บทที่ 991 ภายในเจดีย์

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 991 ภายในเจดีย์

ขณะที่ลำแสงพามู่เฉินเข้าไปในเจดีย์โบราณ

เขาสามารถสัมผัสชัดเจนถึงคลื่นหลิงที่น่ากลัวและรุนแรงที่พลุ่งพล่านรอบตัว ระลอกคลื่นน่าขนพองสยองเกล้าทำให้เขาหวาดกลัวในใจ เขาไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ นั่นเป็นเพราะการรั่วไหลเล็กน้อยของคลื่นหลิงที่น่ากลัวนี้อาจทำให้เขาได้รับบาดเจ็บหนักเลยทีเดียว

ยามนี้มู่เฉินตระหนักได้ถึงความน่ากลัวของเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณแล้ว มิน่าล่ะถึงบอกว่าแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นยังไม่กล้าพุ่งเข้ามาอย่างไร้ทิศทางในสถานที่แห่งนี้

ลำแสงพามู่เฉินผ่านอุโมงค์คลื่นหลิง หลายสิบลมหายใจต่อมาร่างกายของมู่เฉินก็กระตุก ระลอกคลื่นมิติปั่นป่วนเล็ดลอดออกมา ทำให้สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปทันที…

เมื่อความมืดมิดหายไป ทะเลทรายขนาดใหญ่ก็ถูกเผยที่เบื้องหน้าเขา ที่นี่ไม่มีลมพัดผ่าน ทั่วมิติดูเหมือนตายสิ้น ไม่มีพลังชีวิตใดๆ หลงเหลือสักน้อย

มู่เฉินเบลอไปเล็กน้อยเมื่อมองไปรอบๆ เขาตระหนักได้ว่าสถานที่ที่ตนเองยืนอยู่เป็นแท่นหินโบราณที่มีรัศมีหลิงแผ่ออกมา ก่อตัวเป็นม่านพลังล้อมรอบเขาไว้

“นี่คือภายในเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณรึ?” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งจึงเงยหน้าขึ้น จากนั้นเขาก็เห็นดวงอาทิตย์สีเลือดหมูลอยอยู่เหนือทะเลทรายไม่มีที่สิ้นสุด ดูประหนึ่งลูกเพลิงสว่างโชติช่วง เมื่อแสงอาทิตย์ร้อนแผดเผาสาดส่องลงมาก็ราวกับว่าสามารถเผาโลกได้

“ดวงอาทิตย์นี้…”

ดวงตาของมู่เฉินจับจ้องไปที่ดวงอาทิตย์สีเลือดหมู สีหน้าของเขากลับเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดลงเรื่อยๆ แม้ว่าแท่นนี้จะปิดกั้นทุกอย่างจากภายนอก แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าไอความร้อนในทะเลทรายนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าทะเลลาวาเลย

“หืม?” ขณะที่มู่เฉินเปิดประสาทการรับรู้ออกไปในทะเลทรายอันใหญ่โต ทันใดนั้นเขาก็ต้องมองไปอีกทางหนึ่งก่อนที่จะเติมเต็มคลื่นหลิงเข้าไปในดวงตา จากนั้นเขาก็มองเห็นแท่นหินแบบเดียวกันอีกจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นไกลออกไปโดยมีร่างคนยืนอยู่บนแท่นเหล่านั้น พวกเขาก็คือจอมยุทธ์อีกเก้าคนที่ได้รับสิทธิ์ในการเข้าสู่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณนี้

เมื่อแต่ละคนปรากฏตัวก็ไม่ได้ตื่นตระหนกกับทะเลทรายตรงหน้า ดูท่านี่เป็นสิ่งที่ทุกคนคาดไว้

ฮึ่ม! ฮึ่ม!

