ในบ้านครึกครื้นกันเป็นเวลาสามวันเต็มๆ ไม่มีแขกที่มาจากข้างนอก ถูกรายล้อมไปด้วยคนในครอบครัว ใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่าย นอนหลับตื่นอีกทีก็ตอนเที่ยง ในห้องเงียบสงบ มีเพียงน่ารื่อมู่ที่นั่งฝึกฝนการเย็บปักถักร้อยอยู่ข้างปล่องไฟ มือที่จับแส้ต้อนแกะจนเคยชิน ยังไงก็รับมือกับเข็มเล็กๆ เล่มนั้นไม่ได้
อวิ๋นเยี่ยใช้มือเท้าคาง มองดูน่ารื่อมู่ปักผ้า บนสะดึงมีลูกแกะหนึ่งตัว ตัวอ้วนๆ ตาโตๆ แค่มองดูก็ชื่นชอบ น่ารื่อมู่ปักไปได้ไม่กี่ที นางก็มักจะขมวดคิ้วและแกะมันออก ท่าท่างหน้าบึ้งตึงช่างดูไร้เดียงสา
เอามือไปวางไว้บนท้องที่ป่องออกมาของน่ารื่อมู่ ในนั้นมีสิ่งมีชีวิตตัวน้อยกำลังดิ้นอยู่ เห็นว่าอวิ๋นเยี่ยตื่นแล้ว น่ารื่อมู่ก็วางผ้าปักในมือลง จับมืออวิ๋นเยี่ยมาลูบที่ท้องของตัวเองไปรอบๆ
“ท่านพี่ พี่ซินเย่วบอกว่าอีกสิบกว่าวัน เด็กคนนี้ก็จะคลอดแล้ว เจ้าชอบเขาหรือไม่?” น่ารื่อมู่มองไปยังดวงตาของอวิ๋นเยี่ย ถามอย่างจริงจัง
“ชอบแน่นอน เขาคือลูกของข้า ข้าจะไม่ชอบได้เช่นไร ไม่ใช่แค่ข้าที่ชอบ แต่ท่านย่าก็จะชอบ ป้าๆ น้าอาก็ชอบ พวกน้องๆ ก็ชอบ ซินเย่วก็ชอบเหมือนกัน”
“ท่านพี่ เด็กคนนี้คลอดออกมาแล้วให้ข้ากับเขากลับไปฉ่าวหยวนได้หรือไม่ ข้าไม่ได้เห็นทุ่งหญ้ามานานมากแล้ว คิดถึงวัว แกะ หญ้าสีเขียวพวกนั้นเหลือเกิน ข้าชอบรีดนมม้า และก็ชอบรีดนมแกะ รีดนมแกะไม่ใช่เรื่องง่าย พวกมันชอบวิ่งหนีไปทั่ว แล้วข้าก็ยังชอบนั่งชงชามนมอยู่ในเต็นท์หลังใหญ่ มองดูพวกผู้ชายที่อยู่นอกเต็นท์ทอสักหลาด ส่งเสียงร้องตะโกน…”
น่ารื่อมู่เป็นคนของฉ่าวหยวน ให้นางใช้ชีวิตอยู่ที่จงหยวนนางอาจจะตายได้ หนึ่งปีที่ผ่านมาสำหรับนางมันคงเป็นเรื่องที่ทรมาน อวิ๋นเยี่ยรู้ดีว่าการที่ตัวเองหายตัวไปและนางกำลังตั้งครรภ์อยู่ น่ารื่อมู่พยายามระงับความปรารถนาของตัวเองที่มีต่อฉ่าวหยวน ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยกลับมาแล้ว ความปรารถนานี้ราวกับม้าป่าที่สูญเสียการควบคุม ควบคุมไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
