ชิงสุ่ยมองดูใบหน้าเด็กน้อยที่กำลังแสดงความประหลาดใจ จากนั้นก็ยิ้มและกล่าวว่า “ถ้าหากพวกเจ้าฝึกฝนอย่างหนัก อีกไม่นานพวกเจ้าจะมีพลังมากกว่านี้
คนอื่นไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับผู้ที่ได้คัดเลือก แต่พวกเขาก็พยักหน้า ดวงตาเต็มไปด้วยความหวังและความแน่วแน่
“พี่ใหญ่ ท่านคงต้องทำงานหนักเพื่อดูแลพวกเขา นี่คือกองกำลังนักรบชุดแรกที่จะคอยหนุนหลังพวกเราในอนาคต”ชิงสุ่ยกล่าวด้วยความมั่นใจ
ดวงตาขององค์จักรพรรดิคลั่งส่องประกาย คำพูดที่ชิงสุ่ยใช้เรียกกลุ่มของเขาว่าเรา มันทำให้ตัวของเขาเองรู้สึกถึงความผ่อนคลายอย่างแท้จริง
“วางใจได้ มันจะต้องไม่มีปัญหา”ดูเหมือนองค์จักรพรรดิคลั่งจะรู้สึกตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย เขาได้แต่สงสัยว่าในอนาคต มันจะเป็นอย่างไร
…………….
ไม่กี่วันผ่านไปเหตุการณ์ยังคงเงียบผิดปกติ ทั้งตระกูลหลางและตระกูลฉางไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น ชิงสุ่ยรู้สึกแปลกมาก แล้วมันก็ส่งเหตุสมผลโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตระกูลหลางที่ไม่แสดงตัว พวกเขาเองก็ยังคงวุ่นอยู่กับศึกภายใน แต่มันน่าแปลกมากที่จะกูลฉางยังไม่เคลื่อนไหว
ตระกูลฉางคือตระกูลยิ่งใหญ่ในเมืองฉางซึ่งดำรงอยู่ได้ด้วยพลังอันน่าเกรงขาม ไม่มีใครในเมืองฉางแข็งแกร่งเหมือนตระกูลฉาง ทุกคนต่างรู้ดีว่าตระกูลฉางยังคงซ่อนยอดยุทธผู้แข็งแกร่งอยู่ภายใน พวกเขาจึงยืนอยู่ได้บนสูงสุดเมืองฉาง
สำหรับตระกูลผู้ครองเมือง โดยปกติแล้วพวกเขาไม่มีทางนั่งอยู่เฉยถ้าหากสมาชิกของตนเองถูกทำร้าย ไม่ว่าฟังศัตรูจะเป็นใครพวกขาก็จะไม่สนใจ เพราะทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกับชื่อเสียง เพียงแต่ในปัจจุบันสถานการณ์ในเมืองก็ยังคงปั่นป่วน เพราะภายในเมืองฉางยังมีตระกูลใหญ่ที่อยู่ในระดับต้นๆอีกหนึ่งตระกูลก็คือตระกูลจาง
ตระกูลจางคอยเลี้ยงดูจางเหมาหยุนบุคคลผู้เป็นอัจฉริยะเพื่อปูรากฐานความเจริญรุ่งเรืองของตระกูล อย่างไรก็ตาม ร่างกายของเขาต้องพิการเพราะศึกสงครามระหว่างเขาและสัตว์อสูร เขาคือหนึ่งในอนาคตผู้นำท่ามกลางกลุ่มคนทั้ง 3 แห่งตระกูลจางและเป็นคนที่มีความระมัดระวังตัวมากที่สุด ถ้าหากตระกูลจางสูญเสียคนอย่างเขาไป การวิวัฒนาการของตระกูลจะถอยหลังลงทันที 200 ปี ที่แย่กว่านั้นคือฝ่ายตรงข้ามจะก้าวหน้าล้ำพวกเขาไปอีกหลายเท่า
นับตั้งแต่จางเหมาหยุนสูญเสียพลังของตนไป เขาก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นเพียงอากาศธาตุ ท้องฟ้าที่เคยใส่สว่างกลายเป็นเพียงท้องฟ้าที่แสนมืดมน ผู้คนมากมายในตระกูลจางต่างก็รู้สึกโศกเศร้าที่เขาต้องสูญเสียพลัง แน่นอนว่ามันก็ต้องมีคนที่รู้สึกชื่นชมยินดีเพราะตัวเองนั้นมีโอกาสจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลแทน
