ตอนที่ 152-4 พี่เป็นหมาน้อย เจ้าก็เป็นกระดูก

จำนนรักชายาตัวร้าย

เหล่าไท่ไท่บิหมั่นโถว แก้มกับผักดอง 

 

 

“น้องเขยสุดยอด!” ตี้อู่หรงอี้เดินเขามาตรงหน้าซย่าโหวฉิงเทียน แล้วตบไหล่เขาเบาๆ 

 

 

“คราวหน้าพวกเราค่อยดื่มกันใหม่!” 

 

 

“พี่ใหญ่ช่างกล้าหาญยิ่งนัก! แต่ต่อไปข้าจะไม่ดวลเหล้ากับน้องเขยอีกแล้ว!” 

 

 

ตี้อู่เย่ไหลเกาหัวแก้เก้อ 

 

 

“ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว! ต่อไปข้าจะไม่ดื่มเหล้าอีกแล้ว!” 

 

 

“พี่สาม ท่านนะเพียงแค่ปวดหัว ท่านปู่นะถึงกับเจ็บกระดองใจเชียวนะ!” ตี้อู่เฮ่อเจี๋ยหัวเราะร่าพร้อมกับกัดหมั่นโถวเข้าไปคำหนึ่ง 

 

 

“เหล้านารีแดงที่ท่านปู่ซ่อนเอาไว้กว่าสามสิบปีถูกพวกเราดื่มจนเกลี้ยง ท่านปู่จะต้องเสียดายตายชักเลย!” 

 

 

ในขณะที่ตี้อู่เฮ่อเจี๋ยกำลังหัวเราะร่าอยู่นั้น หาได้รู้ไม่ว่าตี้อู่เจ๋อได้มาอยู่ด้นหลังของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเขาได้ยกเท้าเตะไปที่ก้นของหลานชาย 

 

 

“เจ้าหลานตัวดี แอบพูดอะไรลับหลังข้าหา!” 

 

 

“ท่านปู่ ข้าพูดความจริงนี่นา! หรือว่าท่านปู่ไม่เสียดายสุราชั้นเลิศของท่านปู่?” 

 

 

“มีอะไรน่าเสียดายกัน! ข้าดีใจต่างหาก!” ตี้อู่เจ๋อเดินเข้ามานั่งที่หัวโต๊ะ ดื่มโจ๊กเข้าไปอึกใหญ่ถึงผ่อนอารมณ์ลงได้ 

 

 

“เหล้านี่ข้าฝังเอาไว้เมื่อตอนที่ท่านอาของพวกเจ้าเกิดมา น่าเสียดายที่ท่านอาของพวกเจ้าแต่งงานแล้วไม่ได้กลับมา จึงไม่มีโอกาสได้ดื่มมัน ตอนนี้ใช้มันมาดื่มให้กับน้องสาวน้องเขยของพวกเจ้าแทนก็เหมือนกัน!” 

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นปู่ ตี้อู่เฮ่อเจี๋ยก็ไม่มีท่าทีล้อเล่นอีกต่อไป 

 

 

ปีนั้น เมื่อตอนที่ตี้อู่เจ๋อนำพาชาวตันซ้ายหลบหนีมาอยู่บนเขาในป่าลึก ได้สั่งการให้คนขุดสุราที่ฝังเอาไว้ขึ้นมา แล้วขนมาทีละไห 

 

 

ท่านมักจะบอกว่าต่อไปภายหน้าจะมีโอกาสได้ดื่ม ใครจะรู้เล่าว่า รอคอยพริบตาก็ผ่านไปถึงสิบกว่าปี รอไม่ถึงให้ลูกสาวและลูกเขยได้ดื่ม ทว่ากลับรอจนกระทั่งหลานสาวและหลานเขยได้ดื่มแทน 

 

 

กินหมั่นโถวกับผักดอง ดื่มกับข้าวต้มขาว ทำให้อวี้เฟยเยียนพบว่าเสบียงของชาวตันซ้ายไม่อุดมสมบูรณ์สักเท่าไรนัก 

 

 