เมื่อทั้งสิบคนปรากฏตัวจนครบ ม่านแสงที่ก่อตัวจากแท่นหินก็แปรปรวน แสงรวมกันที่เบื้องหน้าพวกเขาถักทอเป็นข้อความโบราณ

“เจดีย์ฝึกพลังกายแบ่งออกเป็นห้าชั้น ไม่มีกฎ ณ ที่แห่งนี้ ใครก็ตามที่สามารถเข้าสู่ชั้นห้าจะได้รับวิทยายุทธระดับเสินทงไป…”

คำพูดไม่กี่สิบคำทำเอานัยน์ตาของมู่เฉินร้อนผ่าว นั่นเพราะเจดีย์นี้มีวิทยายุทธระดับเสินทงของแท้อยู่จริง!

นั่นเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าวิทยายุทธระดับเสินซู่ขั้นเต็มเสียอีก กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนก็ยังถูกล่อใจอย่างมาก!

ถ้าเขาฝึกฝนวิชานี้ได้ เขาก็จะสามารถปราบคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันทั้งหมดได้

มู่เฉินเลียริมฝีปากขณะที่ดวงตาฉายแววปรารถนา แม้ว่าเขาจะไม่ได้หันไปมองคนอื่น เขาก็สามารถบอกได้โดยไม่ต้องคิดเลยว่าใครๆ ก็รู้สึกเหมือนเขาทั้งนั้น

วิทยายุทธระดับเสินทงเป็นวิชาที่แม้แต่อัจฉริยะเผ่าสัตว์อสูรต่างๆ ก็ไม่อาจฝึกฝนได้อย่างง่ายดาย

ข้อความคงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะค่อยๆ จางหายไป เมื่อตัวอักษรเริ่มจางลงมู่เฉินก็รู้สึกได้ว่าม่านแสงรอบตัวสลายไปราวกับว่ากำลังจะแตกออก

“กำลังจะเริ่มแล้ว!”

ดวงตาของมู่เฉินวูบไหว เขาไม่กล้าผ่อนคลายแม้แต่น้อย ด้วยความคิดวูบหนึ่ง เขาก็หมุนเวียนคลื่นหลิงขึ้นในใจแล้วกระจายออกไปห่อหุ้มร่าง

ปัง!

จังหวะที่มู่เฉินทำการป้องกันเสร็จสิ้น ม่านแสงเบื้องหน้าก็ทนต่อไปไม่ไหว สลายหายไปทันที…

ฉ่า!

ในช่วงเวลาที่ม่านแสงหายไป แสงแดดแดงฉานก็ส่องลงมา อุณหภูมิสูงอย่างน่ากลัวโอบล้อมเขาไว้ทันที ทำให้ใบหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปรุนแรง

ภายใต้อุณหภูมิที่สูงจนน่ากลัว ก่อนที่เขาจะทันได้หมุนเวียนคลื่นหลิงขึ้นมาอีกครั้ง เสื้อผ้าก็ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านทันที มิหนำซ้ำคลื่นหลิงที่ห่อหุ้มร่างก็ค่อยๆ ระเหยออกด้วยความเร็วที่เห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า

อุณหภูมิที่น่ากลัวกระจายลงมา ทำให้ผิวหนังของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เลือดในร่างกายแสดงอาการเดือดพล่าน ทั่วสรรพางค์กายแผดเผาจากแสงแดดแรงกล้านี้

“ช่างเป็นอุณหภูมิที่น่ากลัวจริงๆ!”

ร่างกายมู่เฉินสั่นไหวเล็กน้อยขณะที่สูดหายใจ นี่คือเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณรึ? น่ากลัวอย่างแท้จริง แค่ชั้นแรกก็ทรมานอย่างแสนสาหัส ไม่รู้ว่าการทดสอบด่านต่อไปจะน่าอัศจรรย์เพียงใด

ตามการประเมินของมู่เฉิน หากเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ พวกเขาสามารถทนอยู่ได้ไม่เกินสองชั่วโมงก็จะถูกเผาไหม้

