นานมาแล้ว ในตอนที่พวกเรายังเป็นนักเรียนประถม รุ่นพี่อีกงมักจะจับมืออีเซมาโรงเรียนเสมอ เป็นเพราะอาศัยอยู่ในละแวกบ้านเดียวกัน ฉันจึงได้เห็นพวกเขาอยู่บ่อยๆ ภาพของรุ่นพี่ที่จับมือของอีเซที่เล็กยิ่งกว่ามือเล็กๆ ของตัวเองเอาไว้แน่นในตอนนั้น ดูใหญ่โตมากในความทรงจำของฉัน 

 

 

แม้แต่ในวัยนั้นรุ่นพี่อีกงก็ยังดังมากๆ เลยล่ะ ถึงขนาดที่ว่าพวกพี่สาว รวมไปถึงเด็กๆ ที่เด็กกว่าฉัน ต่างก็วิ่งตามหลังรุ่นพี่อีกงกันต้อยๆ เลย  

 

 

รุ่นพี่อีกงในสายตาของเด็กผู้หญิงเนี่ย จะว่าอย่างไรดีล่ะ ดูจะให้ความรู้สึกเหมือนกับเจ้าชายขี่ม้าขาวล่ะมั้ง แน่นอนว่าตัวฉันเองก็ถูกรวมอยู่ในกลุ่มของเด็กผู้หญิงข้างต้นนั่นด้วย 

 

 

อีเซที่เป็นน้องชายของรุ่นพี่ นอกจากจะซุกซนมากแล้ว ก็ยังเข้ากันได้ดีกับพวกเด็กผู้ชายรุ่นเดียวกัน แล้วก็ยังชอบเล่นฟุตบอลด้วย แต่รุ่นพี่อีกงกลับเงียบเป็นพิเศษ แล้วก็ยังเป็นคนที่สุขุมอีกด้วย  

 

 

ฉันเคยได้ยินมาว่า โดยธรรมชาติแล้ว ถ้าเป็นผู้ชายล่ะก็ อย่างน้อยๆ ก็น่าจะเคยกระดูกหักมาบ้างครั้งสองครั้ง แต่ในความทรงจำของฉัน มันไม่เคยเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นกับรุ่นพี่อีกงเลย 

 

 

บางทีคงเป็นเพราะเขาคือนักเต้นที่ถูกคาดหวัง และกวาดรางวัลที่หนึ่งจากการแข่งขันมาตั้งแต่สมัยนั้น เขาจึงระวังตัวเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บ ในเวลาที่พวกเพื่อนๆ ต่างมารวมตัวที่สนามกีฬาแล้วเตะบอลเล่นกัน รุ่นพี่ก็จะนั่งเงียบๆ อยู่ที่ม้านั่ง ฉันมักจะนั่งจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้นเสมอ 

 

 

ไม่เคยมีสักครั้งที่ฉันจะเห็นรุ่นพี่ใช้ร่างกายทำอย่างอื่น นอกจากเต้นบัลเลต์ เพราะงั้นในวันกีฬาสีที่โรงเรียนจัดขึ้นขณะที่รุ่นพี่อยู่ชั้นประถมปีที่หกและฉันอยู่ฉันประถมปีที่สี่ 

 

 

วินาทีที่ได้เห็นรุ่นพี่ซึ่งถูกเลือกให้เป็นนักวิ่งในการแข่งขันวิ่งผลัด ตอนที่ฉันกำลังแจกจ่ายธงบอกลำดับอยู่ตรงเส้นชัย ฉันรู้สึกช็อกมากที่ได้รู้ว่ารุ่นพี่วิ่งเร็วกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ซะอีก  

 

 

 

 

 

‘ฉันเก่งใช่ไหมล่ะ’ 

 

 

 

 

 

ในตอนที่ฉันยื่นธงที่เขียนว่าที่หนึ่งให้รุ่นพี่ รุ่นพี่ก็มองหน้าฉัน แล้วฉีกยิ้มกว้างให้ พลางถามออกมาแบบนั้น รอยยิ้มนั้นแสบตาเสียจนทำฉันยืนอึ้งอ้าปากค้าง และจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของรุ่นพี่จนแทบจะทะลุเข้าไป 

