ตอนที่ 310 หัวเราะครื้นเครง

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดวกไปวนมา พูดตรงๆ ว่า “ท่านน้า วันนี้ที่พวกข้ามาเพราะอยากถามท่านว่าค่ายทหารของพวกท่านยังต้องการฉั่งฉิกหรือไม่เจ้าคะ”

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยหยุดชะงักอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ขมวดคิ้ว ไตร่ตรองสักพัก แล้วกล่าวว่า “ตอนนี้ทหารไม่กรีธาทัพออกรบ จึงใช้ยาน้อยลง เกรงว่าจะไม่ซื้อฉั่งฉิกของเจ้าทั้งหมดเหมือนครั้งก่อน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย โบกมือไปมา “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ฉั่งฉิกพวกนี้ถ้าหากขายที่อื่น กำไรจะมากกว่า ข้าแค่เกรงว่าท่านน้าต้องการ จึงตั้งใจมากับหวงฝู่อี้เซวียนเพื่อมาถาม ถ้าหากพวกท่านไม่ต้องการ ข้าก็จะจัดการเอง”

 

 

“เจ้าอย่าเพิ่งรีบขายให้ผู้อื่น พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ถวายความสำคัญของฉั่งฉิกให้ฮ่องเต้ฟังก่อน ยามนี้ไม่มีสงคราม ไม่ได้แปลว่าภายหน้าจะไม่มี ถ้าเจ้าขายให้ผู้อื่น ถ้าหากถึงยามศึกสงครามค่ายทหารต้องการอีกก็เกรงว่าจะไม่ทันแล้ว” ฉู่เหวินเจี๋ยห้ามนางไว้

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวว่า “ท่านน้ารีบไปรีบมา พวกข้าอยู่รอข่าวท่านที่นี่”

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยรีบลุกขึ้นทันที สั่งลุงฝูให้ดูแลทั้งสองให้ดี แล้วรีบขี่ม้ามาที่วังอย่างรวดเร็ว รายงานเรื่องนี้ให้ฮ่องเต้

 

 

ฮ่องเต้ทรงได้ฟัง ก็ตกพระทัยอย่างมาก เขารู้เพียงว่าสามปีก่อน ค่ายทหารได้รับยาสมุนไพรชั้นดีหนึ่งชุด ไม่เพียงแต่ลดอาการปวดให้กับทหารที่บาดเจ็บ ยังช่วยชีวิตทหารที่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงจนอาจถึงแก่ชีวิต แต่ไม่เคยรู้เลยว่า ยาพวกนี้มาจากเมิ่งเชี่ยนโยว หลังจากตกพระทัยแล้ว ก็นึกถึงปัญหาตรงหน้า ถ้าหากไม่รับซื้อยาสมุนไพรพวกนี้ หากเกิดสงครามจริงๆ แล้วไม่สามารถหาได้จากที่อื่นอีก แต่หากรับซื้อยาสมุนไพรพวกนี้แล้ว ภายในสามปีไม่มีสงครามเกิดขึ้น ก็เท่ากับว่าใช้ตั๋วเงินในคลังเงินของประเทศไปไม่น้อย โดยที่ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เลย จึงเกิดความลังเลใจ

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยสังเกตจากสีหน้าและคำพูด ก็รู้ว่าในใจฮ่องเต้คิดอะไรอยู่ จึงพูดเติมไฟ กล่าวว่า “ฉั่งฉิกพวกนี้สามารถทำเม็ดยาออกมาได้หลายอย่าง ไม่เพียงแต่สามารถใช้ได้แค่ในค่ายทหาร สำหรับครอบครัวตระกูลที่มีเงินมีทอง ก็เป็นยาชั้นดีที่หาได้ยากเช่นกัน แม้ว่าหลายปีมานี้ทหารจะไม่กรีธาทัพ แต่ทหารทั้งหลายที่ปกป้องชายแดนก็ต้องการ กระหม่อมอยากให้ฝ่าบาทใคร่ครวญให้ดีพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฮ่องเต้หมุนแหวนนิ้วโป้งไปมา กะพริบตา กล่าวถามว่า “ยาสมุนไพรพวกนี้ต้องใช้ตั๋วเงินประมาณเท่าใด”