ในอดีตจางเหมาหยุนเคยเป็นความภาคภูมิใจของเมืองฉาง ผู้คนขนานนามคำว่าบุตรชายแห่งสวรรค์ แม้ว่าจะเอาเขาไปเปรียบเทียบกับอัจฉริยะตระกูลอื่นก็ไม่มีใครเทียบเทียมเขาได้ แต่หลังจากที่เขากลายเป็นคนพิการ คนมากมายใช้เพียงแค่มือข้างเดียวก็ล้มเขาได้ เขาจึงรู้สึกถึงความท้อแท้มืดมน
“ใช่แล้วล่ะ หอคอยจักรพรรดิ”
จางเหมาหยุนจ้องมองกลุ่มคนที่ยืนต่อแถวอยู่หน้าหอรักษา หอรักษาที่พึ่งโด่งดังเมื่อไม่นานมานี้ เขาเผยให้เห็นรอยยิ้มแสนข่มขืนบนใบหน้า ตัวของเขาเองพยายามตามหาหมอมากมายเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ แม้กระทั่งเดินทางเข้าสู่ส่วนลึกสุดของมหาทวีปอุดรเทวา แต่ความพยายามทั้งหมดที่เขาทุ่มเทไปก็ให้ผลลัพธ์เพียงแค่อย่างเดียว คือมันไม่มีทางแก้ ไร้ยารักษา เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะฟื้นตัว
หอรักษาที่อยู่ข้างหน้าของเขาก็เป็นเหมือนกับทุกที่ แต่ด้วยความพยายามที่ไม่ลดละ จางเหมาหยุนจึงยังคงยืนเข้าแถวกลมกลืนไปกับกลุ่มคน
“เห้ย นั่นมันอัจฉริยะจากตระกูลจางไม่ใช่หรือ?”บางคนแสดงสีหน้าแปลกใจเมื่อได้เห็นชายผู้เป็นอดีตอัจฉริยะคนนี้
“อัจฉริยะตะกูลจาง? ตอนนี้ข้านับได้เพียงแค่ 3 คนเท่านั้น!!”ชายร่างกายกำยำสูงโปร่งกล่าว เพียงแค่ตัวของเขาเองตอนนี้จะเอาชนะจางเหมาหยุนได้อย่างง่ายดาย จางเหมาหยุนไม่ต่างอะไรจากคนไร้ประโยชน์ เขาสูญเสียความแข็งแกร่งไปเกือบทั้งหมด ตอนนี้เขามีพลังเพียงแค่ 1 ส่วนจากเดิม
“เจ้าพูดอะไรกัน? หรือว่าเจ้าไม่นับเรื่องในอดีต และตัดสินใจเหยียบย่ำเมื่อเห็นว่าเขาเป็นเช่นนี้? มา เดี๋ยวข้าจะใช้ตัวของข้าสั่งสอนเจ้าเอง”ในขณะเดียวกันชายร่างใหญ่ที่อยู่ข้างหลังคนก่อนหน้าตกเปล่งเสียงกล่าว
ชายร่างกายกำยำสูงโปร่งตัวสั่นทันทีที่เห็นชายคนนั้น ตอนแรกเขาคิดว่าตัวของเขาจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในละแวกนี้ แต่เมื่อได้เห็นชายร่างมนุษย์ที่แข็งแกร่งดุจหอคอยเหล็ก เขาก็รู้ตัว
“สหายต้าจวง!! ข้าคิดผิดไปแล้ว”
สายตาของชายร่างกายกำยำมองดูชายที่อยู่ข้างหลังด้วยความหวาดกลัว
“อัจฉริยะจากตระกูลจางนั้นเป็นคนที่ดี พระเจ้าช่างตาบอดนัก คนรวยสาระเลวมากมายอยู่ทั่วไปทั้งโลก แต่พระเจ้ากลับทำให้คนอย่างเขาต้องทุกข์ทรมานด้วยการเป็นคนพิการ มันช่างเหมือนกับคำพูดที่ข้าเคยได้ยินว่า สวรรค์ไม่เข้าข้างคนดี จริงๆ”
เมื่อมีคนพูดถึงเรื่องเหล่านี้ คนที่ต่อแถวคนอื่นก็เริ่มอยากรู้อยากเห็น ตระกูลจางยังคงเสาะแสวงหานักปรุงยาที่โด่งดัง ตัวผู้นำตระกูลจางได้ใช้จ่ายทรัพย์สินกว่าครึ่งหนึ่งของตระกูลจางเพื่อสร้างอัจฉริยะตระกูลจาง