 

 

พอรุ่นพี่รับธงที่อยู่ในมือของฉันไปถือไว้ เขาก็เอามือมาลูบผมหน้าม้าของฉันที่ถักเปียเอาไว้หลวมๆ พร้อมกับพูดคำที่ฉันยังคงจำได้อย่างขึ้นใจ 

 

 

 

 

 

‘ถักผมด้วยนี่นา น่ารักจัง’ 

 

 

 

 

 

เสียงกระซิบของรุ่นพี่ที่ดังออกมาพร้อมกับเสียงหายใจอย่างเหนื่อยหอบช่างอ่อนหวานเหลือเกิน แม้ว่าสำหรับรุ่นพี่แล้ว มันจะเป็นแค่การชวนรุ่นน้องที่ไม่รู้จักชื่อคุยโดยที่ไม่มีความนัยยะแอบแฝงอะไร แต่สำหรับฉันที่เฝ้ามองรุ่นพี่แล้ว คำพูดเล็กๆ แต่ละคำและนิ้วมือนั่น มันช่างหอมหวานราวกับความฝันเลยล่ะ 

 

 

“พอมาคิดดูแล้ว มันเป็นช่วงกีฬาสีสินะ” 

 

 

ฉันเผลอพึมพำออกมาเบาๆ ขณะที่จ้องมองดูลานโรงเรียนที่เต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสี กลิ่นใบไม้แห้งอ่อนๆ ลอยมาตามลมเย็นๆ พอเงยหน้ามองท้องฟ้าอยู่บนม้านั่งอย่างเหม่อลอย ก็ได้เห็นท้องฟ้าสูงโปร่งที่ไม่มีก้อนเมฆเลยสักนิด มันเป็นท้องฟ้าที่มีสีฟ้าจนแสบตา 

 

 

พอดำดิ่งลงสู่ความทรงจำเมื่อครั้งอดีตที่ผุดขึ้นมา ฉันก็เผลอหัวเราะคิกคักออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว แล้วจู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างหล่นลงมาบนหัวของฉัน มือที่มีไออุ่นนั่นทำเอาฉันสะดุ้งตกใจ จนต้องเอนหัวไปข้างหลังเพื่อดูว่าใครเป็นเจ้าของมือนั้น 

 

 

“เมื่อกี้เธอกำลังหัวเราะอยู่คนเดียวงั้นเหรอ” 

 

 

น่าตกใจที่คนที่กำลังยืนจ้องฉันอยู่ข้างหลังม้านั่งนั่นก็คืออีเซนั่นเอง คำพูดของอีเซที่พูดโพล่งออกมาหน้าตายทำให้ใบหน้าฉันร้อนวาบขึ้นมาในพริบตา จนต้องรีบก้มหัวที่เอนอยู่กลับมา 

 

 

“อะ อะไรเล่า” 

 

 

“…น่ากลัวชะมัด” 

 

 

“ไม่ใช่ซะหน่อย! ก็แค่นึกถึงเรื่องเก่าๆ ก็เลย…” 

 

 

หลังจากที่เผลอเสียงดังออกมาด้วยความตกใจ ฉันก็เพิ่งจะรู้สึกตัวว่าอยู่ดีๆ อีเซก็เข้ามาชวนฉันคุยหลังจากที่ไม่ได้คุยกันมานาน มันทำให้ฉันรู้สึกตกใจจนพูดไม่จบประโยค  

 

 

อีเซงับหลอดซึ่งปักอยู่ในกล่องนมพลางดูดหลอดจนมีเสียงดังออกมา ก่อนที่จะถอนหายใจด้วยสีหน้าเนือยๆ พลางเดินมานั่งลงที่ข้างๆ ฉัน 

 

 

อ่า นมรสจืดนี่นา ฉันเผลอหลุดปากพูดออกมา ส่วนอีเซก็จ้องมาที่ฉันด้วยสีหน้างงๆ 

 

 

“…ทำไมต้องจ้องซะขนาดนั้นด้วยล่ะ” 

 

 