เขาเอี้ยวหน้ามองไปที่ทั้งเก้าแท่น ก็มองเห็นควันลอยขึ้นมาจากหัวของแต่ละคน ร่างกายของพวกเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงดูราวกับกุ้งนึ่ง ท่าทางน่าสมเพชกันอย่างยิ่ง

ทว่าสถานการณ์นี้ก็คงอยู่ชั่วคราว ทั้งเก้าคนตอบสนองอย่างรวดเร็วและดำเนินการตอบโต้บางอย่าง

คนแรกที่คืนสภาพได้คือจงเถิงเผ่ากระเรียนฟ้า เขาโบกมือแสงสีทองก็พุ่งออกมาก่อร่างเป็นร่มสีทองอยู่ด้านบน ตัวร่มออกแบบเป็นภาพกระเรียนสีทองคำทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงสีทองกำจายออกจากร่มกั้นแสงอาทิตย์เอาไว้

เห็นได้ชัดว่าร่มสีทองนี้ไม่ใช่วัตถุธรรมดา แม้ว่าจะไม่สามารถปิดกั้นอุณหภูมิได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็สามารถปิดกั้นแสงสีแดงเลือดหมูที่น่ากลัวที่สุดไว้ได้ ด้วยวิธีนี้จงเถิงก็จะเดินทางผ่านทะเลทรายได้ง่ายขึ้น

ขณะที่จงเถิงงัดกลยุทธ์ออกมา คลื่นหลิงก็กำจายออกมาจากอัจฉริยะเผ่าอื่นๆ แต่ละคนใช้วิธีต่างๆ นานา เพื่อสกัดแสงสีแดงเลือดหมูนี้ไว้…

เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้เตรียมตัวมาพร้อม!

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ เปลือกตาก็อดกระตุกไม่ได้ ไอ้พวกนั้นโกงกันชัดๆ!

มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ มองไปที่มั่วเฟิง อีกฝ่ายไม่ได้ใช้วิธีพิเศษใดๆ แต่ปีกหงส์ฟ้าสีแดงฉานแผ่อยู่ข้างหลัง ขณะที่แสงสีแดงแล่นแปลบปลาบก็กลายเป็นเปลวไฟห่อหุ้มร่างเขาไว้ ด้วยวิธีนี้เขาสามารถป้องกันตัวเองจากอุณหภูมิสูงได้

ตอนนี้มีเพียงมู่เฉินคนเดียวที่ไม่มีวิธีพิเศษใดๆ เขาทำเพียงห่อหุ้มร่างกายด้วยพลังงานที่มี ขณะที่ลำแสงสีแดงเลือดหมูทำให้เขาอ่อนเปลี้ยเพลียแรง เมื่อเทียบกับอีกเก้าคนที่ใช้วิธีกันง่ายเช่นนี้ เขาก็ดูทนทุกข์มากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อรู้สึกถึงความทรทุกข์ทรมาน สายตาอีกเก้าคู่ก็มองมา นอกจากมั่วเฟิงที่มองอย่างช่วยไม่ได้ ส่วนที่เหลือมีความสุขบนใบหน้าที่เห็นความทุกข์ของคนอื่น

โดยเฉพาะจงเถิงและชายชุดดำที่มาจากเผ่าอีกาสายฟ้า ดวงตาทั้งสองฉายแววเยาะเย้ย ไอ้บ้านี่คิดจริงๆ หรือว่าจะแข่งขันกับอัจฉริยะเผ่าสัตว์อสูรต่างๆ อย่างพวกเขาได้โดยการใช้เพียงค่ายกลเรอะ?

