ตอนที่ 146

The Great Worm Lich

อัลท์แมนเองก็หยุดเดินเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังที่มากกว่าปกติ “แน่นอนว่าข้าไม่ได้ล้อเล่น ในฐานะนักปราชญ์ที่มีพลังแห่งการเห็นแจ้ง ข้าสามารถช่วยให้เจ้าได้รับตำแหน่งขั้นพื้นฐานที่สุดของอาชีพใด ๆ ก็ได้ตราบใดที่มันคุ้มค่ากับสิ่งที่เจ้าช่วยพวกเรา แม้ว่ามันจะเป็นเพียงอันดับขั้นพื้นฐานแต่ก็จะเป็นแนวคิดที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงจากมนุษย์ธรรมดา นอกจากนี้หากเจ้ายังเป็นมนุษย์ที่มีหัวใจจะพัฒนาตนเองและตราบใจที่เจ้าทำงานหนักมากพอมันก็เป็นไปได้ที่เจ้าจะสามารถยกระดับอาชีพของเจ้าและมีพลังอำนาจเทียบเท่ากับแคสเดียหรือยูลีนาส หรืออาจมีพลังมากกว่าพวกเขาก็เป็นได้! เจ้าเป็นคนเดียวที่ไม่ยอมจำนนต่อความผิดปกติทางจิตใจและสามารถคุยกับข้าได้อย่างปกติ ไม่มีเหตุผลอะไรให้ข้าต้องหลอกเจ้า”

 

จางลี่เฉินมีการแสดงออกที่ค่อนข้างลังเลและใตไม่น้อยกับคำพูดของนักปราชญ์ก่อนจะพยายามสร้างประโยคเพื่อตอบกลับ “ตะ…แต่ผมไม่รู้ว่าจะช่วยพวกคุณได้อย่างไร ท่านนักปราชญ์อัลท์แมน ผมเพิ่งเริ่มต้นธุรกิจของผมและใช่ผมมีเครือข่ายบางอย่าง แต่…”

 

“มั่นใจตัวเองเข้าไว้ ข้าจะเป็นคนบอกเจ้าเองว่าควรทำเช่นไร รับรองได้ว่าสิ่งที่ข้าอยากให้เจ้าทำจะยังอยู่ในขอบเขตที่เจ้าสามารถทำได้อย่างแน่นอน เหมือนที่ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถหาทางพาเราออกจากเกาะนี้ได้เมื่อท้องฟ้ากลับมาสดใส”

 

“ท่านต้องการออกจากโอวาฮู? ไปยังที่ไหน?”

 

“ที่ใดก็ได้ตราบใดที่เจ้าสามารถพาพวกเราออกจากที่นี่ได้ ข้าจะเปิดใช้งานพลังนักรบของเจ้าและให้ร่างกายของเจ้าได้รับการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงเพื่อให้มีร่างกายที่เกินขีดจำกัด” อัลท์แมนใช้น้ำเสียงที่ชวนเคลิ้มหลงในขณะที่เขาพูดด้วยความเคร่งขรึมทั้งหมด

 

มันอาจเป็นปัญหาสำหรับคนธรรมดาที่จะนำคนจำนวนน้อยที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้เพื่อออกจากโอวาฮู แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับจางลี่เฉินที่จะทำเช่นนั้น

 

การทำเช่นนั้นจะแลกมาด้วยร่างกายเหนือมนุษย์และนี่เป็นการแลกเปลี่ยนที่เป็นประโยชน์กับเขาอย่างมาก

 

“ที่ใดก็ได้ ที่ใดก็… วิธีที่ง่ายที่สุดคือการซื้อเรือยอชท์และพาพวกคุณไปยังเกาะคาไว ผมมีเพื่อนที่เก่งมาก ๆ อยู่ที่นั่น แน่นอนว่าถ้าคุณไม่อยากไปเกาะคาไวก็ได้ ผมเคยได้ยินมาว่าเรือยอชท์ที่ดีจะสามารถนำทางไปได้ทั่วโลก …”

 

“เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบายข้าก็ได้เด็กน้อย เพียงทำตามสิ่งที่ข้าร้องขอให้ก็พอ”

