“คืนดีกันแล้วงั้นเหรอ” 

 

 

“ค่ะ อยู่ดีๆ มันก็กลายเป็นแบบนั้นไปน่ะค่ะ” 

 

 

หลังจากที่เสร็จสิ้นการฝึกซ้อมทั้งหมดเป็นครั้งสุดท้าย พรุ่งนี้ก็จะมีการซ้อมใหญ่เกิดขึ้น ฉันมานั่งตากลมลงตรงม้านั่งที่ลานโรงเรียนหลังจากที่ทำความสะอาดห้องซ้อมเต้นกับรุ่นพี่อีกงเสร็จ รุ่นพี่อีกงยิ้มกว้างพลางเอาเสื้อนักเรียนมาคลุมทับบนเสื้อยืดหลังจากที่ได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับอีเซจากฉัน 

 

 

“แล้วรุ่นพี่ล่ะคะ คืนดีกับอีเซหรือยัง” 

 

 

ฉันถามออกไปอย่างระมัดระวังเมื่อจู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่ารุ่นพี่กับอีเซกำลังอยู่ในช่วงสงครามเย็น รุ่นพี่จึงยิ้มแห้งๆ ตอบกลับมา พลางส่ายหน้าเบาๆ 

 

 

“…คิดว่าคงจะเป็นอย่างนี้ไปสักระยะล่ะมั้ง” 

 

 

รุ่นพี่พูดออกมาแบบนั้น ก่อนจะหันมามองพร้อมกับลูบหัวของฉัน แต่ไม่รู้ทำไมหัวใจมันถึงรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาเป็นพี่น้องที่รักกันจะตายไป แม้จะมีทะเลาะกันบ้างบางครั้งก็เถอะ อีกทั้งฉันยังรู้สึกค้างคาใจกับท่าทางของรุ่นพี่อีกงที่หดหู่เพราะเรื่องของอีเซอีกด้วย แน่นอนว่าจิตใจของรุ่นพี่ก็คงจะรู้สึกอึดอัด และไม่สบายใจเป็นแน่ 

 

 

“เขาไม่บอกจริงๆ เหรอคะว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร” 

 

 

ฉันจับมือของรุ่นพี่ที่ขยี้หัวของฉันจนยุ่งเอาไว้อย่างเบามือ แล้วถามในขณะที่มองตรงไปยังใบหน้าของรุ่นพี่ ฉันอยากจะช่วยแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี ถึงฉันจะไม่รู้ก็เถอะว่าจะช่วยอะไรได้ แต่ถึงอย่างไรฉันก็เป็นทั้งเพื่อนของอีเซ แล้วก็เป็นทั้งแฟนของรุ่นพี่นะ 

 

 

รุ่นพี่มองดวงตาของฉันนิ่ง มุมปากของเขากระตุกนิดหน่อยพร้อมกับแสยะยิ้มอันขมขื่นออกมา อย่างกับว่ามีเงามืดพาดผ่านหางตาที่ดูเศร้าๆ นั่นด้วยสิ 

 

 

“…เพราะพี่ไปแย่งมาน่ะสิ” 

 

 

“…อะไรงั้นเหรอคะ” 

 

 

“ของที่หมอนั่นต้องการมากที่สุด” 

 

 

เสียงทุ้มต่ำของรุ่นพี่ดูเศร้าอย่างน่าประหลาด ฉันตบเบาๆ ตรงหลังมือที่ตัวเองกำลังกุมเอาไว้ พลางถามขึ้น 

 

 

“ยอมเสียสละให้ไปไม่ได้เลยเหรอคะ” 

 

 

“อือ ไม่ได้หรอก” 

 

 

รุ่นพี่พูดคำว่า ‘ไม่ได้หรอก’ ออกมาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดซึ่งแตกต่างจากเมื่อครู่ ก่อนจะยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วลุกขึ้นมาช้าๆ ฉันจึงเผลอลุกขึ้นยืนตามรุ่นพี่ไปด้วย รุ่นพี่ติดกระดุมเสื้อนักเรียนที่คลุมทับเอาไว้อยู่ แล้วเอาเน็กไทที่ถืออยู่ขึ้นมาผูก 

 

 

“ที่จริง การเป็นพี่ไม่ได้แปลว่าจะต้องยอมให้ไปซะทุกอย่างนี่นา ใช่ไหมล่ะคะ” 

 

 

“…” 

 

 

“พอเวลาผ่านไป อีเซก็จะเข้าใจเองนั่นแหละค่ะ” 

 

 

ฉันที่หันเหความสนใจไปที่ใบหน้านิ่งๆ ของรุ่นพี่แกล้งทำเป็นบ่นออกมาว่าอีเซเป็นคนใจแคบ แต่รุ่นพี่กลับหันมามองหน้าฉันแล้วยิ้มให้แทน หรือนั่นจะเป็นการปลอบใจที่เลวร้ายมากกันแน่นะ ด้วยความรู้สึกอับอาย ฉันจึงเงียบไม่พูดอะไรออกมาอีก แล้วมองดูท่าทางของรุ่นพี่นิ่งๆ แต่จู่ๆ รุ่นพี่ก็ก้มตัวลงมาอยู่ในระดับเดียวกับฉัน แล้วแกว่งเน็กไทที่ถูกผูกอยู่ที่คอตรงข้างหน้าฉัน พร้อมพูดขึ้นว่า 