เขาประเมินตัวเองสูงไปแล้ว

“ฮ่าๆ ทุกคนมาดูกันว่าใครที่จะไปถึงชั้นห้าก่อนกัน!” หานซันหัวเราะร่วน ก่อนที่ร่างจะกลายเป็นลำแสงสีดำทะยานออกไป

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

หลังจากเขาออกนำ คนที่เหลือก็เพิ่มความเร็วพยายามออกจากทะเลทรายแห่งนี้ให้เร็วที่สุดเพื่อเข้าสู่ชั้นสองและได้โอกาสในการคว้าวิทยายุทธระดับเสินทงไป

มั่วเฟิงเป็นคนสุดท้ายที่ออกไป เขาเหลือบมองมู่เฉินอย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงจะเปล่งขึ้นมา “แสงสีแดงในสถานที่นี้มีผลในการเผาผลาญคลื่นหลิง… หากเจ้าไม่สามารถทนได้ให้คิดว่าอยากออกไปแล้วเจ้าก็จะสามารถออกจากเจดีย์นี้ได้”

ในเจดีย์ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเท่านั้น ดังนั้นมั่วเฟิงจึงไม่มีวิธีช่วยเหลือมู่เฉิน ได้แต่เอ่ยเตือนเท่านั้น

“ขอบคุณพี่มั่ว เจ้าไปเถอะ” มู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

มั่วเฟิงพยักหน้าไม่ลังเลอีกต่อไป ขนหงส์ฟ้าปรากฏขึ้นห่อหุ้มร่างกายไว้ ก่อนที่ร่างเขาจะกลายเป็นเปลวไฟทะยานออกไป

เมื่อทุกคนออกไปแล้วที่นี้ก็กลับสู่ความเงียบสงบ มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองอาทิตย์จากนั้นก็ขมวดคิ้ว

เขาสัมผัสได้ว่าคลื่นหลิงในร่างกายถูกเผาไหม้อย่างรวดเร็วจากแสงแดดสีแดงเลือดหมูนี้ หากสิ่งนี้ยังคงดำเนินต่อไป เขาคงอยู่ได้ไม่นานมาก ก่อนที่พลังงานในร่างกายจะเหือดหายไปหมด

เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ ดังนั้นในสถานที่แห่งนี้มั่วเฟิง จงเถิงและคนอื่นๆ ที่มาจากเผ่าสัตว์อสูรแท้จริงจึงราวกับปลาได้น้ำ

มู่เฉินยืนอยู่บนแท่นขณะที่คลื่นหลิงอ่อนล้าลงเรื่อยๆ เขารู้สึกว่าร่างกายร้อนระอุขึ้น ความเจ็บปวดรุนแรงจากการลุกไหม้กระจายไปทั่วทุกอณู กัดเซาะเลือดเนื้อของเขา

“เจดีย์ฝึกพลังกายนี้ต้องใช้พลังภายนอกอย่างเดียวถึงจะผ่านไปได้จริงหรือ?” มู่เฉินพึมพำก่อนที่จะจ้องมองมือตัวเอง จากนั้นก็กำแน่น แววตาค่อยๆ คลายลง

ในเมื่อเจดีย์ฝึกพลังกายถูกใช้เพื่อขัดเกลาพลังกาย ดังนั้นก็ต้องใช้ร่างกายเพื่อผ่านไป แม้ว่าจะทรมาน แต่ก็เป็นรูปแบบของการขัดเกลาสภาพร่างกายไม่ใช่เหรอ?

เหตุผลที่เขาเข้ามาในเจดีย์ฝึกพลังกายก็เพื่อทำให้พลังกายแข็งแกร่งขึ้น สำหรับโอกาสที่จะคว้าวิทยายุทธระดับเสินทงคือเรื่องต่อจากนี้ต่างหาก

ในเมื่อเป็นแบบนี้ ตราบใดที่เขาสามารถทำให้ความต้องการแรกเสร็จสมบูรณ์ก็เพียงพอแล้ว

หลังจากที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ มู่เฉินก็พรูลมหายใจออกยาวๆ และยิ้มบาง ก่อนที่คลื่นหลิงรอบตัวจะถูกถอนออก เขากางแขนปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดเปิดเผยภายใต้แสงสีแดงที่น่าสะพรึงกลัว

ดังนั้นอุณหภูมิที่รุนแรงจึงเริ่มกัดเซาะราวกับคลื่นลาวา