พวกเขายังมีเงินเหลืออีกกว่าครึ่งในการแสวงหานักปรุงยา เพื่อทดสอบการรักษา แต่ถ้าหากพวกเขาไม่ทำอะไรเลย และต้องสูญเสียอัจฉริยะตระกูลไป โอกาสก็จะไม่มีอีก และจากงบประมาณที่ใช้คงบอกได้เลยว่าอัจฉริยะตระกูลจางเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในตระกูล
“เจ้าคิดว่าหอคอยจักรพรรดิจะรักษาเขาได้หรือไม่?”ชายคนหนึ่งถามด้วยความสงสัย
“แล้วเจ้าคิดว่าตระกูลจางตามหานักปรุงยามาแล้วกี่คน? แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครรักษาอัจฉริยะตระกูลจางได้เลย แม้ว่าหอคอยจักรพรรดิที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้จะเป็นที่นิยมในชั่วข้ามคืน แต่ถ้ารู้สึกว่าโอกาสที่พวกเขาจะรักษาได้มันน้อยก็ยิ่งกว่านักปรุงยาที่โด่งดัง ถ้าหากพวกเขาแก้ไขปัญหานี้ได้จริงๆแล้วละก็ ข้าคิดว่าชื่อเสียงของพวกเขาจะต้องโด่งดังซะยิ่งกว่าพระราชวังหอรักษาสวรรค์ทันที”
“ใช่แล้วล่ะ พระราชวังหอรักษาสวรรค์คือสถานที่ล้ำค่าแห่งเมืองฉาง แม้ว่านักปรุงยาของหอรักษาสวรรค์แข็งแกร่งและทรงพลัง ภูเขาก็ยังไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บของนายน้อยจางได้เลย” ………….
ลึกๆในใจของจางเหมาหยุนได้ยอมถอดใจไปนานแล้ว เขาไม่มีความหวังว่าการเจ็บปวดของเขาจะหาย ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากรักษา แต่การรักษามันเหมือนเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นยิ่งเขาหวังมากเท่าไหร่ความผิดหวังก็จะยิ่งถาโถมมากขึ้นเป็นทวีคูณ ดังนั้นเขาจึงเลือกหยุดรักษา ไม่วาดฝัน และใช้ชีวิตอยู่อย่างผ่อนคลายไม่สนใจเสียงลมปาก
นี่คือสิ่งที่ทำให้เป็นมนุษย์ ทุกคนล้วนไม่ยอมรับเมื่อต้องสูญเสียสิ่งที่ได้รับ มันคงจะดีกว่านี้ถ้าหากไม่ได้มาตั้งแต่ตอนแรก
ผู้คนต่อแถวกันยาวเหยียด จางเหมาหยุนไม่รู้จักใครเลย เขายังคงยืนนิ่งเงียบและก้าวเดินตามจุดให้บริการไปอย่างช้าๆ ในที่สุดเบื้องหน้าของเขาก็เหลือเพียงแค่คนเดียว คนที่มาทำการรักษาเขาเป็นหญิงสาวโฉมงามที่ปลดปล่อยความน่าหลงใหลออกมาจากร่างกาย เธอเป็นผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความสง่างาม แม่นางหลาง จางเหมาหยุนตระหนักได้ตั้งแต่แรกเห็นว่าหญิงสาวคนนี้ก็คืออดีตภรรยาของผู้นำตระกูลหลาง จริงๆแล้วเธองดงามยิ่งกว่าข่าวลือหนาหูที่กระจายไปทั่วเมือง ยิ่งเขาได้เห็นตัวจริง เธอก็ยิ่งงดงามกว่าที่เขาคิด กลิ่นอายรอบตัวของเธอเต็มไปด้วยความน่าสนใจและทำให้ผู้ที่มองดูรู้สึกสบายใจ
เธอทำการรักษาผู้ที่อยู่ตรงหน้าของเขาด้วยท่าทางที่ดูเรียบง่าย และสามารถระบุอาการบาดเจ็บรวมถึงตัวยาต่างๆได้อย่างราบรื่น
จางเหมาหยุนรู้สึกประหลาดใจตลอดเวลา หญิงสาวผู้นี้เรียนรู้วิธีการรักษาตั้งแต่เมื่อไหร่? เขาไม่เคยได้ยินเลยว่าเธอเรียนศาสตร์วิชาแพทย์มาก่อน
เมื่อมาถึงเวลาของจางเหมาหยุน เขาเดินตรงไปยังจุดทำการรักษาและนั่งลงตรงข้ามชิงซี เขาค่อยๆเหยียดแขนออกมาวางบนโต๊ะ