พ่อบ้านตอบกลับอย่างเคารพว่า “ท่านอ๋อง ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยไปจวนของท่านแม่ทัพขอรับ ยังไม่กลับมา”

 

 

“ส่งคนไปแจ้ง ให้พวกเขากลับมาเร็วๆ บอกว่าข้ามีเรื่องจะปรึกษากับพวกเขา”

 

 

พ่อบ้านรับคำสั่ง เดินออกไปอย่างรวดเร็ว สั่งคนไปจวนท่านแม่ทัพ

 

 

หลังจากฉู่เหวินเจี๋ยกลับมาที่จวนท่านแม่ทัพ บอกท่าทีของฮ่องเต้กับหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว ในขณะที่ทุกคนกำลังครุ่นคิดอยู่ ลุงฝูเข้ามารายงานว่า “ท่านแม่ทัพ คนจากจวนอ๋องฉีมาขอรับ บอกให้ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยกลับจวนด่วนขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนมองหน้ากัน ต่างแปลกใจ แต่ก็ลุกขึ้นทันที เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านน้า รบกวนท่านบอกท่านน้าสะใภ้ว่าวันนี้พวกเราไม่ได้อยู่ทานอาหารอร่อยๆ ที่นางจัดเตรียมไว้ให้แล้วเจ้าค่ะ รอวันไหนมีเวลาพวกข้าค่อยมาใหม่”

 

 

ท่านอ๋องฉีส่งคนมาแจ้ง แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องเล็กแน่ๆ ฉู่เหวินเจี๋ยก็ไม่ให้พวกเขาล่าช้า พยักหน้า “ข้าจะบอกให้ พวกเจ้ารีบกลับไปเถิด ถ้าหากมีเรื่องที่จัดการไม่ได้ ให้คนมาแจ้งข้า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนยิ้มรับรู้ หลังจากบอกลาฉู่เหวินเจี๋ยแล้ว ก็กลับมาที่จวนอ๋องฉี มาที่ห้องหนังสือของท่านอ๋องฉี

 

 

แต่งเข้าจวนมานานหลายเดือน แต่ก็เป็นครั้งแรกที่เมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาในห้องหนังสือของท่านอ๋องฉี แต่ก็ไม่ได้มองด้วยความอยากรู้อยากเห็น หลังจากทำความเคารพท่านอ๋องฉีพร้อมกับหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว ก็ยืนข้างๆ หวงฝู่อี้เซวียนอย่างสงบ

 

 

“เสด็จพ่อ ท่านรีบร้อนเรียกพวกข้ากลับมานั้นมีเรื่องอันใดหรือไม่ขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวถาม

 

 

ท่านอ๋องฉีไอออกมาเบาๆ แล้วชี้ไปที่เก้าอี้ด้านหน้า “พวกเจ้านั่งเถิด” เห็นทั้งสองนั่งลงแล้ว ท่านอ๋องฉีก็ไออกมาอีกครั้ง แล้วจึงกล่าวถามออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าได้ยินว่าพวกเจ้าจะขายยาสมุนไพรชั้นดีให้ราชสำนักหรือ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวหยุดชะงักไปสักพัก ไม่รู้ว่าท่านอ๋องฉีไปได้ยินข่าวนี้มาจากที่ใด

 

 

มองความสงสัยของพวกเขาออก ท่านอ๋องฉีจึงยิ้มแล้วอธิบายว่า “เมื่อครู่เสด็จพี่เรียกข้าเข้าวังไป ตั้งใจบอกเรื่องนี้กับข้า เขายังถามข้าว่า…” พูดถึงนี้ ไม่เพียงแค่น้ำเสียง แม้แต่ใบหน้าก็มีรอยยิ้มที่กลั้นไม่ไหวออกมา “เขาถามข้าว่า…ถูกกว่านี้ได้หรือไม่”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหยุดชะงักไป ตาโต เพ่งมองไปที่ท่านอ๋องฉี ไม่แน่ใจว่าตัวเองฟังผิดหรือไม่

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก้มหน้าลงไป

 

 