 

“เอาล่ะท่านนักปราชญ์อัลท์เมน ถ้างั้นผมจะต้องไปซื้อเรือยอชท์ก่อน … แต่การจะซื้อเรือได้ผมจะต้องกลับเข้าเมือง…”

 

“ไม่มีปัญหา ข้าจะให้คามิลขับรถพาเจ้าไปในขณะที่แซดน่าและแมนโซแลดจะตามไปปกป้องเจ้า”

 

แม้ว่าคำว่า “ป้องกัน” จะถูกนำมาใช้ในประโยคแต่มันก็เป็นเหมือนการเฝ้าตามระวังมากกว่า จางลี่เฉินไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ หลังจากได้ยินคำพูดของอัลท์แมนเขาพยักหน้าซึ่งเป็นวิธีที่จะบอกว่าเขาเห็นด้วย

 

อัลท์แมนมีความสุขมากกับการตัดสินใจเช่นนี้ของเด็กหนุ่ม เขาตบไหล่จางลี่เฉินเบา ๆ อีกครั้งก่อนจะหันหลังกลับจากไปโดยไม่พูดอะไรอีกเลย จางลี่เฉินวิ่งกลับไปที่กองไฟแล้วเอนกายลงบนกระเป๋าเป้ของตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็หันไปฝั่งตรงข้ามสักครู่ก่อนจะหลับไปโดยไม่รู้ตัวราวกับว่าเขาหมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรงที่มี เขานอนกรนเบา ๆ พร้อมกับความสงบและการหายใจที่มั่นคง

 

เมื่อเขาตื่นจากการนอน แสงอาทิตย์ก็ได้สาดส่องลงมาบนโลกเพื่อบอกว่ายามราตรีได้ผ่านพ้นไปแล้วหนึ่งคืน

 

“ตื่นแล้วสินะ ท่านอัลท์แมนเปลี่ยนใจแล้วและบอกให้ข้าติดตามเจ้าเข้าเมืองไปพร้อมกับแอนเน็ตต์ เก็บของแล้วเราจะได้รีบไปกัน” ในขณะที่เขาลุกขึ้นยืนในลักษณะที่ยังงัวเงีย จางลี่เฉินก็ได้ยินเสียงห้าวเข้มดังก้องเข้ามาในหู

 

“มิสเตอร์…แคสเดีย? เปลี่ยนเป็นคุณที่ตามผมเข้าไปในเมืองแทนงั้นเหรอ?” ชายหนุ่มนั้นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามด้วยท่าทางโง่ ๆ

 

“แคสเดียจะเป็นผู้คุ้มกันเจ้าส่วนแอนเน็ตต์เป็นไกด์มืออาชีพ ข้าคิดว่ามันจะน่าเชื่อถือกว่าในการพาเขาไปซื้อเรือด้วยกันกับเจ้า มันจะไม่ทำให้ชาวเมืองเกิดความสงสัย” ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สว่างจ้า อัลท์แมนซึ่งอยู่ไม่ไกลชี้ไปยังหยดน้ำใสที่ลอยขึ้นกลางอากาศก่อนจะบอกจางลี่เฉินว่า “มาเถิดเจ้าหนู เจ้าควรล้างหน้าก่อนออกเดินทาง”

 

“ได้ ๆ” จางลี่เฉินรีบวิ่งไปที่ด้านข้างของอัลท์แมน ด้วยท่าทีลังเล เขาเอื้อมมือไปยังหยดน้ำที่ลอยขึ้นกลางอากาศ เมื่อตระหนักได้ว่ามันเป็นเพียงหยดน้ำธรรมดาที่สะอาดเขาจึงตักน้ำออกออกมาเพื่อล้างหน้าก่อนจะร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ “ท่านนักปราชญ์ ท่านทำแบบนี้ได้อย่างไร? นี่มันน่าอัศจรรย์มาก!”