“เจ้าชอบฉ่าวหยวน ข้าก็ชอบฉ่าวหยวนเหมือนกัน ข้าชอบท้องฟ้าสีคราม ก้อนเมฆสีขาว และทุ่งเลี้ยงสัตว์ของที่นั่น น่ารื่อมู่อย่าได้ลำบากใจ หากเจ้าชอบฉ่าวหยวน เจ้าก็กลับไปเถิด เจ้าคือดอกเก๋อซังของฉ่าวหยวน การได้เบิกบานอย่างอิสระในทุ่งหญ้าคือชีวิตของเจ้า อย่าฝืนใจตัวเอง น่ารื่อมู่ที่มีความสุข สนุกสนาน ถึงจะเป็นน่ารื่อมู่ของข้า ไม่ต้องฝึกฝนเย็บปักถักร้อยอะไรพวกนี้ เจ้าเป็นคนเลี้ยงแกะที่มีฝีมือ ทำไมต้องไปทำในสิ่งที่เจ้าไม่ชอบทำ หากเจ้าชอบงานเย็บปักถักร้อยพวกนั้น ก็บอกให้ผู้หญิงในหมู่บ้านช่วยเย็บให้เจ้า เย็บให้เยอะๆ อยากได้แบบไหนก็ให้พวกนางเย็บให้เจ้า เจ้าเลือกแบบที่เจ้าต้องการ อันที่ไม่ชอบก็เอาไปเป็นของขวัญให้กับพี่น้องของเจ้าที่ฉ่าวหยวน พวกนางคงจะชอบมากเป็นแน่”
ดวงตาของน่ารื่อมู่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม จับที่หน้าของอวิ๋นเยี่ยแล้วพูดว่า “ท่านพี่ จะต้องเอาอันดีๆ มอบให้คนอื่น อันไม่ดีเหลือไว้ให้ตัวเอง นี่คือกฎของฉ่าวหยวน เมื่อมีแขกมา จะต้องเอาชีสที่ดีที่สุด เนื้อแกะที่อ้วนที่สุดให้แขกกินอิ่มก่อน เจ้าของถึงจะกินได้ นี่คือกฎของฉ่าวหยวน ท่านพี่ของข้า เจ้าลืมไปหมดแล้วหรือ”
น่ารื่อมู่ยืนขึ้นด้วยความตื่นเต้น เหมือนกับว่านางกำลังจะกระโดด อวิ๋นเยี่ยรีบดึงนางไว้ มีความสุขจนลืมท้องที่กำลังป่องของตัวเองไปหมดแล้ว ผู้หญิงซื่อบื้อคนนี้
“รอให้เจ้าคลอดลูกเสร็จ ฤดูใบไม้ผลิเริ่มต้นในปีหน้าเจ้าค่อยกลับไป มิเช่นนั้นลูกยังเล็กเกินไป เดินทางกลับอันตรายเกินไป ลูกของเราต้องได้รับวัคซีนชนิดหนึ่งก่อนถึงจะพาออกไปได้ เจ้าก็ต้องได้รับเช่นกัน อีกไม่นานมันก็จะสำเร็จแล้ว สิ่งนี้สำคัญมาก มีของสิ่งนี้ ปีศาจที่น่ากลัวที่สุดในฉ่าวหยวนก็จะพากันหลบหนีเขา ให้เขาได้เติบโตอย่างสงบสุข”
“นั่นมันคือะไร คาถาเหรอ? ต้าซ่าหม่านของฉ่าวหยวนก็สวดมนต์ เต้นรำเป็น เต้นรำสวยงามเป็นอย่างมาก ข้าจะเชิญซ่าหม่านที่ฉลาดที่สุดมาให้ลูกของเรา เชิญมาสิบคน ไม่สิ ยี่สิบคน ให้พวกเขาเต้นรำรอบลูกของเราสักสามวันสามคืน ขับไล่ภูตผีปีศาจออกไปให้หมด”
อวิ๋นเยี่ยม้วนแขนเสื้อของตัวเองขึ้น ให้น่ารื่อมู่เห็นที่ไหล่ของเขา ตรงนั้นมีรอยแผลเป็นจางๆ สามแผล น่ารื่อมู่ถามด้วยความงงงวยว่า “นี่คืออะไร แผลตอนเด็กของเจ้าเหรอ?”
