพาตนเองเพื่อความสำเร็จที่จะได้รับ…