ท่านอ๋องฉีเห็นไหล่ที่สั่นไม่หยุดของนาง ก็รู้ว่านางเหมือนกับตน ที่ก้มหน้ากลั้นหัวเราะ ก็ไม่ได้เปิดเผยนาง หันไปทางหวงฝู่อี้เซวียน กล่าวถามด้วยรอยยิ้มที่กลั้นไม่อยู่ว่า “ได้หรือไม่”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินอย่างชัดเจน ก็รู้สึกตัวขึ้นทันที มองเมิ่งเชี่ยนโยวที่อยู่ข้างๆ เห็นนางแค่ก้มหน้า ไม่พูดจา คิดว่าในใจนางไม่ยอม จึงหันหลัง เอ่ยกับท่านอ๋องฉีว่า “เสด็จ…”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้นขัดจังหวะเขา “เสด็จพ่อเจ้าคะ ฮ่องเต้ได้เอ่ยหรือไม่ว่าอยากให้ลดเท่าใด”

 

 

ท่านอ๋องฉีหยุดชะงักไป กล่าวตอบไปว่า “อันนี้เสด็จพี่ไม่ได้ตรัส สถานการณ์ตอนนั้นข้าก็ไม่ได้เอ่ยถาม”

 

 

คิ้วที่สวยงามของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ขมวดทันที “ถ้าเช่นนั้นก็ยากแล้วเจ้าค่ะ ลดมากไป พวกเราก็สูญเสียมาก ลดน้อยไป ถ้าหากฮ่องเต้ไม่พอใจ พวกเราก็สูญเสียซ้ำสองในครั้งเดียว ไม่เพียงแต่ไม่ได้ตั๋วเงิน ยังผิดใจกับฮ่องเต้อีก”

 

 

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ท่านอ๋องฉีพยักหน้า “ข้าจะเข้าวังอีกครั้ง ถามเสด็จพี่ก่อน ดูว่าเขาอยากลดประมาณเท่าใด”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามไว้ “เสด็จพ่ออย่าไปเลยจะดีกว่า ท่านไปถามเยี่ยงนี้ ฮ่องเต้ทรงขายหน้า ไม่แน่อาจจะโมโหมากกว่าเดิมก็เป็นได้”

 

 

“เช่นนั้นพวกเราจะทำเยี่ยงไร”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มออกมา “คลังเงินไม่ได้เป็นเพราะไม่มีตั๋วเงินนี้ ที่ฮ่องเต้ถามท่านเยี่ยงนี้ นั่นเป็นเพราะตอนนี้ไม่มีสงคราม ยาสมุนไพรพวกนี้หากซื้อกลับไปก็แค่กักตุนไว้ ไม่ได้ใช้งาน หากจ่ายไปหนึ่งล้านตำลึงก็ไม่คุ้มค่า หากไม่ซื้อ ก็กลัวว่าจะเกิดสงครามขึ้น แล้วไม่มียาสมุนไพร เพิ่มยอดการบาดเจ็บและการสูญเสียของเหล่าทหาร ทำให้ท่านน้าและเหล่าทหารไม่พอใจ ฉะนั้น ฮ่องเต้จึงอยากให้พวกเราลดราคาลงเจ้าค่ะ”

 

 

ท่านอ๋องฉีพยักหน้าอย่างเข้าใจ ไม่แปลกเลยที่เสด็จพี่ลดตัวลงมาถามคำถามเยี่ยงนี้กับตน ที่แท้เป็นเพราะเยี่ยงนี้นี้เอง แต่เสด็จพี่พิจารณาถูกต้องแล้ว แม้ว่าหนึ่งล้านตำลึงจะไม่มาก แต่ถ้าพอเจอภัยพิบัติก็มีประโยชน์อย่างมาก สามารถช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยได้ ถ้าหากมีแค่ยาสมุนไพร ก็ทำอะไรไม่ได้มากมาย

 

 

คิดถึงตรงนี้ ก็เก็บรอยยิ้ม กล่าวถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลงว่า “ที่เสด็จพี่พูดก็มีเหตุผล เช่นนั้นพวกเจ้า…”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขัดจังหวะเขา “เสด็จพ่อ พูดตามหลักการค้าขาย ข้าทำค้าขาย ยาสมุนไพรพวกนี้เป็นเพราะขายให้ค่ายทหาร ถ้าหากขายให้ผู้อื่น ข้าสามารถขายได้มากกว่านี้หลายแสนตำลึง นี่แทบจะเป็นราคาต่ำสุดที่พวกเราลดให้ได้แล้ว ข้าลดให้มากกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ เจ้าค่ะ”

 

 

