Ch.41 – เก่งสุดในประเทศ

Translator : Asiran / Author

ตอนที่****41 – โล่ประเทศแกร่งสุด

 

สไตล์การเล่นและระดับของคนทั้งสองเหออวี้ก็ได้แอบสังเกตเห็นหมดแล้ว ในฐานะคนที่สนใจดูวงการอาชีพ KPL มาหลายปี ความแข็งแกร่งของผู้เล่นทั่วไปทำให้เขารู้สึกว่าก็งั้น ๆ แหละ แล้วเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าความแข็งแกร่งของผู้เล่นเขาแบ่งกันอย่างไรอีกด้วย จากสัปดาห์นี้ที่เขาเล่น bronze ไปจนถึง platinum เจอเพื่อนร่วมทีมกับศัตรูมากมายนับไม่ถ้วนแล้ว ว่ากันตามตรงในสายตาของเหออวี้ทั้งหมดต่างก็สรุปได้ในสามคำเท่านั้นว่า : เล่นไม่เป็น

ผู้เล่นในแรงค์พวกนี้การเล่นมีช่องโหว่พรุนไปหมด แม้แต่กฎเกณฑ์พื้นฐานของเกมที่ถูกต้องก็ยังไม่เข้าใจ ในสายตาของเหออวี้แล้วพวกเขาทุกคนล้วนเป็นนู้บ

แต่ก่อนหน้านี้ที่เล่นกับพวกซูเก๋อสี่คน ตามมาด้วยวันนี้ที่เล่นกับเกาเกอและโจวม่อทำให้ได้รับรู้ว่าเกมระดับสูงเป็นอย่างไร ผู้เล่นในแรงค์นี้เหออวี้เห็นว่าค่อนข้างจะแตกต่างออกไป ความทรงจำที่มีต่อพวกซูเก๋อสี่คนยิ่งน่าประทับใจเป็นพิเศษ ทั้งสี่คนต่างก็มีไอเดียที่แน่ชัด มีการร่วมมือที่ลงตัว ตั้งแต่เริ่มเกมก็สามารถควบคุมจังหวะเกมได้ทั้งหมด นี่ก็เหมือนกับเป็นเกมของทีมอาชีพเลย เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกันแล้วทีมอาชีพควบคุมจังหวะได้ดีกว่า รายละเอียดเกมและเรื่องอื่น ๆ ต่างก็ทำได้ยอดเยี่ยมกว่าก็เท่านั้นเอง

และในเกมไต่แรงค์ทั้งแปดเกมที่เล่นกันวันนี้เหออวี้ก็พบว่าเกาเกอกับโจวม่อก็มีความรู้ใจเข้าขากันค่อนข้างมากเลยทีเดียว ในด้านสกิลเพลย์ส่วนตัวแล้วเขากับพวกซูเก๋อนั่นก็ได้เล่นกันแค่หนึ่งเกมแล้วก็ไม่ได้เพิ่มเพื่อนด้วยก็เลยไม่สามารถมองเห็นการเล่นของพวกเขาไปมากกว่านี้ ดังนั้นตอนนี้จึงยังไม่สามารถตัดสินได้ว่าพวกเขากับเกาเกอโจวม่อใครแกร่งกว่ากัน จึงได้ตั้งคำถามเอากับเกาเกอและโจวม่อเสียเลย

“ว่าไงดีอะ” โจวม่อเกาศีรษะ “ออฟเลนของเหลียงเฉินพี่ก็ไม่คิดว่าเก่งกว่าพี่เลยนะ ที่ในเกมพี่สู้ไม่ได้ก็ไม่ใช่เพราะเขา ทั้งหมดก็เพราะซูเก๋อคนเดียว  เขาเล่นแครี่ ตำแหน่งไม่เหมือนก็เลยเทียบกันไม่ได้…”

“สู้ไม่ได้ก็คือสู้ไม่ได้ ไปดูเรื่องการใช้แครี่คนเดียวกดออฟเลนมาด้วยนะ” เกาเกอพูดกับเหออวี้

“ถ้าเปลี่ยนเป็นเหลียงเฉินก็เหมือนกันนั่นแหละ!” โจวม่อพยายามแก้ตัว

“ดูเหมือนว่าซูเก๋อจะเก่งมาก ๆ เลยนะครับ!” เหออวี้กล่าว

แครี่เป็นพวกเกิดช้า เรื่องดาเมจส่วนมากต้องไปดูกันที่กลางเกมถึงท้ายเกม ปกติแล้วต้องมีตัวซัพพอร์ตมาช่วยสนับสนุนถึงจะกล้าไปกดเลนได้ ถ้ามีอยู่คนเดียวยืนเลน ปกติแล้วก็จะโดนออฟเลนของอีกฝ่ายกดจนได้แต่อยู่ในป้อมไม่กล้าออกมา ถ้าจะให้สถานการณ์พลิกกลับคนเดียวโดด ๆ ก็สามารถกดออฟเลนอีกฝ่ายได้จะต้องมีสกิลเพลย์ส่วนบุคคลที่สูงส่งมาก โจวม่อยังไงก็เป็นถึงผู้เล่นแรงค์ conqueror แต่กลับโดนแครี่คนเดียวกดได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของซูเก๋อได้เป็นอย่างดี

“ใช่แล้ว ซุนซ่างเซียงโล่ประเทศแกร่งสุด” เกาเกอกล่าว

โล่ประเทศแกร่งสุด!

