ความโกรธบนใบหน้าเฉินจิงเย่หายไปแล้ว แต่เขายังไม่ลืมเรื่องเมื่อกี้

“ใช่สิเสี่ยวเหล่ย ใครดูแลเรื่องความปลอดภัยของตระกูลเฉินเหรอ” เฉินจิงเย่ถามขึ้น

“การประชุมของตระกูลเฉินในปีนี้ ผมรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัย ทำไมจู่ๆ ลุงรองถึงถามขึ้นมาล่ะ” เฉินเหล่ยพูดด้วยรอยยิ้ม

“นายรับผิดชอบ……” เฉินจิงเย่ได้กลิ่นแปลกๆ แล้ว

มิน่าล่ะเฉินเหล่ยถึงปรากฏตัวได้ถูกจังหวะขนาดนี้ ดูเหมือนไม่ใช่ความบังเอิญ

“ในเมื่อการประชุมประจำปีนายรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัย เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนี้คงเป็นคนของนาย ฉันว่าใช้งานคนแบบนี้ให้น้อยจะดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนภายนอกเยาะเย้ยว่าตระกูลเฉินของเราไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ขนาดคนเฝ้าประตูยังกำเริบเสิบสานขนาดนี้!”

“ลุงรอง ทำไมคุณต้องถือสาเอาความกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแค่คนเดียว ผมตั้งใจสั่งให้เขาดูแลอย่างเข้มงวดเอง เขาไม่รู้จักลุงรอง ลุงรองโปรดอภัยให้ด้วย ถ้าลุงรองจะโทษก็โทษผมเถอะครับ!” เฉินเหล่ยพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า

แต่ถึงแม้เขากำลังสำนึกผิด แต่ไม่มีความเสียใจบนใบหน้าเลยสักนิด

ถ้าเฉินจิงเย่ยังไม่เข้าใจ งั้นหลายสิบปีมานี้เขาคงมีชีวิตอย่างเสียเปล่าแล้วล่ะ

มิน่าล่ะเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถึงกล้าอวดดีขนาดนี้ ที่แท้มีคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลังนี่เอง

“ในเมื่อเป็นคนของนาย งั้นฉันคงไม่พูดอะไรมาก หวังว่าชื่อเสียงตระกูลเฉินจะไม่โดนทำลายก็พอ” เฉินจิงเย่พูดแบบมีความหมายลึกซึ้ง

“ครับ อีกเดี๋ยวผมจะสั่งสอนเขาเอง!” เฉินเหล่ยต้องแสดงออกด้านการทำงาน แต่ใครก็ฟังออกว่าคำพูดนี้ปลอมมาก

เฉินจิงเย่รู้สึกปลงในใจ “พ่อแก่แล้ว ตอนนี้ขนาดทายาทรุ่นที่สามของตระกูลเฉิน ก็เริ่มแย่งชิงอำนาจกันแล้ว”

“สถานการณ์ตระกูลเฉินตอนนี้ น่าเป็นห่วงจริงๆ!”

แต่เฉินจิงเย่ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะช่วยเรื่องนี้ เขาอยู่ในตระกูลเฉินแทบไม่ต่างจากคนนอก อำนาจทั้งหมดโดนคนอื่นแบ่งแยกออกไป เขาทำอะไรไม่ได้สักอย่าง

เฉินจิงเย่หันมาพูดกับเฉินโม่และหลี่ซู่เฟินว่า “ไปกันเถอะ!”

หลังจากครอบครัวเฉินโม่เดินเข้าไป สีหน้าเฉินเหล่ยแปรเปลี่ยนเป็นอึมครึมทันที “หึ คนที่ออกไปจากตระกูลเฉิน มีสิทธิ์มาชี้นิ้วสั่งในตระกูลเฉินเหรอ ถ้าไม่เห็นแก่หน้าปู่รอง นายอย่าหวังว่าจะได้เหยียบเข้ามาในตระกูลเฉิน!”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนั้นก็พูดอย่างร้ายกาจ “ใช่ครับ เสแสร้ง กล้าชี้นิ้วสั่งพี่เหล่ย คนแบบนี้ควรโดนไล่ออกจากตระกูลเฉิน!”

“หุบปาก! ไอ้โง่ บอกให้นายทำความเข้าใจข้อมูลของตระกูลเฉินตั้งนานแล้ว ถ้านายฟังคำพูดฉันสักหน่อย คงไม่เกิดเรื่องแบบวันนี้หรอก!” เฉินเหล่ยพูดอย่างโมโห

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนั้นสีหน้าน้อยใจทันที พูดบ่นว่า “พี่เหล่ย ผมตั้งใจจำแล้ว แต่ผมจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าตระกูลเฉินยังมีบุคคลมีชื่อเสียงอย่างเฉินจิงเย่ด้วย!”

“ถ้ามีครั้งหน้าอีก ถึงให้น้องสาวนายมาอ้อนวอนก็เปล่าประโยชน์ นายไสหัวไปให้พ้น เข้าใจหรือยัง” เฉินเหล่ยจ้องเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนั้นอย่างเย็นชา

“ครับๆ ผมจะจำไว้ครับ!”

เฉินจิงเย่พาภรรยาและลูกชายเดินเข้าไปในห้องโถงตระกูลเฉิน

ในห้องโถง เฉินกั๋วเหลียงผู้นำตระกูลนั่งอยู่ตรงกลาง ที่นั่งรองลงมาทั้งซ้ายและขวามีคุณปู่ใหญ่ของเฉินโม่เฉินกั๋วจงและคุณปู่สามของเฉินโม่เฉินกั๋วต้งนั่งอยู่

“พ่อ เฉินจิงเย่ลูกอกตัญญูกลับมาแล้วครับ!”

วินาทีที่เห็นผู้เป็นพ่อ เฉินจิงเย่รีบเดินเข้ามาคุกเข่าลงตรงหน้าเฉินกั๋วเหลียง ก้มหัวคำนับลงบนพื้น

ไม่เจอกันหลายปี เห็นได้ชัดว่าเฉินกั๋วเหลียงก็ตื่นเต้นเช่นกัน ผิวหนังบนใบหน้าชรากำลังสั่น “ดีๆ กลับมาก็ดีแล้ว!”

เฉินจิงเย่กวักมือเรียกเฉินโม่ที่อยู่ด้านหลัง “เสี่ยวโม่ ยังไม่รีบเข้ามาหาปู่นายอีก!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินจิงเย่ สายตาทุกคนในห้องโถงหันไปมองเฉินโม่ทันที

เฉินโม่รู้สึกถึงสายตาไม่เป็นมิตรของพวกเด็กในตระกูลเฉิน ที่มองมาทางเขาอย่างชัดเจน

การที่เฉินโม่ไม่เป็นที่รักในตระกูลเฉิน ท้ายที่สุดแล้วก็เพราะสิ่งที่ตระกูลหลี่ก่อไว้ในตอนนั้น แม้ตระกูลหลี่ไม่ได้ทำอะไรโจ่งแจ้ง แต่ไล่หลี่ซู่เฟินออกจากตระกูลหลี่ ก็เท่ากับตบหน้าตระกูลเฉินแห่งหนานซูอย่างแรง

ทำให้ตระกูลเฉินโงหัวไม่ขึ้นเป็นระยะเวลานาน

เพราะลำดับอาวุโสของเฉินจิงเย่เห็นอยู่ชัดเจน คนตระกูลเฉินไม่กล้าทำอะไรเฉินจิงเย่ ดังนั้นจึงเอาความโกรธทั้งหมดไปลงที่เฉินโม่