 

 

“ทูลฝ่าบาท ราคาสามปีก่อนคือหนึ่งล้านตำลึง ไม่รู้ว่าตอนนี้ราคาเพิ่มขึ้นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ฉู่เหวินเจี๋ยตอบตามความจริง แต่ไม่ได้สังเกตเห็นตอนที่ฮ่องเต้ได้ยินจำนวนเงินนั้น มือที่หมุนแหวนนิ้วโป้งของฮ่องเต้นั้นหยุดชะงักไปชั่วครู่

 

 

คิดหนักไปสักพัก ฮ่องเต้กล่าวด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ใดๆ ว่า “ข้ารู้แล้ว ให้ข้าปรึกษาหารือกับเหล่าขุนนางก่อน อีกสองสามวันค่อยให้คำตอบเจ้า เชิญท่านแม่ทัพกลับก่อนเถิด”

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยรับคำสั่ง เดินออกจากห้องทรงพระอักษร แล้วออกจากประตูวัง

 

 

แต่หลังจากเขาออกไป ฮ่องเต้ก็หลับตาครุ่นคิดสักพัก แล้วตรัสสั่งว่า “เข้ามา”

 

 

ขันทีที่ดูแลรับคำสั่งแล้วก้าวเข้ามา

 

 

“รายงานราชโองการของข้า เรียกท่านอ๋องฉีเข้าวังอย่างเร่งด่วน”

 

 

ขันทีนำพระราชโองการรีบมาถึงจวนอ๋องฉี

 

 

หลังจากท่านอ๋องฉีได้รับพระราชโองการก็เกิดความสงสัยในใจ ช่วงนี้ไม่ได้ยินว่าเกิดเรื่องใหญ่อันใดในวัง เพราะเหตุใดเสด็จพี่จึงเรียกตนเข้าวังอย่างเร่งด่วน จึงไม่กล้าชักช้าแต่อย่างใด เปลี่ยนเป็นชุดทางการ มาถึงในวัง เข้ามาในห้องทรงพระอักษร กำลังจะทำความเคารพ ก็ได้ยินเสียงที่รู้สึกได้ว่ามีความประจบสอพลออยู่ในนั้นของฮ่องเต้ว่า “น้องข้า ต่อไปข้ามธรรมเนียมปฏิบัติพวกนี้ไปเถิด”

 

 

ท่านอ๋องฉีแปลกใจ เงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้อย่างไม่เข้าใจ

 

 

เสียงแปลกๆ ของฮ่องเต้ดังขึ้นอีกครั้ง “เก้าอี้ น้ำชา”

 

 

นางกำนัลคนหนึ่งรีบยกเก้าอี้นุ่มมาวางด้านหลังเขา นางกำนัลอีกคนรีบยกโต๊ะเล็กๆ มาวางข้างหน้าเขา นางกำนัลคนที่สามรีบยกน้ำชาที่ร้อนๆ มีกลิ่นหอมค่อยๆ วางลงบนโต๊ะที่อยู่ข้างหน้าเขา

 

 

ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์เกือบยี่สิบปี แต่ท่านอ๋องฉีกลับไม่เคยได้รับการปฏิบัติดูแลเยี่ยงนี้มาก่อนเลย ก็ร้อนรนในใจ เงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ กล่าวถามอย่างระมัดระวังว่า “เสด็จพี่ เซวียนเอ๋อร์สร้างปัญหาใหญ่หลวงอะไรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