ฉันทำปากจู๋พลางแกล้งถามออกมาห้วนๆ ทั้งที่อีเซเป็นคนที่หลบหน้าฉันก่อนแท้ๆ แต่กลับเข้ามาชวนคุยเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนี้ มันเลยทำให้ฉันรู้สึกขนลุกแปลกๆ ตรงจุดที่หมอนั่นมองมามันรู้สึกจั๊กจี้ไปหมด 

 

 

“อย่ายุ่งน่า” 

 

 

อีเซที่ดูดนมเสียงดังเริ่มนั่งเหยียดขาออกมา แล้วเอนหัวลงไปที่พนักพิงของม้านั่ง หลังจากนั้นก็นั่งเงียบไม่พูดอะไรอยู่สักพักใหญ่ๆ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดีจึงได้แต่ปิดปากเงียบ แต่แล้วจู่ๆ อีเซก็พูดขึ้นมาเหมือนกับพูดลอยๆ 

 

 

“จะอะไรก็ได้ พูดมาสักอย่างเถอะน่า” 

 

 

“…หือ ทำไมล่ะ” 

 

 

“ก็ฉันอยากฟังเสียงของเธอน่ะสิ” 

 

 

ในตอนนั้นเสียงตะโกนของพวกนักเรียนชายจากแผนกอื่นที่กำลังเตะบอลอยู่ในสนามกีฬาซึ่งห่างไกลออกไปก็ดังขึ้นมา เสียงของใบไม้แห้งดังกรอบแกรบอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าอันสดใสในฤดูใบไม้ร่วงที่ส่องแสงเป็นประกายสีฟ้า เมื่อฉันคิดได้ว่าความเงียบที่กินเวลามาอย่างต่อเนื่องนี้มันทำให้รู้สึกแปลกประหลาด ฉันจึงต้องแกล้งพูดคำต่างๆ มากมายที่ไม่จำเป็นออกมา และเริ่มต้นบทสนทนาที่ดูไม่เป็นตัวเองขึ้น 

 

 

จริงๆ แล้ว ฉันที่เป็นคนพูดก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองพูดอะไรออกไป ได้แต่เจื้อยแจ้วออกไปโดยเรียงลำดับประโยคไม่ถูกด้วยซ้ำ แม้คำพูดมากมายที่พูดออกมาตามสิ่งที่ตัวเองคิดอย่างมั่วๆ นั้น จะเหมือนกับคำพูดของเด็กน้อยที่เอาแต่อารมณ์เป็นหลัก แต่อีเซกลับนั่งฟังเงียบๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะวาดรอยยิ้มเล็กๆ ออกมาชั่วขณะ ฉันจ้องมองดูแววตาของอีเซ พลางถามไถ่อย่างระมัดระวังคำพูด 

 

 

“ตอนนี้นายหายโกรธฉันแล้วเหรอ” 

 

 

“…เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันโกรธอะไร แต่กลับมาถามว่าหายโกรธแล้วเหรอเนี่ยนะ” 

 

 

อีเซยังคงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ใบหน้าของเขาดูจะอ่อนโยนลงกว่าครั้งแรกที่เห็น ฉันถอนหายใจออกมา พลางนั่งยืดตัวแล้วเอาหัวเอนพิงพนักของม้านั่งในท่าเดียวกับอีเซ ท้องฟ้าสีน้ำเงินที่อยู่ตรงหน้าช่างกว้างใหญ่ราวกับจะไหลทะลักลงมาบนตัวฉันเสียเดี๋ยวนั้น  

 

 

“ฉันก็คงจะทำอะไรผิดสักอย่างมั้ง แบบว่า อีเซ ก็นายไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องอะไรแบบนั้นโดยที่ไม่มีเหตุผลนี่นา” 

 

 

สิ้นเสียงพูดเบาๆ ของฉัน ก็ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องของเหล่านักเรียนชายที่กำลังเตะฟุตบอลอยู่ ว้าว อีเซนั่งรอเงียบๆ จนกว่าเสียงร้องตะโกนนั่นจะหยุดลง ก่อนที่เขาจะทำเสียงเป่าลมออกมาจากปากพลางยิ้ม หลังจากนั้นจึงพูดขึ้นมาอย่างเนือยๆ 

 

 

“…ไม่สมกับเป็นเธอเลยนะ” 

 

 

“เอ๋?” 