ท่านอ๋องฉีไม่ได้เอ่ยอะไรอีก ตามหลักแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นซื่อจื่อเฟยของจวนอ๋องฉี ตั๋วเงินที่นางหาได้ก็เป็นเงินหนุนจวน ตามส่วนบุคคลแล้ว ก็ตามที่นางเอ่ย นางเป็นคนค้าขาย เหนื่อยลำบากมานานหลายปี แต่กลับไม่ได้กำไร บนโลกนี้ไม่มีคนโง่เขลาเยี่ยงนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งไม่ใช่

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็เงียบ นี่เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่ว่านางจะตัดสินใจเช่นไร เขาก็จะสนับสนุนเต็มที่

 

 

มองสีหน้าของสองพ่อลูกแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรในใจ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “แต่ว่า ตอนที่อยู่จวนท่านแม่ทัพ หลังจากท่านน้ากลับมาบอกท่าทีของฮ่องเต้แล้ว ข้าก็คิดหาวิธีพบกันคนละครึ่งทาง ไม่เพียงแต่ราชสำนักไม่ต้องออกแม้แต่ตำลึงเดียว ตอนที่มีสงครามก็สามารถหยิบออกมาใช้ได้ตลอดเวลา”

 

 

 

 

ท่านอ๋องฉีตาสว่างขึ้นทันที รีบกล่าวถามด้วยความดีใจว่า “เจ้ารีบพูด วิธีอะไร”

 

 

“ยาสมุนไพรพวกนี้เราสามารถขายให้ร้านยาเต๋อเหรินด้วยราคาหนึ่งล้านตำลึง ให้พวกเขากักตุนไว้ ดูแล แน่นอนว่าสามารถขายได้ด้วย แต่กำหนดให้พวกเขาหนึ่งข้อ ถ้าหากมีสงคราม ยาสมุนไพรพวกนี้ต้องให้ค่ายทหารใช้ทั้งหมด ส่วนราคา ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามห้ามเพิ่มราคาเป็นอันขาด ต้องเป็นราคาเดิมเจ้าค่ะ”

 

 

ท่านอ๋องฉีครุ่นคิดไปชั่วครู่ คิดถึงข้อดีในนั้น ก็ปรบมือเห็นด้วยทันที “วิธีนี้ดี เสด็จพี่ต้องเห็นด้วยแน่นอน”

 

 

“แต่ถ้าทำเยี่ยงนี้ เหวินซื่อจะเสียเปรียบ ไม่เพียงแค่ต้นทุนที่ไม่น้อยของยาสมุนไพรพวกนี้ ยังต้องกักตุนอย่างน้อยสามปี” หวงฝู่อี้เซวียนสงสัยเล็กน้อย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ต้องกักตุนสามปี สามารถกำหนดสัดส่วนให้ชัดเจน ส่วนหนึ่งเก็บไว้ให้ราชสำนัก ส่วนหนึ่งให้เหวินซื่อขาย กำไรทั้งหมดก็เป็นของเขา”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยังคงรู้สึกไม่เหมาะสม “ก็ไม่ได้อยู่ดี ตั๋วเงินหลายแสนตำลึงวางไว้ตรงนั้น นั่นเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับคนที่ค้าขาย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “ฉะนั้น ตรงนี้ก็ต้องการให้ฮ่องเต้พระราชทานเสียแล้ว”

 

 

“พระราชทานอะไรรึ” ท่านอ๋องฉีถามด้วยความสงสัย

 

 

“เรื่องนี้ต้องให้เสด็จพ่อออกหน้า ขอฮ่องเต้เขียนป้ายพระราชทานให้ร้านยาเต๋อเหรินด้วยพระองค์เอง แขวนไว้หน้าประตูร้านใหญ่ของร้านยาเต๋อเหริน เยี่ยงนี้ ชื่อเสียงของร้านยาเต๋อเหรินก็จะขจรไปทั่ว ผู้คนรู้จัก ยาสมุนไพรก็ยิ่งขายดีมากขึ้น แน่นอนว่าตั๋วเงินที่สูญเสียไปก็ได้กลับมาจากที่อื่น”

 

 

ความคิดนี้ดี ท่านอ๋องฉียกนิ้วโป้งขึ้น เป็นครั้งแรกที่ชื่นชมเมิ่งเชี่ยนโยวในใจ ต้องบอกเลยว่า นี่เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย พระราชทานป้ายเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับฮ่องเต้ แต่สำหรับร้านยาเต๋อเหรินนั้น กลับเป็นเรื่องใหญ่ที่สร้างชื่อเสียง เงินหลายแสนตำลึงสำหรับร้านยาที่ใหญ่โตของร้านยาเต๋อเหรินแล้ว ไม่ได้ยากลำบากขนาดนั้น ตอนนี้ปัญหาของทั้งสองฝ่ายก็ได้รับการแก้ไขแล้ว เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมาก

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ใช้สายตาที่เลื่อมใสศรัทธามองไปทางเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกะพริบตาปริบๆ ให้เขาด้วยความภูมิใจ หวงฝู่อี้เซวียนตอบกลับด้วยรอยยิ้มเจิดจ้าที่ทำให้คนมองแทบต้านทานไว้ไม่อยู่

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแทบตาบอด

 

 

ท่านอ๋องฉีมองการตอบโต้ไปมาของพวกเขาแล้ว สีหน้าก็เริ่มแดงขึ้นเล็กน้อย กระแอมออกมาอย่างไม่รู้ตัว “เช่นนั้นข้าเข้าวังไปรายงานเสด็จพี่ก่อน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพยักหน้า “เจ้าค่ะ ข้ากับอี้เซวียนจะไปร้านยาเต๋อเหริน ไปบอกเหวินซื่อก่อนเจ้าค่ะ”

 

 

ท่านอ๋องฉีพยักหน้า

 

 

ทั้งสองลุกขึ้น ทำความเคารพ แล้วเดินออกมา

 

 

 

 

ท่านอ๋องฉีก็ลุกขึ้นมา ถอดชุดทางการออกมา แล้วสวมใส่เสื้อผ้าที่ใส่ปกติ หลังจากแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าวังอีกครั้ง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมาจากประตูจวน นั่งบนรถม้า คิดได้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวยุ่งไปมาแทบครึ่งค่อนวันแล้ว ต้องเหนื่อยมากแน่ๆ หวงฝู่อี้เซวียนให้นางนอนลงบนรถ ส่วนตนนอนตะแคงข้างๆ นาง แล้วยื่นแขนอีกข้างขึ้นสูง “เจ้านอนพักก่อน ถึงร้านยาเต๋อเหรินแล้วข้าจะเรียกเจ้า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือแล้วใช้แรง หวงฝู่อี้เซวียนก็นอนหงายในรถ ในขณะที่แปลกใจ เมิ่งเชี่ยนโยวก็หันตัวนอนทับบนตัวของเขาทันที เพ่งมองดวงตาที่โตและเป็นประกายสวยงามของเขา หัวเราะแล้วกล่าวว่า “ในรถแข็งเกินไป บนตัวเจ้าสบายกว่า”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตาลง ค่อยๆ อ่อนตัวลง เพื่อให้นางนอนทับได้สบายมากขึ้น ใช้มือจับผมที่ยาวสลวยของนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรักไม่มีความต้องการอื่นใดแม้แต่น้อยว่า “พักก่อนเถิด ถึงแล้วข้าจะเรียกเจ้า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยววางศีรษะไว้บนอกของเขา ยิ้มแล้วหลับตาลง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มมุมปาก แม้แต่เสียงลมหายใจก็เบาลง กลัวว่าจะรบกวนนาง

 

 

แน่นอนว่าโจวอันที่อยู่ด้านนอกได้ยินบนสนทนาของทั้งคู่ เข้าใจความต้องการของเจ้านาย จึงขี่ม้ารถม้าให้ช้าลง ไปทางร้านยาเต๋อเหรินอย่างช้าๆ

 

 

การเดินทางนี้จะว่าไกลก็ไม่ไกล จะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ แต่ความเร็วของรถม้าวันนี้ช้ากว่ารถวัวอีก ฉะนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวจึงหลับไปจริงๆ หลับสนิทอีกต่างหาก จนถึงหน้าประตูร้านยาเต๋อเหริน หวงฝู่อี้เซวียนมองใบหน้าที่หลับลึกของนาง ก็เรียกนางตื่นไม่ลง จึงไม่ขยับ

 

 

โจวอันก็ไม่เร่งแน่นอน

 

 

รถม้าก็จอดอยู่หน้าประตูร้านยาเต๋อเหรินอย่างนี้อย่างเงียบๆ

 

 

พนักงานของร้านยาเต๋อเหรินเห็นรถม้าของจวนอ๋องฉี ก็รู้เลยว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมา จึงออกไปต้อนรับอยู่หน้าประตู กำลังจะเอ่ยออกมา แต่กลับถูกโจวอันยื่นมือออกมาห้ามไว้ ส่งสัญญาณไม่ให้เขาเอ่ยออกมา