ถึงในห้าปีที่ผ่านมาเหออวี้จะเอาแต่สนใจเรื่องของวงการอาชีพเพียงอย่างเดียว แต่เขาก็ยังไม่แปลกหูกับชื่อตำแหน่งนี้ เกียรติยศสูงสุดที่ผู้เล่นคนหนึ่งจะสามารถทำได้ในเกมส่วนมากก็คือสิ่งสิ่งนี้นี่ล่ะ ในวงการอาชีพมีนักเล่นเกมอาชีพไม่น้อยที่ได้รับชื่อเสียงแบบนี้มาก็เลยถูกวงการอาชีพค้นพบแล้วสุดท้ายก็ก้าวเดินไปบนหนทางของสนามแข่งอาชีพ

และหลังจากที่กลายมาเป็นนักเล่นเกมอาชีพแล้วก็ต้องขยาย hero pool ให้กว้างขวางขึ้น นอกจากนั้นเกมส่วนใหญ่ก็เล่นกันในสนามซ้อมหรือไม่ก็สนามแข่ง สรุปก็คือไม่เหลือแรงที่จะมานั่งเล่นเกมโหมดจัดอันดับมาก ๆ และรักษาชื่อโล่ประเทศแกร่งสุดนี้เอาไว้ได้อีก ดังนั้นนักเล่นเกมอาชีพจึงไม่สามารถจะครอบครองตำแหน่งนี้อีก ตำแหน่งนี้เป็นของผู้เล่นนอกวงการอาชีพที่เล่นฮีโร่ตัวใดตัวหนึ่งได้เก่งกาจที่สุดมาโดยตลอด

และซูเก๋อก็เป็นซุนซ่างเซียงโล่ประเทศแกร่งสุด นั่นก็แปลว่านอกจากบรรดานักเล่นเกมอาชีพแล้ว เขาเป็นคนที่เล่นซุนซ่างเซียงได้ดีที่สุดนั่นเอง

ตอนนั้นที่เล่นเป็นทีมเดียวกันกับซูเก๋อ เหออวี้เลือกเจงกิสข่านเอาตำแหน่งของแครี่ไป สุดท้ายซูเก๋อก็เลยเล่นซัพพอร์ต ทำให้เหออวี้พลาดโอกาสที่จะได้รับชมสไตล์ของโล่ประเทศแกร่งสุดไป

ฮีโร่ซุนซ่างเซียงตัวนี้เป็นตัวที่ถูกใช้ในเกมเปิดซีซั่นนี้โดยจางสือฉือแห่งทีมเทียนเจ๋อ จัดเป็นฮีโร่สายคริติคอล พลังโจมตีที่ยิงระเบิดออกมาถือได้ว่าเป็นตัวทำดาเมจที่แข็งแกร่งที่สุดในทีมเสมอ ในเกมที่เล่นด้วยกันกับพวกซูเก๋อสุดท้ายแล้วแครี่เจงกิสข่านของเหออวี้ก็ทำดาเมจอย่างน่าขายหน้าได้เพียง 10.3% สุดท้ายแล้วดาเมจของทีมถูกทำจากฮีโร่จูเก่อเลี่ยงกับเผยฉินหู่ทั้งสองตัวเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เหออวี้นึกว่าตัวดาเมจหลักของพวกเขาคือเลนกลางกับตัวป่า ตอนนี้ถึงรู้ว่าซูเก๋อที่เป็นตัวแครี่ดั้งเดิมถึงจะเป็นปีศาจที่ร้ายกาจที่สุดในทีมของพวกเขา

ตัวที่พุ่งเป้าไปที่แครี่ปกติแล้วมักจะเป็นตัวป่าแอสซาซิน แต่คลื่น7 ของพวกเขาคนที่มีหน้าที่ฟาร์มป่าจะเป็นหลี่ซือเจี๋ยกับจ้าวจิ้นหรานสองคนนี้ที่ตอนนี้เหออวี้ก็ยังแยกไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร จะให้พึ่งสองคนนี้ไปบวกกับซุนซ่างเซียงโล่ประเทศแกร่งสุดเหรอ เหออวี้คาดว่ามัดทั้งสองคนประเคนออกไปยังไม่พอด้วยซ้ำ

“ที่แท้ซูเก๋อก็เก่งขนาดนี้เลย วันนั้นที่เล่นกับเขา เขาเล่นเป็นซัพพอร์ตนะครับ” เหออวี้อุทาน

“ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ของพวกเราแล้ว ถ้าต้องไปเจอ Suger จริง ๆ ก็น่ากลัวว่าจะไม่มีใครเอาเขาอยู่หรอก” เกาเกอกล่าว