“ไม่ใช่ นี่คือมาตรการการป้องกันอย่างหนึ่ง คือการป้องกันโรคร้าย ตอนเด็กๆ ข้าถูกท่านอาจารย์ฉีดของสิ่งนี้เข้าในร่างกายนับไม่ถ้วน เพราะเช่นนี้ ข้าถึงข้ามป่าข้ามเขาได้ด้วยตัวเอง เผชิญหน้ากับทุกบททดสอบแต่ก็ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อโรคร้าย แต่น่าเสียดาย ที่ท่านพี่ของเจ้าไม่มีความสามารถ ให้ลูกๆ ฉีดได้แค่อย่างเดียว เชื่อข้า น่ารื่อมู่ มันสำคัญมาก ลูกของตระกูลอวิ๋นจะต้องได้ฉีดกันทุกคน”
เห็นคำอธิบายที่เคร่งขรึมของอวิ๋นเยี่ย น่ารื่อมู่ก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างเชื่อใจท่านพี่ ท่านพี่บอกว่ามันสำคัญมาก ก็แสดงว่าสำคัญมากจริงๆ
“ท่านพี่ ข้า น่ารื่อมู่จะต้องคลอดลูกชายที่แข็งแรงให้เจ้าได้อย่างแน่นอน เขาจะกลายเป็นวีรบุรุษของฉ่าวหยวน เขาจะต้องสูงกว่านกอินทรี มีพละกำลังมากกว่าวัว ฉลาดมากกว่าซ่าหม่าน และยังต้องเป็นชายรูปงามอีกด้วย”
อวิ๋นเยี่ยตลกในความซื่อบื้อของน่ารื่อมู่จนหัวเราะเสียงดัง เปลือยท่อนบนลุกขึ้นนั่งแล้วพูดว่า “ได้ๆ เราจะต้องมีลูกที่แข็งแรงแน่นอน อนาคตจะได้ปกป้องพี่ชาย น้องชาย น้องสาวและน่ารื่อมู่ของเขา”
“เขาจะต้องปกป้องเจ้าแน่นอน ไม่ให้ใครมาลักพาตัวเจ้าได้อีก”
“ได้ๆๆ ปกป้องคนที่ไม่มีความสามารถอย่างข้าด้วย ฮ่าๆๆ”
น่ารื่อมู่อาจจะรู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป เอาหน้ามุดเข้าไปในอ้อมแขนของอวิ๋นเยี่ย ทั้งสองคนพากันหัวเราะอย่างมีความสุข จนรู้สึกว่าการที่ได้ใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปมันก็ไม่เลวเลยทีเดียว
บนโลกใบนี้ไม่เคยขาดแคลนยัยแม่มด พึ่งจะมีความสุขได้ไม่นาน หัวของซินเย่วก็โผล่เข้ามา เห็นทั้งสองหยอกล้อกันอย่างชั่วร้าย นางก็ก้าวเข้ามาทันที
“เฮ้ๆ ยังท้องป่องอยู่เลย เล่นกันเช่นนี้ไม่ได้ น่ารื่อมู่ เจ้าเองก็ไม่ระวัง ลูกเป็นอะไรไปจะทำเช่นไร โตขนาดนี้แล้วยังไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ เจ้านอนหลับมาตั้งสามวันแล้ว ควรออกไปเดินเล่นข้างนอกได้แล้ว เหล่ากั๋วกงสองสามคน คนในสำนักศึกษาก็ควรออกไปดูบ้าง ข้าเตรียมของขวัญไว้ทั้งหมดแล้ว รถม้าก็พร้อมแล้ว ออกไปบ้านท่านลุงฉินตอนนี้ยังไปทันกินอาหารเที่ยง ถือโอกาสไปจัดการเรื่องงานแต่งงานของรุ่นเหนียง โตเป็นสาวแล้ว หากยังไม่รีบแต่งงาน จะถูกซุบซิบนินทาเอาได้”
ซินเย่วดึงที่หูของน่ารื่อมู่ อวิ๋นเยี่ยเห็นแล้วก็โมโห ผลักผู้หญิงขวางโลกสองคนนี้ออกไปอีกทาง ตบก้นของนางสองทีตามเดิม แล้วก็จับไปทั่วร่างกายของนาง น่ารื่อมู่ก็ถือโอกาสบิดสักสองที ซินเย่วค่อนข้างอ่อนไหว ถูกอวิ๋นเยี่ยแกล้งไม่ได้ พอถูกแกล้งนางก็จะตัวสั่นทันที ตอนนี้ก็หน้าแดงนอนอยู่ตรงปล่องไฟ