หมั่นโถวที่ท่านป้าสามยกมามีสองชนิด ชนิดที่หนึ่งคือหมั่นโถวที่ทำจากธัญพืช เพิ่มข้าวโพดและมันเทศเข้าไปด้วย อีกชนิดหนึ่งหมั่นโถวแป้งสาลีสีขาว แต่อย่างที่สองมีจำนวนไม่มาก 

 

 

ในชามของอวี้เฟยเยียนและซย่าโหวฉิงเทียนคือหมั่นโถวสีขาวแป้งสาลี ส่วนคนอื่นๆเป็นหมั่นโถวที่ทำจากธัญพืชทั้งสิ้น 

 

 

เมื่อตอนเข้าที่นางเดินชมหมู่บ้านนั้น พบว่าทุกบ้านจะต้องมีเล้าหมู ทุกบ้านเลี้ยงหมู และพื้นที่ลาบลุ่มบนเนินเขาถูกถางจนโล่งเตียน เพื่อเอาไว้ปลูกธัญพืชและผักใบเขียว 

 

 

เมื่อวานนี้พวกเขาได้นำพืชพันธุ์ธัญหารที่ดีที่สุดออกมาใช้เพื่อเลี้ยงตอนรับนางและซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว 

 

 

“เยียนเอ๋อร์ เจ้ากินมากหน่อยสิ!” ท่านป้ารองของนางส่งหมั่นโถวให้กับอวี้เฟยเยียนอีกหนึ่งลูก 

 

 

“เจ้าผอมเกินไป ต้องมีน้ำมีนวลกว่านี้นะ!” 

 

 

“ท่านป้ารอง ข้ากินอิ่มแล้ว!” อวี้เฟยเยียนหยิบหมั่นโถววางลงตรงหน้าลูกชายตี้อู่หรงอี้ จวินเกอเอ๋อร์ 

 

 

“น้องสาว เจ้ากินเถอะ!” พี่สะใภ้ของนาง เม่ยเหนียงรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ 

 

 

“จวินเกอเอ๋อร์ของเราชอบกินหมั่นโถวธัญพืช!” 

 

 

“ซ้อใหญ่ ข้ากินอิ่มแล้วจริงๆ!” อวี้เฟยเยียนลุกยืนขึ้นแล้วหันไปยิ้มให้กับท่านตาและท่านยาย 

 

 

“จริงๆแล้วข้าไม่ต้องกินอะไรมากมาย วันหนึ่งกินหนึ่งมื้อก็เพียงพอแล้ว!” 

 

 

“เช่นนั้นจะไปได้อย่างไร!” ตี้อู่เจ๋อขมวดคิ้ว เขาดูออกว่าอวี้เฟยเยียนต้องการที่จะยกหมั่นโถวสีขาวให้แก่เด็กๆได้กินก็อดไม่ได้ที่จะต้องทอดถอนใจออกมา 

 

 

หากมิใช่เพื่อต้องการปกป้องสายเลือดของชาวเผ่าตัน รักษาชีวิตของคนในชนเผ่าเอาไว้ มีหรือที่เขาจะมาหลบซ่อนตัวที่นี่ มีหรือที่เขาจะต้องให้หลานสาวของเขาต้องเสียสละเรื่องการกินอีกเล่า 

 

 

“หากเจ้าไม่กินให้มากหน่อย จะได้มีเนื้อมีหนังมากขึ้น แล้วจะคลอดลูกได้อย่างไร!” 

 

 

“ท่านตา ข้าคือราชาอาวุโส!” อวี้เฟยเยียนอธิบาย 

 

 

“ตอนนี้ข้าไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตัวเหมือนคนทั่วไปหนึ่งวันกินสามมื้ออีกแล้ว ข้ากินเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอ! ฉิงเทียนก็เช่นกัน!” 

 

 

“โอ้ ราชาอาวุโส ราชาอาวุโสหรือ!” ตี้อู่เจ๋อร้องขึ้นมาแล้วรีบผุดลุกยืนขึ้นทันที 

 

 

“หลานตา เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ เจ้าคืออะไร?” 

 

 

“ท่านตา น้องสาวคือราชาอาวุโสครับ!” ตี้อู่เฮ่ออี้กล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม 

 

 

น้”องสาวเก่งกาจยิ่งนัก! นางไม่แค่เป็นราชาอาวุโสเท่านั้นนะ ยังเป็นเทพโอสถอีกด้วย!” 