มีแค่เรื่องนี้ หลายเดือนมานี้ตนแทบไม่ออกจากจวน ไม่มีเรื่องที่ทำผิดแน่ๆ ฮ่องเต้ปฏิบัติกับตนเยี่ยงนี้ ต้องเป็นเพราะเซวียนเอ๋อร์สร้างปัญหาใหญ่หลวงแน่ๆ เสด็จพี่อยากลงโทษเขาอย่างหนัก แต่ก็กลัวตนไม่พอใจ จึงเรียกตนมาก่อน เพื่อปลอบใจตนก่อน คิดถึงนี้ สีหน้าก็เริ่มซีด เหมือนนั่งอยู่บนกองไฟ รีบลุกขึ้นยืน กล่าวขอร้องว่า “เซวียนเอ๋อร์อายุยังน้อย ถ้าหากทำเรื่องผิดใหญ่หลวงอันใด ข้าขอรับแทนเขา ขอเสด็จพี่อภัยโทษให้เขาสักครั้งเถิด”

 

 

ฮ่องเต้หัวเราะออกมา “น้องพูดอะไร เซวียนเอ๋อร์ฉลาดและเชื่อฟังมาก จะทำเรื่องผิดใหญ่หลวงได้อย่างไร วันนี้ที่ข้าเรียกเจ้ามาเพราะจะปรึกษาเรื่องอื่นกับเจ้า เจ้าอย่าตื่นตกใจ”

 

 

ไม่ใช่ลูกชายตนเกิดเรื่อง ท่านอ๋องฉีก็วางใจ เช็ดเหงื่อที่ออกมาบนหน้าผากให้หมด กลับมาเป็นท่าทางสง่าเหมือนเดิม “เสด็จพี่มีเรื่องอันใดก็ตรัสมาตรงๆ เถิด ขอแค่เป็นเรื่องที่น้องทำได้ น้องจะทำอย่างสุดความสามารถแน่นอน”

 

 

ฮ่องเต้ยิ้มอย่างอ่อนโยน ยื่นมือขวาออกมา แล้วทำท่าเชิญ “เจ้านั่งลงก่อน ข้าจะค่อยๆ พูดให้เจ้าฟัง”

 

 

ท่านอ๋องฉีรู้สึกได้รับความโปรดปรานอย่างไม่คาดฝันมาก่อนจึงรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พูดอย่างถูกต้องคือรู้สึกมึนงง เสด็จพี่ของตนท่านนี้ ตั้งแต่เกิดมาก็เป็นองค์ชายรัชทายาท จึงมีท่าทางที่สูงส่งกว่าผู้อื่น แม้ว่าจะเป็นน้องชายแท้ๆ ที่มีท่านแม่คนเดียวกัน แต่ก็แค่สนิทกว่าผู้อื่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ความรู้สึกก็ยังคงห่างเหิน แล้วก็ไม่เคยได้รับการปฏิบัติเยี่ยงนี้มาก่อน วันนี้เป็นครั้งแรก

 

 

 

 

ในตอนนี้ท่านอ๋องฉียังคงมึนงงอยู่ ฮ่องเต้จึงกล่าวอีกว่า “น้องข้า เรื่องที่ซื่อจื่อเฟยของเซวียนเอ๋อร์ปลูกยาสมุนไพรไว้มากมาย เจ้ารู้หรือไม่”

 

 

ท่านอ๋องฉียังไม่รู้สึกตัว แต่ก็ส่ายหัวไปมา “เรื่องนี้น้องไม่เคยได้ยินมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วคลายออกในทันที ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เรื่องใหญ่เยี่ยงนี้เซวียนเอ๋อร์ไม่เคยบอกกล่าวเจ้าเลยหรือ”

 

 

ท่านอ๋องฉียังคงส่ายหัวไปมา “เรื่องของพวกเขาข้าไม่เคยเอ่ยถาม”

 

 

ถามท่านอ๋องฉีกี่เรื่องก็ไม่รู้อะไรเลย รอยยิ้มบนใบหน้าของฮ่องเต้เริ่มฝืนยิ้มไม่ไหว “แล้วน้องรู้หรือไม่ว่าเซวียนเอ๋อร์และซื่อจื่อเฟยของเขาอยากจะขายยาสมุนไพรพวกนี้ให้ราชสำนัก”

 

 

ในที่สุดท่านอ๋องฉีก็รู้สึกตัว ตกใจจนแทบกระโดดขึ้นมา กล่าวถามด้วยความตกใจว่า “มีเรื่องเยี่ยงนี้หรือ เหตุใดข้าจึงไม่รู้เรื่องใดๆ เลย”