แต่งตัวเสร็จอย่างรวดเร็ว พยุงน่ารื่อมู่เดินออกมาจากห้อง ปล่อยให้ยัยแม่มดอารมณ์เสียอยู่คนเดียวในห้อง
รู้จักนิสัยของท่านโหวเป็นอย่างดี คนรับใช้ได้เตรียมน้ำเย็นใส่อ่างไว้ให้ท่านโหวอยู่ก่อนแล้ว ให้ท่านโหวล้างหน้า อากาศร้อนๆ เอาหน้ามุดลงไปในน้ำเย็น ช่างมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
ซินเย่วมักจะมีท่าทางภรรยาและแม่ที่ดีเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าคนรับใช้ ถือผ้าขนหนูปักลายออกมาให้อวิ๋นเยี่ย เช็ดหน้าให้เขา อีกมือหนึ่งถือโอกาสบิดที่เอวของเขาสองสามที บิดแรงมาก
ออกไปพร้อมกับเหล่าเฉียน ในรถม้าสี่คันไม่มีอะไรมาก ก็แค่เนื้อปลาวาฬชิ้นใหญ่ๆ ล้วนแต่รมควันจากกิ่งสนเรียบร้อยแล้ว นอกจากกลิ่นคาวเล็กน้อยก็ไม่ต่างอะไรจากเนื้อเบคอน
ที่บ้านของตระกูลเฉิง ท่านป้าเห็นอวิ๋นเยี่ยก็ร้องไห้ไม่หยุด ชี้ด่าพวกขุนนางในเมืองหลวง และยังบอกให้อวิ๋นเยี่ยพาเฉิงเหย่าจิน เฉิงฉู่มั่วกลับมาด้วย บอกว่าคนพวกนั้นคงอยากจะเห็นลุงเฉิงสองพ่อลูกกลับมาไม่ได้พวกเขาถึงจะพอใจ
ตอนนี้ท่านลุงเฉิงได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ เฉิงฉู่มั่วก็ได้ทำความดีความชอบให้กับหลี่จี ชนเผ่าเกาชังก็ถูกกองทัพทหารกวาดล้าง ตอนนี้กำลังเดินทัพไปยังแคว้นเซวียเหยียนถัว แต่พวกถู่อวี้หุนไม่รู้ว่าเป็นอะไร ทั้งที่ได้ทำการตกลงกับต้าถังว่าจะไม่บุกรุกซึ่งกันและกัน แล้วยังเป็นความสำเร็จของความพยายามแนวหน้าของหลี่จิ้ง ตอนนี้ยังคงเป็นความลับ อวิ๋นเยี่ยก็ไม่รู้ แต่กองทัพทหารหนึ่งแสนหกหมื่นนายเป็นทหารของกวนจงทั้งหมด รวมตัวกันเป็นที่เรียบร้อย กำลังออกเดินทาง เซวียเหยียนถัวและเก้าสกุลแห่งเจาอู่ล้วนแต่กำลังจะถูกกระแสน้ำที่ใหญ่โตมหาศาลนี้ชำระล้างให้กลายเป็นฝุ่นของประวัติศาสตร์
เพื่อสร้างความสบายใจให้กับท่านป้าที่กำลังหวาดผวา เขาจงใจมาที่โต๊ะแบบจำลองทรายของตระกูลเฉิง ปักธงเล็กๆ สองสามอัน อธิบายสถานการณ์ทางตะวันตก เช่นนี้ถึงได้ทำให้ท่านป้าหยุดร้องไห้แล้วยิ้มออกมา
คิดไม่ถึงว่าหนิวเจี้ยนหู่จะไว้หนวดเคราสั้นๆ หนวดสั้นๆ ของเขาทำให้อวิ๋นเยี่ยอยากจะหัวเราะ หยิบจี้หยกออกจากแขนเสื้อ เอาแขวนไว้ที่คอของเสี่ยวหนิวที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา เด็กน้อยเพิ่งมีฟันงอกออกมาสองซี่ น้ำลายไหลเต็มคาง แล้วยังหยิบจี้หยกที่อวิ๋นเยี่ยเอาให้ยัดเข้าปาก ป้าหนิวเห็นเช่นนี้ก็มีความสุข หยิบจี้หยกออกจากมือเด็กน้อย อุ้มไปจูบแรงๆ ทีหนึ่ง ไม่สนใจน้ำลายที่เลอะบนใบหน้าของตัวเองแม้แต่น้อย