 

“พลังของหมอผีที่ไม่มีนักปราชญ์คนไหนสัมผัสได้ เจ้าจะเข้าใจมันได้เองเมื่อเจ้ากลายมาเป็นหมอผี”

 

เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นจางลี่เฉินก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง การแสดงออกที่มาพร้อมกับการต่อต้านเล็กน้อยถูกแสดงอยู่บนใบหน้า เขากลับไปล้างหน้าตัวเองต่อและปัดเศษฝุ่นเสื้อผ้าของตัวเอง

 

จากนั้นเขาก็เริ่มดำเนินการตามที่ได้คุยกันไว้เมื่อวานร่วมกับแคสเดียและแอนเนตต์

 

เมื่อพวกเขาออกจากเขตพื้นที่ภูเขาไฟและกำลังอยู่บนเส้นทางเดินป่าที่นำไปสู่ลานจอดรถชายหนุ่มก็กล่าวขึ้นในทันทีว่า “มิสเตอร์แคสเดีย ผมว่ามันคงจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่นักที่คุณจะแต่งตัวแบบนี้ในฐานะผู้คุ้มกันของผม”

 

“จางลี่เฉิน … นับจากนี้ไปโปรดเรียกข้าว่าซูโน่” แคสเดียตอบกลับด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ “ไม่ต้องกังวล แอนเน็ตต์มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยนอยู่บนรถของเขาและข้าก็สามารถใส่เสื้อผ้าเขาได้พอดี ข้าจะเปลี่ยนเป็นชุดพวกนั้นหลังเราไปถึงที่รถ”

 

“โอ้ ดูเหมือนว่าผมจะเป็นกังวลมากเกินไปสินะ ท่านปราชญ์อัลท์แมนทั้งระมัดระวังตัวและชาญฉลาดขนาดนั้น เขาจะไม่นึกถึงสิ่งนี้ไปได้อย่างไรกันจริงไหม?”

 

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา รอยยิ้มที่แสนเย็นชาก็ฉาบขึ้นบนใบหน้าของแคสเดียทันที ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุดเขาเข้าใจถึงความสำคัญของการมีนักธุรกิจเช่นจางลี่เฉินมาอยู่ข้าง ๆ ได้เป็นอย่างดี เขารู้ว่าเขาควรปฏิบัติต่อจางลี่เฉินด้วยทัศนคติที่ดีและเป็นมิตรอย่างไร

 

ไม่ว่าจะมีข้อแก้ตัวและเหตุผลมากมายแค่ไหนจางลี่เฉินก็คือคนที่เลือกจะทรยศต่อโลกของเขาด้วยการช่วยเหลือสายลับอย่างพวกเขา

 

ในฐานะนักรบผู้กล้าหาญ แคสเดียย่อมไม่มีความชื่นชอบต่อผู้ทรยศที่น่ารังเกียจเช่นนี้ ดังนั้นทัศนคติของเขาที่มีต่อชายหนุ่มคนหน้าจึงค่อนข้างขัดแย้งกันพอสมควร

 

รอยยิ้มแปลก ๆ ของแคสเดียดูเหมือนจะไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากจางลี่เฉินเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามเมื่อมันเข้ามาในเขตการมองเห็นของแอนเน็ตต์ที่กำลังเปิดเผยภาพลักษณ์อ่อนโยนทำให้เขาปัดเป่าความแปลกประหลาดที่คิดออกจากใจ

 

หลังจากที่เขาได้เห็นความแข็งแกร่งของแคสเดียไปเมื่อคืนวานนี้ แอนเน็ตต์รู้ดีว่าถ้าเขาไปซ่อนตัวอยู่ในกองทัพเรือสหรัฐฯหรือฐานทัพอากาศในโออาฮู หรือแม้ว่าเขาจะได้รายงานต่อตำรวจแต่นักรบจากโลกเหนือธรรมชาติเหล่านี้ก็ยังสามารถฆ่าเขาได้อย่างง่ายดายแม้ว่าเขาจะอยู่ต่อหน้าตำรวจก็ตาม

 

การได้เห็นรอยยิ้มน่ากลัวที่มีนัยยะบางอย่างพุ่งขึ้นบนใบหน้าของแคสเดีย เขาจึงเลือกที่จะยอมทำอย่างเชื่อฟังเพื่อชีวิตที่แสนจะลำบากของเขาในตอนนี้ให้อยู่รอดปลอดภัย