 

 

ฮ่องเต้สูดหายใจเข้าลึกๆ สูดหายใจเข้าอีกครั้ง แล้วก็สูดหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง จึงจะควบคุมตัวเองไม่ให้โยนสานส์ตรงหน้าใส่หน้าท่านอ๋องฉี อยู่ในจวน แต่กลับไม่รู้เรื่องใดๆ ในจวนของตนเลย ก็ไม่รู้ว่าเป็นท่านอ๋องได้อย่างไร

 

 

ท่านอ๋องฉียังคงตกใจอยู่ จึงไม่สังเกตอารมณ์ของฮ่องเต้

 

 

ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง แต่ไม่มีความประจบสอพลอเหมือนเมื่อครู่ กลับมีความเกรงขามขึ้นมาเล็กน้อย “งั้นเจ้าก็ยิ่งไม่รู้ว่าพวกเขาขายยาสมุนไพรพวกนี้ในราคาเท่าใด”

 

 

ท่านอ๋องฉียังคงส่ายหัวไปมา

 

 

น้ำเสียงต่ำของฮ่องเต้ดังขึ้นว่า “หนึ่งล้านตำลึง”

 

 

ครั้งนี้ท่านอ๋องฉีกระโดดขึ้นมาจริงๆ หลุดตะโกนออกมาว่า “หนึ่งล้านตำลึง”

 

 

ฮ่องเต้พยักหน้า เสริมอีกประโยคว่า “นั่นเป็นราคาของสามปีที่แล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เท่าใดแล้ว”

 

 

“ทำเยี่ยงนี้ได้อย่างไร” ในน้ำเสียงของท่านอ๋องฉีเต็มไปด้วยความไม่เห็นด้วย “สิ่งที่จะขายให้ราชสำนักจะเอาตั๋วเงินมากมายเยี่ยงนี้ได้อย่างไร…”

 

 

พูดถึงนี้ สีหน้าของฮ่องเต้ก็เกิดรอยยิ้มออกมา

 

 

ไม่รู้เลยว่า ท่านอ๋องฉีพูดต่อว่า “ไม่ได้ ข้าจะต้องกลับจวนไปบอกพวกเขาทันทีว่าคลังเงินไม่มีตั๋วเงินขนาดนั้น ให้พวกเขายกให้ราชสำนักโดยที่ไม่เก็บตั๋วเงินเลย หรือไม่ก็ขายให้ผู้อื่น”

 

 

ไม่เพียงแต่รอยยิ้มบนใบหน้าของฮ่องเต้ที่หายไป มือก็เริ่มสั่นอย่างไม่รู้ตัว คนหน้าเนื้อใจเสืออย่างหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว ถ้าหากบังคับให้พวกเขายกยาสมุนไพรให้ราชสำนักโดยที่ไม่เก็บตั๋วเงิน พวกเขาก็กล้าป่าวประกาศให้ทุกคนในรัฐอู่ได้รับรู้แน่นอน แล้วฮ่องเต้อย่างเขา ทำเรื่องแย่งยาสมุนไพรประชาชนเยี่ยงนี้ ทุกคนได้หัวเราะเยาะตนแน่ๆ ต่อไปต่อหน้าประเทศอื่นฮ่องเต้อย่างเขาก็เงยหน้าขึ้นมาไม่ได้อีก

 

 

ขันทีที่ดูแลรับใช้อยู่ข้างๆ เห็นความโมโหของฮ่องเต้แล้ว ฉวยโอกาสที่ฮ่องเต้ไม่เห็น ส่งสัญญาณให้ท่านอ๋องฉีอย่างสุดแรง ให้เขาอย่าเอ่ยต่อ

 

 

แต่ท่านอ๋องฉีก็ยังไม่รู้ตัว ลุกขึ้นยืน ทำความเคารพฮ่องเต้ “เสด็จพี่ น้องจะกลับจวนไปคุยกับพวกเขาเดี๋ยวนี้” พูดจบ ก็ไม่สนว่าฮ่องเต้อนุญาตหรือไม่ หันหลังแล้วจะเดินออกจากห้องทรงพระอักษรทันที