“ไม่รู้ว่าถ้าเป็นแมวของชเรอดิงเงอร์คนนั้นมาเล่นป่าจะเป็นยังไงนะครับ” อยู่ดี ๆ เหออวี้ก็นึกถึงอาธีน่าที่พบกันในเกมแรกที่เล่นวันนี้ขึ้นมา

“ถ้าเป็นนักเล่นเกมอาชีพก็น่าจะไหวอยู่หรอก” เกาเกอกล่าว

โล่ประเทศแกร่งสุดก็สู้นักเล่นเกมอาชีพไม่ได้เหรอ เกาเกอพูดอย่างนี้ก็ไม่ได้ผิดอะไร เพียงแต่ว่าถึงจะเป็นนักเล่นเกมอาชีพเกาเกอก็ยังใช้คำพูดว่า “น่าจะ” อีกสองคำ เห็นได้ว่าประเมินความแข็งแกร่งของซูเก๋อไว้สูงส่งแค่ไหน

“ถ้าเกิดว่าพวกเราต้องไปเจอกันในรอบแรกจริง ๆ ก็ไม่จบเห่ทันทีเลยหรอกเหรอครับ” เหออวี้พูด

“ไม่ซวยขนาดนั้นหรอกมั้ง” โจวม่อกล่าว

“ถ้าเกิดว่าต้องเจอกันจริง ๆ แล้วจะมีทางแก้อะไรไหม” เกาเกอพูด

พูดมาถึงตรงนี้ทุกคนก็เดินเข้ามาในโรงอาหารแล้ว ในเวลานี้ในโรงอาหารยังมีไม่กี่คนที่นั่งกินข้าวกันอยู่ เพียงแต่ว่าโรงอาหารนี้เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุด อาหารที่ขายก็มีมากสุด ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่โรงอาหารอีกสองแห่งปิดลงทำความสะอาดแล้ว โรงอาหารที่สองนี้ก็ยังคงเหลืออาหารให้กินอยู่บ้าง

เพียงแต่ว่าอาหารที่เหลือเป็นอย่างสุดท้ายพวกนี้รสชาติเป็นยังไงก็คงจะพอนึกกันออก เหออวี้มาอยู่ที่นี่สัปดาห์หนึ่งแล้ว นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เข้ามากินข้าวที่โรงอาหารที่สองในเวลาแบบนี้ รู้ว่าไม่มีอะไรให้เลือกจู้จี้ หลังจากคนทั้งสามเลือกอาหารเศษเหลือมั่ว ๆ กันแล้วก็หาที่นั่งกินข้าวและพูดคุยกันต่อ

“ถ้าเกิดว่าต้องไปเจอกับ Suger เข้าจริง ๆ ก็โคตรโชคร้ายแล้วล่ะ” โจวม่อกลับมาพูดหัวข้อที่ทำให้เขาขนหัวลุกต่อ

“ถ้าคิดจะเป็นที่หนึ่งไม่ช้าก็เร็วยังไงก็ต้องเจออยู่แล้ว” เหออวี้กล่าว

“แต่อย่างน้อยก็ให้พวกเราหาเพื่อนร่วมทีมที่พึ่งพาได้อีกสองคนก่อนเหอะ หลี่ซือเจี๋ยกับจ้าวจิ้นหรานเหรอ เฮ้อ…” โจวม่อเป็นคนจิตใจดี แต่หลังจากเหตุการณ์ในวันนี้ แม้แต่เขาเองก็ยังรู้สึกสิ้นหวังกับสองคนนั้นแล้ว

“ไม่มีคนที่พึ่งพาได้มากกว่าสองคนนั้นเลยเหรอครับ” เหออวี้พูด

“เชื่อเราเถอะ แค่เอาตัวนายท่านสองคนนี้มาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว” เกาเกอกล่าว

“แล้วไปเชิญมายังไงเหรอครับ” เหออวี้ถามอย่างอยากรู้

“ถามเขาดิ” เกาเกอมองโจวม่อ

“ตามตื้ออ้อนวอนน่ะสิ บัตรกินข้าวแทบจะถูกสองคนนั่นกินจนเต็มโควต้าแล้ว เดือนนี้ยังผ่านไปไม่ถึงหนึ่งในสามเดือนเลยใช่ปะ” โจวม่อถอนหายใจ

“รุ่นพี่ลำบากแล้วนะครับ” เหออวี้ก็ได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น

“ลำบากก็ช่างมัน แต่ว่าพึ่งพาได้แค่ไหนน่ะสิ!” คนจิตใจดียิ่งมายิ่งโมโห เสียงก็ดังขึ้นไปอีก

“ใครกันที่พึ่งพาไม่ได้ ทำให้ออฟขี้กลัวของพวกเราต้องขึ้นเสียงเลย” ตอนนั้นเองก็มีเสียงหัวเราะ ๆ เสียงหนึ่งลอยมาจากด้านหลังของโจวม่อ

……………………………………………………..