 

เมื่อแต่ละคนฝังความคิดลงไปกับตัวเองพวกเขาก็ค่อย ๆ เดินไปยังลานจอดรถกันอย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีคำพูดอะไรเลยตลอดทาง

 

เมื่อเดินมาจนเกือบจะถึงลานจอดรถ จางลี่เฉินก็หยุดเดินกระทันหันและสัมผัสท้องของเขาเบา ๆ ก่อนจะมองไปรอบ ๆ “เอ่อ มิสเตอร์แคสเดีย ขอโทษทีแต่ตอนนี้ผมต้องการไปห้องน้ำก่อน คุณจะไปกับผมไหม? ไปรอผมอยู่ด้านนอกห้องน้ำ”

 

แคสเดียมีความภาคภูมิใจและความคิดแบบฉบับทั้งนักรบและผู้บัญชาการ แม้จะมีคำสั่งของอัลท์แมนอย่างระมัดระวังแต่เขาก็ยังลังเลก่อนจะตอบว่า “จางลี่เฉิน ท่านนักปราชญ์อัลท์แมนได้บอกให้ข้ามอบอิสระกับเจ้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เจ้าสามารถไปห้องน้ำได้แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะกลับมาขึ้นรถทันทีหลังจากที่ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าในรถเสร็จ”

 

“งั้นผมก็หวังว่าคุณจะเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ช้ามาก ๆ แอนเนตต์ ห้องน้ำอยู่ตรงไหนของลานจอดรถ?”

 

“ตรงนั้น” แอนเน็ตต์ชี้ทิศทางห้องน้ำให้จางลี่เฉินก่อนจะเดินไปเปิดประตูรถของเขา

 

พอขึ้นมานั่งบนที่นั่งฝั่งคนขับรถแล้วเขาก็รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ไหลเวียนไปทั่วร่างกายอย่างน่าประหลาด โชคดีที่ความรู้สึกไม่สบายนี้อยู่กับเขาแค่เพียงครู่เดียวและหายไปอย่างไร้ร่องรอยในไม่ช้า

 

แอนเน็ตต์ขยี้ตาด้วยความเหนื่อยล้าและสบถภายใต้ลมหายใจของเขา “แม่งเอ้ย!”

 

จากนั้นเขาก็เอี้ยวตัวไปข้างหลังเพื่อหาเสื้อผ้าที่ห่ออยู่ในถุงพลาสติกก่อนจะส่งเสื้อผ้าพวกนั้นให้แคสเดียซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างที่นั่งคนขับพร้อมทั้งปิดประตูแล้วเรียบร้อย

 

เนื่องจากเขาต้องการเปลี่ยนเสื้อผ้า แคสเดียจึงเลียนแบบท่าทางของแอนเนตต์ทั้งเปิดและปิดประตู และหลังจากที่เขาได้รับเสื้อผ้าแล้วตอนนั้นเองที่เขามองผ่านออกไปนอกหน้าต่างรถ จางลี่เฉินผู้ซึ่งกำลังเดินไปห้องน้ำก็หันกลับมาส่งยิ้มให้กับเขา

 

แคสเดียรู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งตัวร่วมถึงแอนนต์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยเช่นกัน

 

ทันใดนั้น แมลงน่าเกลียดที่มีขนาดเท่ากำปั้นเด็กหลายร้อยตัวก็พยายามกระพือปีกใส ๆ ของมันเมื่อโผล่ออกมาจากร่างของแอนเน็ตต์ซึ่งร่างของเขาได้ระเบิดออกจนกลายเป็นเศษผิวหนังบาง ๆ ของมนุษย์นับไม่ถ้วนไปทั่วรถและเริ่มทำร้ายแคสเดียที่นั่งอยู่ที่นั่งแคบ ๆ ข้าง ๆ

 

นักรบที่ถูกโจมตีไม่รู้ว่าจะเปิดประตูรถได้อย่างไรจึงเหลือเพียงทางเลือกเดียงซึ่งก็คือการใช่ร่างกายของเขาทุบประตูรถเพื่อให้มันเปิดออก