 

 

“หยุดเดี๋ยวนี้” ฮ่องเต้เอ่ยห้ามเขาอย่างเสียงดัง

 

 

ท่านอ๋องฉีหยุดเดิน กัดฟันตัวเอง หันกลับไป แล้วกล่าวถามว่า “เสด็จพี่จะตรัสสั่งอะไรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

สีหน้าของฮ่องเต้เริ่มขรึมลง ในน้ำเสียงก็ซ่อนความความโมโหไว้ “เจ้านั่งก่อน”

 

 

ท่านอ๋องฉีนั่งกลับไปที่บนเก้าอี้นุ่ม ไม่รอให้ฮ่องเต้เอ่ย ยกน้ำชาขึ้นมาดื่มก่อนหนึ่งคำ

 

 

น้ำเสียงจำใจของฮ่องเต้ลอยเข้ามาในหูของเขาว่า “เจ้ากลับจวนไปถามก่อนว่า ยาสมุนไพรพวกนี้ถูกกว่านี้ได้หรือไม่”

 

 

น้ำชาในปากของท่านอ๋องฉีพุ่งออกมาทันที พุ่งมาตรงหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้พอดี พูดตรงๆ คือแทบจะโดนตัวฮ่องเต้ทั้งหมด

 

 

ในห้องทรงพระอักษรเงียบกริบทันที

 

 

นางกำนัลและขันทีต่างหยุดชะงักกันทั้งหมด ไม่มีผู้ใดเข้าไปเช็ดให้ฮ่องเต้

 

 

จนเสียงตะคอกด้วยความโมโหของฮ่องเต้ดังขึ้นมา “หวงฝู่จิ้ง กฎมารยาทที่เจ้าเรียนมาหายไปไหนหมด”

 

 

ทุกคนจึงรู้สึกตัวขึ้นมา พุ่งเข้าไปทั้งหมด ช่วยฮ่องเต้เช็ดกากชาบนพระวรกายและพระพักตร์​ ห้องทรงพระอักษรวุ่นวายไปหมด

 

 

ท่านอ๋องฉีหยุดชะงักไป ทำตาโตแล้วมองความวุ่นวายตรงหน้าอย่างมึนงง ไม่รู้ว่าควรทำตัวเยี่ยงไร

 

 

ฮ่องเต้โมโหจนผลักทุกคนออก เห็นท่าทางมึนงงของท่านอ๋องฉีที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่รู้เหตุใด ความโมโหในสมองหายไปจนหมด แล้วยิ้มออกมา “น้องข้า ตั้งสติเสียทีเถิด”

 

 

ท่านอ๋องฉีตื่นขึ้นมาทันที วางแก้วชาในมือไว้บนโต๊ะอย่างรวดเร็ว ลุกขึ้นยืน ขอประทานโทษ “เสด็จพี่ ข้า…ข้า…ข้า…ข้า…”

 

 

“เพราะเจ้า เป็นครั้งแรกที่ข้าอยู่ในสภาพแบบนี้ เจ้ารู้สึกเช่นไร” ฮ่องเต้กล่าวถามอย่างขบขัน

 

 

ท่านอ๋องฉีตกใจจนตัวสั่น ก้มศีรษะจนแทบติดพื้น “ข้า…ข้า…ข้า…”

 

 

ไม่รู้เลยว่า ร่างกายที่สั่นของท่านอ๋องฉีนั้นเป็นเพราะเขากลั้นหัวเราะไม่ไหวแล้ว จึงต้องรีบก้มตัวลง ไม่กล้าเอ่ยอะไร

 

 

“ฝ่าบาทไปเปลี่ยนชุดที่อาคารหย่างซินเตี้ยนก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ ไม่เช่นนั้นจะทรงพระประชวร แล้วกระทบถึงพระวรกายได้” ขันทีผู้ดูแลรีบกล่าวด้วยความร้อนใจ