 

 

คำพูดของตี้อู่เฮ่ออี้สำหรับทุกคนแล้วราวกับระเบิดลูกมหึมาก็ไม่ปาน 

 

 

ทุกคน ถึงกับอึ้งไปตามๆกัน 

 

 

“เทพโอสถ! เทพโอสถ! “ท่านลุงใหญ่ตี้อู่จิ่งซานมองอวี้เฟยเยียนด้วยสายตาอึ้งกิมกี่ จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปหยิกคนข้างตัว 

 

 

“เจ็บ! ท่านพ่อ!” ตี้อู่หรงเต๋อร้องขึ้น 

 

 

“ท่านพ่อ หยิกข้าทำไมกัน!” 

 

 

“ข้าก็จะทดสอบดูนะสิว่าข้ากำลังฝันไปหรือเปล่า! เจ้ายังรู้สึกเจ็บ นั่นก็แสดงว่าข้ามิใช่กำลังฝันไปนะสิ! ฮ่าๆ หลานสาวของข้าเทพโอสถ สวรรค์ สวรรค์!” 

 

 

พูดไปพูดมา ตี้อู่จิ่นซานก็ขอบตาร้อนผ่าว น้ำตาไหลออกมา น้ำเสียงของเขาเริ่มสั่นเครือ 

 

 

สมแล้วที่เป็นลูกสาวของน้องเล็ก! 

 

 

ในตอนนี้ตี้อู่เจ๋อได้พุ่งเข้าไปตรงหน้าวอี้เฟยเยียน ปากคอสั่นเทา 

 

 

“ไหนเจ้าลองพูดอีกครั้งสิ เจ้าคืออะไรนะ!” 

 

 

“ท่านตา ข้าเพิ่งจะสำเร็จขั้นราชาอาวุโสและเทพโอสถ!” 

 

 

“เด็กดี เด็กดี!” ตี้อู่เจ๋อไม่ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอวี้เฟยเยียนบ้าง แต่มีจุดหนึ่งที่เขาแน่ใจ อวี้เฟยเยียนสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างเช่นวันนี้ หนีไม่พ้นพรสวรรค์ที่ฟ้าประทานและความเพียรพยายามของนางนั่นเอง 

 

 

“ราชาอาวุโส! เทพโอสถ!” 

 

 

มองดูภายนอกสวยงามสะดุดตา แต่ใครเล่าจะรู้ว่าเบื้องหลังของนางต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและหยาดน้ำตาตั้งเท่าไหร่! 

 

 

“ฮ่าๆ! เทพโอสถคุ้มครอง! เผ่าตันยังคงอยู่! เผ่าตันยังคงอยู่!” ตี้อู่เจ๋อคุกเข่าลงกับพื้นท่าทางตื่นเต้น เขาหันหน้าไปทางทิศตะวันออกแล้วก้มลงคำนับพื้น 

 

 

“บรรพชนอยู่บนสวรรค์ เผ่าตันของเรามีหวังแล้ว!” 

 

 

ส่วนคนอื่นๆต่างก็พากันกระทำตามอย่างตี้อู่เจ๋อ คุกเข่าลงคำนับ 

 

 

รอจนกระทั่งทุกคนลุกยืนขึ้น ดวงตาของทุกคงล้นปริ่มไปด้วยหยาดน้ำตา 

 

 

“กินข้าวก่อนเถอะ กินข้าวก่อนเถอะ!” 

 

 

รู้ดีว่าลูกหลานของตนล้วนสนใจศึกษาค้นคว้าในวิชาการแพทย์ แต่ละคนท่าท่างอยากจะขอคำชี้แนะจากอวี้เฟยเยียนใจจะขาดเช่นนั้น ตี้อู่เจ๋อจึงรีบออกปากทันที 

 

 

“พวกเรายังมีเวลาอีกมาก พวกเจ้าอย่าลืมนะ วันนี้ต้องขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร! ดอกจินโอว่จะเบ่งบานในสองสามวันนี้เท่านั้น เราจะพลาดโอกาสนี้ไม่ได้!” 