 

หนึ่งในแมลงบินได้จากหลายร้อยตัวพยายามทำลายการคุ้มกันของแคสเดียและฝังเหล็กในที่มีพิษเข้าสู่ร่างกายของเขา

 

พิษที่ร้ายแรงก็เริ่มแพร่กระจายไปยังทุกส่วนของร่างกายผ่านทางเลือดของเขา นักรบสามารถสัมผัสหมอกสีดำจาง ๆ ที่เริ่มปรากฏตัวต่อหน้าได้แต่เขาไม่สนใจ เขาดึงดาบคม ๆ ของเขาออกมาอย่างแรงหลังจากได้รับพื้นที่เพียงพอ

 

ในเวลาเดียวกันกับที่เขาดึงดาบ เหล่าแมลงที่พยายามบินไล่เขาออกจากรถ SUV ก็พองตัวขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึง 20 เท่า ความตึงเครียดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อแมลงเริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่ม ๆ ละ 10 ตัวก่อนจะพุ่งเข้าใส่นักรบจากทุกทิศทาง

 

ไม่ว่าแคสเดียวจะพยายามแทงดาบของเขาเพื่อฆ่าแมลงแปลก ๆ เหล่านี้อย่างไรพอพวกมันเข้าใกล้เขามาก ๆ พวกมันก็จะระเบิดตัวแตกออกไปอย่างเงียบ ๆ เหมือนระเบิดสุญญากาศขนาดเล็ก

 

ในที่สุดหลังจากที่แคสเดียเอาชนะแมลงบินมาได้ก็มีหนอนยักษ์ตัวยาวโจมตีเขาด้วยปากของมันและเริ่มเงยหัวขึ้นฟ้าเพื่อคำรามและขบฟัน

 

ในเวลานี้นักรบผู้รู้แล้วว่าเขาไม่สามารถอยู่รอดได้อีกต่อไปในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะฆ่าตัวตายไปพร้อมกับศัตรู ขณะที่เขาพยายามรวบรวมกำลังที่เหลืออยู่เป็นครั้งสุดท้ายเขาก็ตะโกน “เผาไหม้!” ขึ้นมา มันทำให้เกิดแสงสีเหลืองพราวออกมาจากร่างของเขาขณะที่มันค่อย ๆ บังคับปากของสัตว์ยักษ์ให้เปิดออก

 

ขณะที่เขาลอยค้างอยู่กลางอากาศพลางจ้องมองลานจอดรถที่อยู่ใต้เท้าด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยเลือด ตรงที่ ๆ จางลี่เฉินเคยยืนอยู่เมื่อไม่กี่วินาทีก่อนมีสัตว์ร้ายขนาดใหญ่กำลังหมอบตัวอยู่ที่นั่น ร่างกายของมันบวมขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อปากของมันเปิดกว้าง มันพ่นลมพายุออกมาซึ่งดูเหมือนว่าจะสามารถบิดเบือนได้แม้แต่แสงที่ส่องลงมาจากดวงอาทิตย์

 

ขณะถูกแขวนอยู่กลางอากาศราวกับเป็นเป้า แคสเดียผู้มีประสบการณ์ต่อสู้มาหลายร้อยครั้งและไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อนในที่สุดก็ได้ลิ้มรสชาติแห่งความสิ้นหวังเป็นครั้งแรกในชีวิต

 

ภาพย้อนหลังหลายสิบปีที่ผ่านมาฉายชัดอยู่ในหัว ด้วยภาพสุดท้าย เขาจับจ้องไปยังหญิงสาวนางหนึ่งที่แสนมีเสน่ห์ เธอสวมชุดสีขาวงดงามพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าขณะที่เธอยืนอยู่ท่ามกลางสายลม

 

“เอสเธอร์เทล…” รอยยิ้มแห่งความคิดถึงพุ่งเข้าที่มุมปาก นักรบเปล่งเสียงเบา ๆ เพื่อสาปแช่งว่า “ที่นี่คือโลกของปีศาจอย่างแท้จริง” ก่อนที่ร่างของเขาจะถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ด้วยลมแรงในเวลาต่อมา