 

 

“ช่างเถอะ จะไปหวังอะไรกับยัยเอ๋ออย่างเธอได้ล่ะ” 

 

 

อีเซใช้มือบีบกล่องนมที่ว่างเปล่าจนแบน แล้วโยนเจ้าสิ่งนั้นไปทางถังขยะที่อยู่ห่างไกลออกไป เสียงแหลมๆ ของกล่องนมยับๆ ที่ลอยหวือลงไปอยู่ในถังขยะดังขึ้นพร้อมกับเสียงกระแทกกับเหล็ก ว้าว ฉันจึงอุทานออกมาเบาๆ อีเซหันมาชำเลืองมองฉันพลางทำปากจู๋ 

 

 

“นี่ อีเซ” 

 

 

ไม่รู้ทำไม แต่ฉันรู้สึกว่าถ้าไม่ใช่ตอนนี้ล่ะก็ พวกเราอาจจะไม่สามารถคืนดีกันได้อีกเลย ฉันจึงควงแขนของอีเซเอาไว้แล้วทำท่าทางแอ๊บแบ๊วแบบที่ไม่เป็นตัวเองออกมา ฉันก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะใช้ได้ผลกับอีเซหรือเปล่า แต่มันเป็นวิธีง้อที่ใช้ได้ผลบางครั้งเวลาที่เซจินงอนน่ะ 

 

 

“อะไรเล่า” 

 

 

อีเซแกะแขนของฉันที่ติดหนึบอยู่พลางตีหน้าดุ 

 

 

“นายจะคืนดีกับฉันได้หรือยัง” 

 

 

ฉันทำหน้าให้ดูน่าสงสารที่สุด พร้อมกับส่งสายตาร้องขอการให้อภัย ทำให้ริมฝีปากที่ปิดสนิทอยู่ของอีเซเริ่มกระตุกเบาๆ  

 

 

“…ถอยออกไปห่างๆ เลยนะ” 

 

 

เอ๋ ใบหน้าแดงก่ำนั่น พอฉันที่ทำตัวไม่ถูกปล่อยแขนของอีเซออกอย่างเก้ๆ กังๆ หมอนั่นก็เอาศอกมาดันตัวฉันออก พร้อมกับหันหน้าไปทางอื่น มีกลิ่นของห้องซาวน่าอ่อนๆ ลอยออกมาจากชายเสื้อของอีเซที่ปลิวผ่านปลายจมูก 

 

 

“นี่ มีกลิ่นห้องซาวน่าออกมาจากตัวนายน่ะ” 

 

 

“เธอเป็นหมาหรือไง อย่ามาดมนะ!” 

 

 

ฉันจับชายเสื้อของอีเซแล้วเอาจมูกลงไปดมฟุดฟิดๆ อีเซรีบแผดเสียงดังลั่นขึ้นมา ก่อนจะดึงแขนฉันไว้ ไออุ่นๆ จากหมอนั่นที่สัมผัสลงบนแขนของฉันให้ความรู้สึกจั๊กจี้จัง และใบหน้าของอีเซที่แดงแจ๋ขึ้นมานั่นก็ดูอย่างกับเด็กน้อยเลยแฮะ 

 

 

“ยังไม่กลับบ้านอีกแล้วเหรอ” 

 

 

“ยุ่งน่า” 

 

 

“ถึงวัยแตกเนื้อหนุ่มหรือไง ทำไมต้องทำเรื่องที่ปกติไม่ทำด้วยล่ะ” 

 

 

“…ไม่ใช่อย่างงั้นซะหน่อย ยัยติ๊งต๊อง” 

 

 

อีเซเอานิ้วจิ้มลงบนหน้าผากของฉัน พร้อมกับทำเสียงคำรามใส่ อ่า ความรู้สึกเหมือนกับว่าได้กลับไปเหมือนเมื่อก่อนทำให้ฉันยิ้มออกมา พวกเราในวันวานที่หยอกล้อกัน และหัวเราะคิกคักกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง 