 

 

ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ “ข้าไม่ได้อ่อนแอเยี่ยงนั้น เอาเสื้อมาก็พอ”

 

 

ขันทีผู้ดูแลรีบสั่งคนไปเอาเสื้อ

 

 

ท่านอ๋องฉีกลั้นยิ้มอย่างลำบาก ร่างกายหยุดสั่น ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น “เสด็จพี่ พระวรกายสำคัญมาก มีเรื่องอะไรเราค่อยคุยกันวันอื่นเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ ค่อยๆ นั่งกลับไปบนเก้าอี้นุ่ม มองดูสานส์ตรงหน้าที่ไม่เปียกแม้แต่น้อย แล้วมองดูเสื้อผ้าของตน เงยหน้าขึ้น มองไปทางท่านอ๋องฉีแล้วยิ้ม “น้องข้า ไม่รู้ว่าสภาพของข้าแบบนี้คู่ควรกับตั๋วเงินเท่าใด”

 

 

ขาของท่านอ๋องฉีอ่อนลง ตึกตัก คุกเข่าลงบนพื้นทันที “เสด็จพี่ ทันทีที่ข้ากลับไปจวน จะสั่งให้เซวียนเอ๋อร์และซื่อจื่อเฟยของเขายกยาสมุนไพรทั้งหมดให้ราชสำนักทันที ไม่รับตั๋วเงินแม้แต่ตำลึงเดียว“

 

 

ฮ่องเต้อยากเพ่งมองสีหน้าของเขาว่าจริงหรือเท็จ แต่ท่านอ๋องฉีเอาแต่ก้มศีรษะลง เขามองไม่เห็นแม้แต่น้อย จึงสูดหายใจเข้าลึกๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ข้าไม่ได้บอกว่าจะเอายาสมุนไพรของพวกเขาโดยไม่จ่ายตั๋วเงิน เจ้ากลับไปจวนไปถามราคา แล้วให้คำตอบข้าก็พอ”

 

 

ท่านอ๋องฉีคุกเข่าลงบนพื้น รับคำสั่ง

 

 

ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ “ออกไปเถิด”

 

 

หลังจากท่านอ๋องฉีขอบพระทัยเสร็จ ก็ไม่ได้ลุกขึ้น ค่อยๆ คลานเข่าแล้วถอยหลังไปจนถึงหน้าประตูห้องทรงพระอักษร จึงจะลุกขึ้น แล้วรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ท่าทางเหมือนกับวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน

 

 

ฮ่องเต้หรี่ตาลง สีหน้าเยือกเย็น

 

 

ท่านอ๋องฉีมาถึงนอกวัง แล้วขี่ม้ากลับจวนอ๋องฉีอย่างรวดเร็ว แล้วรีบกลับไปที่ห้องหนังสือของตน

 

 

พ่อบ้านเห็นท่าทางรีบร้อนของเขา คิดว่าเกิดอะไรขึ้น จึงเดินตามหลัง มารอรับใช้ที่หน้าห้องหนังสือ ใครจะคิดว่ายังไม่ทันยืนตรง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะครื้นเครงของท่านอ๋องฉีที่ดังออกมาจากห้องหนังสือ พ่อบ้านสะดุดขาจนเกือบล้มลงบนพื้น อยู่จวนอ๋องฉีมานานหลายปี ยังไม่เคยเห็นท่านอ๋องฉีหัวเราะอย่างนี้มาก่อน ความสุขในเสียงหัวเราะนั้น ทำให้คนที่ได้ยินอยากจะหัวเราะตามออกมาอย่างไม่รู้ตัว

 

 

ประมาณครึ่งชั่วยามผ่านไป เสียงหัวเราะของท่านอ๋องฉีจึงจะหยุดลง ผ่านไปสักพัก ท่านอ๋องฉีจึงเปิดประตูห้องหนังสือออก ค่อยๆ เดินออกมาด้วยท่าทางสบายๆ แล้วกล่าวถามด้วยรอยยิ้มว่า “ซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟยล่ะ อยู่ในจวนหรือไม่”