สองพี่น้องทำอาหารสองอย่าง เพราะอากาศร้อนๆ เกินไปเลยเอาไปกินกับเหล้าองุ่น
“ตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพเรือหลิ่งหนานคือตำแหน่งอะไร ทำไมถึงเรียกไม่เหมือนแม่ทัพทัพเรือคนอื่นๆ พวกเขาเป็นแม่ทัพนั่นแม่ทัพนี่ เรียกกันจนติดปาก มีแค่เจ้าคนเดียวที่เรียกว่าผู้บัญชาการ เจ้าไม่ใช่คนของหน่วยข่าวกรองซะหน่อย มีแค่พวกเขาเท่านั้นที่ถูกเรียกเช่นนี้”
“ใครจะไปรู้ แต่เรื่องตำแหน่งเปี๋ยจย้าที่เฉวียนโจวของเจ้าคืออะไร เมื่อครู่ได้ยินท่านป้าพูดถึงข้าถึงได้รู้ว่ามีเรื่องนี้ หรือว่าตอนที่เจ้าเป็นองครักษ์เจ้าแอบไปลวนลามสาวใช้ในวัง เลยถูกส่งไปที่อื่น? แล้วทำไมยังเรียกว่าจงต้าฟู เจ้าเป็นแม่ทัพ ไปถึงที่นั่นก็ควรจะเป็นองครักษ์ของจวนเจ๋อชง ทำไมถึงได้ไปเป็นขุนนางนักปราชญ์ได้”
“ข้าก็อยากจะถามเจ้าเหมือนกัน ไม่ใช่แค่ข้าคนเดียว แต่จั่งซุนชงก็เป็นผู้อำนวยการมณฑลของจวนเหิงโจว ฉินหวยอวี้ไปที่อู่หยาง หลี่เต๋ออวี้ไปที่ซังโจว ได้ยินมาว่าหลี่จิ้งจัดการให้ลูกชายของเขาเอง ที่แปลกก็คื ทุกคนล้วนแต่เป็นขุนนางนักปราชญ์ ไม่มีใครเป็นขุนนางทหารสักคน ในเมื่อฮ่องเต้มีคำสั่งเราก็ต้องทำตาม ว่ากันว่าตอนนี้คนที่สามารถรักษาตำแหน่งขุนนางทหารได้มีแค่เจ้ากับฉู่มั่ว ข้าคิดว่าเจ้าจะรู้ แต่เจ้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้ข้าแค่อยากจะถามเจ้าว่า เจ้ามีวิธีทำให้เฉวียนโจวเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างรวดเร็วหรือไม่”
“มี แต่มันเกี่ยวอะไรกับเจ้า เจ้าเป็นแค่เปี๋ยจย้า ยังมีตำแหน่งผู้ตรวจราชการมณฑลที่สูงกว่าเจ้า คอยออกความคิดให้เจ้า คนที่ได้รับผลประโยชน์ก็คือผู้ตรวจราชการมณฑล ไม่ใช่เจ้า”
หนิวเจี้ยนหู่พยักหน้า ดื่มเหล้าถ้วยหนึ่งและพูดว่า “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องของข้า ยังมีเวลาอีกสามเดือน เจ้าจะทำเช่นไร หลู่อ๋องบอกว่าจะเอาเจ้าให้ถึงตาย”
อวิ๋นเยี่ยคีบพริกออกมาจากชามอาหาร กินเข้าไปคำโตๆ และพูดกับหนิวเจี้ยนหู่อย่างเชื่องช้าว่า “ข้าจะดำน้ำ ดำน้ำต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าหลู่อ๋องจะกลายเป็นอ๋องโง่แล้วค่อยโผล่หัวขึ้นมา แล้วยังจะหลบซ่อนตัวจากพวกคนแก่ที่ไม่มีอะไรทำอยากจะจัดพิมพ์หนังสือพวกนั้น ถือโอกาสรู้ให้ได้ว่าทำไมเหล่าองครักษ์ถึงได้กลายเป็นขุนนางนักปราชญ์ หรือว่าพวกขุนนางนักปราชญ์อยากจะเปลี่ยนมาเป็นแม่ทัพแล้ว?”