 

 

พอฉันยิ้มร่าออกมา อีเซก็หยุดมือที่แตะอยู่ตรงหน้าผากฉันแล้วค่อยๆ ผละมือออกมา หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน แล้วค่อยๆ เดินไปทางห้องเรียน ฉันรีบเดินตามหลังอีเซไป ใบหน้าด้านข้างของอีเซดูจะแดงเป็นพิเศษ 

 

 

“หายโกรธแล้วใช่ไหม” 

 

 

“…” 

 

 

“ใช่มะ” 

 

 

“หนวกหูน่า” 

 

 

ท่าทางของอีเซที่แสร้งพูดขึ้นมาห้วนๆ นั้นดูน่ารักเสียจนฉันกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ เลยต้องระเบิดหัวเราะดังลั่นออกมาในที่สุด ให้ตายสิ เหมือนเซจินเลยแฮะ ถึงจะขี้งอนแล้วก็ขี้บ่น แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถเย็นชาใส่กันได้จริงๆ เพราะงั้นสินะ พวกเราถึงได้เป็นเพื่อนกัน 

 

 

“อ่า นึกออกแล้ว” 

 

 

“…อะไรล่ะ” 

 

 

ความทรงจำที่ผุดขึ้นมาทำให้ฉันแอบหัวเราะหึๆ เงียบๆ รุ่นพี่อีกงและอีเซที่เคยเดินจับมือกันไปโรงเรียนทุกวันนั้น เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่พวกเขาเดินแยกกันมาโรงเรียน ฉันมองภาพนั้นอยู่ด้านหลัง อีเซที่เดินอย่างเนิบๆ อยู่ข้างหน้าฉันกำลังทำหน้างอนอยู่ และรุ่นพี่อีกงที่เดินตามอยู่ข้างหลังต้อยๆ ก็กำลังทำสีหน้าลำบากใจเป็นอย่างมาก 

 

 

พวกเขาจะเดินแบบนี้อีกนานแค่ไหนกันนะ รุ่นพี่อีกงที่เดินตามหลังอีเซไปอย่างเงียบๆ พูดขึ้นว่า ‘ขอโทษนะ อีเซ’ ต่อจากนั้นอีเซก็หยุดยืน ก่อนจะหันขวับมาทำแก้มป่อง แล้วมองไปที่รุ่นพี่อีกง เขาไม่ยอมพูดอะไรออกมาอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นจ้องเขม็ง 

 

 

นั่นเลยทำให้ฉันหยุดที่จะเดินตามไปด้วย พร้อมกับที่จ้องมองดูท่าทางของสองพี่น้องที่เป็นแบบนั้น แล้วอีเซก็ค่อยๆ ก้าวเข้าไปหารุ่นพี่อีกงที่ออกอาการลังเล เขายังคงทำหน้างอนอยู่เหมือนเดิม แต่แล้วจู่ๆ ก็ยื่นมือไปด้านหน้า ก่อนจะพูดแบบนี้ขึ้น ‘มัวทำอะไรอยู่เล่า ไปกันเถอะ’ 

 

 

“ทำไมเธอเอาแต่หัวเราะคิกคักอยู่คนเดียวเนี่ย น่าขนลุกชะมัด” 

 

 

“อย่ามายุ่งน่า” 

 

 

พอฉันแกล้งทำเป็นดึงหน้าแล้วเลียนแบบคำพูดของอีเซ อีเซก็ทำปากจู๋พร้อมกับใบหน้าบึ้งตึง แล้วจึงยื่นมือที่เคยล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่มาทางฉัน 

 

 

“มัวทำอะไรอยู่เล่า ไปได้แล้ว” 

 

 

น้ำเสียงของอีเซที่ดูห้วนๆ แต่อ่อนโยน อ่า รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาเลยแฮะ ฉันฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับยื่นมือไปจับมือของอีเซ ใช่แล้ว เพราะเป็นแบบนี้สินะเลยทำให้พวกเราเป็นเพื่อนกัน 

 

 

 

 

 

* * *