 

 

พนักงานไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่กล้าออกเสียง ค่อยๆ ถอยห่างจากหน้าประตู แล้ววิ่งไปรายงานเหวินซื่อที่ชั้นสอง

 

 

เจ้าเหวินซื่อคนโง่เขลานั้นไม่สนใจอะไรเลย ตึกๆๆ หลังจากวิ่งลงมาอย่างรวดเร็ว เดินก้าวขามาที่หน้าประตู ก็ตะโกนใส่คนในรถม้าอย่างเสียงดังว่า “ถึงหน้าประตูแล้วยังไม่ลงจากรถม้า วันนี้พวกเจ้าจะเล่นอะไรกันอีก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจตื่นเพราะเสียงร้องของเขา ไม่เงยหน้าขึ้น นอนทับบนตัวหวงฝู่อี้เซวียนแล้วกล่าวถามอย่างสะลืมสะลือว่า “ถึงแล้วหรือ ทำไมข้าได้ยินเสียงที่ไม่ได้เรื่องของเหวินซื่อ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนตอบ “อืม” เบาๆ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวค่อยๆ ขยับร่างกายของตน ไม่ได้ลุกขึ้น แต่ให้ตัวเองนอนทับได้สบายกว่านี้ หลับตาแล้วกล่าวว่า “ไม่อยากตื่นเลย”

 

 

เห็นนางลืมตาไม่ขึ้น หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกปวดใจจริงๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้านอนหลับบนรถม้าเถิด ข้าไปพูดกับเขาเอง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง บังคับให้ตัวเองลืมตาขึ้นมา “ช่างเถอะ เราไปด้วยกันดีกว่า จะให้เหวินซื่อเสียเปรียบไม่ได้”

 

 

เสียงของทั้งสองเบามาก แม้ว่าเหวินซื่อจะได้ยิน แต่ก็ได้ยินไม่ชัดว่าทั้งสองคุยอะไรกัน ร้องออกมาดังๆ ด้วยความไม่พอใจว่า “พวกเจ้าสองคนเหตุใดยังไม่ลงจากรถม้า ทำอะไรชักช้าอยู่ได้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นนั่ง หวงฝู่อี้เซวียนก็ลุกขึ้นตาม หลังจากช่วยเมิ่งเชี่ยนโยวจัดเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ก็ลงจากรถม้าก่อน หลังจากนั้นก็หันหลังอุ้มนางออกมา

 

 

เหวินซื่อตกใจตาโต ร้องเสียงดังออกมาด้วยความตกใจว่า “เจ้าเด็กคนนี้ เจ้าบาดเจ็บอีกแล้วหรือ”

 

 

บนถนนใหญ่ ผู้คนไปมามากมาย คนป่วยที่มาร้านยาเต๋อเหริน หมอที่รักษาหลายท่าน ยังมีผู้ดูแลร้านอีกมากมาย ต่างมองมากันหมด

 

 

สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนขรึมลงทันที ยกขาข้างขวาขึ้น ควบคุมแล้วควบคุมอีก จึงจะควบคุมไม่ให้ตนเตะไปทางเหวินซื่อ ไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยอะไร กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่มีความโมโหเหมือนดั่งพายุอยู่ในนั้นว่า “หุบปาก”

 

 

เหวินซื่อหุบปากแน่นทันที ไม่กล้าออกเสียงใดๆ อีกเลย

 

 

หมอและผู้ดูแลร้านที่อยู่ในร้านยาเต๋อเหรินปิดปากแอบยิ้มทันที

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวตรงขึ้นมาชั้นสองอย่างรวดเร็วทันที

 

 

เหวินซื่อตามหลัง

 

 

ถึงชั้นบน หวงฝู่อี้เซวียนวางเมิ่งเชี่ยนโยวลง เหวินซื่อรีบมาข้างหน้านาง มองขึ้นลง สังเกตอย่างละเอียด เห็นว่านางไม่เป็นไรจริงๆ ก็โล่งอกทันที กล่าวว่า “ตกใจหมดเลย ข้าคิดว่าเจ้ามีเรื่องอะไรอีกแล้ว”

 

 

เหลือลฃบตามองด้านบนใส่เขาหนึ่งที เมิ่งเชี่ยนโยวตั้งใจขู่เขาว่า “ไม่ใช่ข้าที่มีเรื่อง แต่เป็นเจ้าที่มีเรื่อง เรื่องใหญ่มากเสียด้วย”