 

 

เมื่อผู้อาวุโสที่สุดของชนเผ่าเอ่ยปากขึ้นมา ทุกอย่างก็กลับกายเป็นสิ่งที่เป็นการเป็นงานเป้นขั้นเป็นตอนขึ้นมาทันที 

 

 

“ยายเฒ่า หลานสาวของข้าคือเทพโอสถ! นาเพิ่งจะอายุสิบหกปีเท่านั้น! เทพโอสถอายุสิบหกปี! ทั้งยังเป้นราชาอาวุโส! ข้าดีใจ! ข้าภูมิใจ!” 

 

 

ตี้อู่เจ๋อกินข้าวไปก็ยิ้มจนตาหยีในขณะที่มองดูอวี้เฟยเยียนไปด้วย 

 

 

“เจ้าพูดสิ ทำไมหลานสาวของข้าถึงได้น่ารักอย่างนี้นะ! “ 

 

 

“กินข้าวเข้าไปเถอะ เจ้านะ!” จิ่นเหนียงยัดหมั่นโถวใส่ปากตี้อู่เจ๋อ 

 

 

“นั่นนะ หลานสาวของเจ้าคนเดียวเสียเมื่อไหร่กัน! หลานสาวข้าด้วยต่างหาก! หลานสาวของพวกเรา!” 

 

 

เหล่าไท่ไท่ประท้วงขึ้น 

 

 

ตี้อู่เจ๋อปากมีหมั่นโถวยัดอยู่ในปาก พยักหน้าหงักหงักอย่างเห็นด้วย 

 

 

มองดูผู้เฒ่าทั้งสอง แม้อายุจะปูนนี้แล้ว แต่ก็ยังรักใคร่กลมเกลียวกันเช่นนี้ก็ทำให้อวี้เฟยเยียนรู้สึกอิจฉายิ่งนัก 

 

 

ขณะเดียวกันนางก็รู้สึกสงสัยในเรื่องการเก็บยาของชาวเผ่าตันมากอีกด้วย 

 

 

“พี่ชายดอกจินโอว่ มักจะมีผลิดอกอยู่บนหน้าผ้าสูงชัน ปกติแล้วพวกท่านเก็บมันอย่างไรกัน?” 

 

 

เมื่อคืนวานนี้อวี้เฟยเยียนได้สังเกตการณ์คนในหมู่บ้าน ซึ่งส่วนใหญ่พวกเขามีวรยุทธ์เพียงขั้นอาจารย์และขั้นวิญญาณเท่านั้น คนที่มีวรยุทธ์สูงสุดคือท่านตา นักรบขั้นอ๋อง ท่านลุงสามคือนับรบปราชญ์ 

 

 

วรยุทธ์ของชาวเผ่าตันอ่อนด้อยจริงๆด้วย อวี้เฟยเยียนพอจะเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดท่านตาของนางถึงต้องนำผู้คนมาหลบซ่อนตัวณ สถานที่เช่นนี้ 

 

 

กำลังเพียงน้อยนิดเช่นนี้ หากออกไปภายนอก ตันขวาร่วมมือกับตระกุลใหญ่สักตระกูลหนึ่งก็สามารถล้างเผ่าพันธ์ชาวตันได้อย่าง่ายดาย 

 

 

“ก็ใช่แขนและขาปีนขึ้นไปนะสิ คนที่มีวรยุทธ์สูงจะปีนขึ้นไปที่ยอดเขาเสียก่อน จากนั้นนำเชือกไปผูกเอาไว้แล้วค่อยหย่อนเชือกลงมา” 

 

 

ตี้อู่เฮ่ออี้อธิบาย 

 

 

“เจ้าก็รู้ดี ว่ายิ่งเป้นยาดี ยิ่งเก็บมาอย่างยากลำบาก ยาที่มีสรรพคุณชั้นเลิศ ยังมีสัตว์ป่าดุร้ายและอสรพิษนานชนิดอาศัยอยู่โดยรอบ อันตรายยิ่งนัก ดังนั้นทุกปีจึงย่อมจะต้องมีคนบาดเจ็บ หรือถึงขั้นล้มตายเลยก็มี”