 

 

“ผูกให้หน่อยสิ” 

 

 

“…เดี๋ยวก็จะกลับบ้านแล้ว จะผูกไปทำไมล่ะคะ” 

 

 

“เร็วเข้า” 

 

 

ท่าทางเร่งเร้าด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ อีกทั้งดวงตาเข้มๆ ของรุ่นพี่ทำให้ฉันต้องยื่นมือไปที่ต้นคอของรุ่นพี่ แล้วผูกเน็กไทให้ ทำให้เกิดเสียงผ้าเสียดสีกันไปมา  

 

 

กระดุมเสื้อที่ติดเอาไว้แน่นและมองเห็นลูกกระเดือกของรุ่นพี่อยู่ด้านบนปกคอเสื้อ ทำไมถึงรู้สึกเหมือนว่ามือที่ผูกเน็กไทให้รุ่นพี่อยู่กำลังสั่นกันนะ 

 

 

“…เรียบร้อยแล้วค่ะ” 

 

 

อ้า เสียงสั่นเกินไปอีกแล้ว ฉันรู้สึกอายจนต้องหยิบกระเป๋าของรุ่นพี่มายื่นให้เป็นการแก้เขิน แต่พอรุ่นพี่รับกระเป๋าไปแล้ว เขาก็แค่ยิ้มเล็กๆ พลางจุ๊บลงที่หน้าผากของฉัน ขอบใจนะ เสียงกระซิบแผ่วเบานั่นทำให้หัวใจของฉันเริ่มเต้นรัวขึ้นมาจนรับมือไม่ไหวอีกครั้ง 

 

 

“ท้องฟ้าสีสวยจัง” 

 

 

ท้องฟ้าที่ฉันเงยหน้ามองตามรุ่นพี่ไปนั้น เป็นสีของท้องฟ้ายามดวงอาทิตย์ตกดินที่ท้องฟ้าเกือบจะกลายเป็นสีชมพู ช่วงเวลาก่อนที่ฝนจะตก บางครั้งสีของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าก็จะกลายเป็นสีแบบนั้นได้ ดูๆ ไปแล้วมันก็ทำให้รู้สึกทั้งใจเต้น แล้วก็ขนลุกด้วย ฉันมองเหม่อดูสีสันของท้องฟ้านั่น แล้วจู่ๆ รุ่นพี่ก็ยิ่งบีบมือของฉันแน่นขึ้น 

 

 

“ฮวีกยอม” 

 

 

เสียงทุ้มต่ำที่รุ่นพี่ใช้เรียกชื่อของฉัน ทำให้ฉันหยุดมอง แล้วหันกลับไปมองรุ่นพี่แทน ใบหน้าของรุ่นพี่เป็นสีชมพูคล้ายกับสีของท้องฟ้า รุ่นพี่เกาแก้มที่กลายเป็นสีของไอศกรีมรสแตงโม ทำท่าทางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับปากพูดกับฉัน 

 

 

“ไปกินข้าวเย็น… ที่บ้านพี่ไหม” 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

บ้านของรุ่นพี่อีกงนั้นอยู่ตรงท้ายซอยที่มีบ้านเดี่ยวหลายๆ หลังปลูกรวมกันอยู่ ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนฉันจะเคยตามอีเซมาจนถึงหน้าประตูบ้านบ้าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เข้ามาข้างใน  

 

 

ระหว่างที่ฉันเดินไปรอบๆ บ้าน พลางชะเง้อคอมองดูภายในบ้านที่เก็บกวาดเอาไว้อย่างสะอาดเรียบร้อย รุ่นพี่ก็กำลังเตรียมอาหารเย็นเสียงดังอยู่ข้างในห้องครัว 

 

 

หลังจากที่ฉันเจอรูปครอบครัวขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่ตรงผนังห้องรับแขก ฉันก็ค่อยๆ ย่องไปข้างหน้าภาพนั่นอย่างเงียบๆ คู่สามีภรรยาวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงกลาง พวกเขามีใบหน้าที่คล้ายคลึงกันมาก 

 

 

ฉันหัวเราะคิกคักพลางเหลือบมองไปที่คุณพ่อของรุ่นพี่ที่มีรูปตาแบบเดียวกันกับรุ่นพี่เป๊ะ ส่วนคุณแม่ก็กำลังยิ้มอย่างอ่อนโยน ซึ่งดูแล้วคล้ายกับรุ่นพี่อีกเช่นกัน รอยยิ้มแห่งความสุขที่ไม่ว่าใครเห็นก็จะต้องรู้สึกอบอุ่นหัวใจ แล้วก็ตามด้วยสองพี่น้องที่หน้าตาคล้ายคลึงกันซึ่งยืนอยู่ข้างหลังคุณพ่อคุณแม่  

 

 

แค่มองจากรูปถ่ายก็รู้ได้ว่าเป็นครอบครัวที่ดูรักใคร่กันดี แล้วอยู่ดีๆ ฉันก็รู้สึกปวดปลายจมูกขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ฉันกระแอมออกมาเบาๆ พลางหันหลัง 

 

 

ตู้ที่อยู่ข้างๆ รูปถ่ายนั้นมีถ้วยและเหรียญรางวัลมากมายของรุ่นพี่อีกงวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ พร้อมกันกับรูปภาพของรุ่นพี่และอีเซในวัยเด็ก มันเลยทำให้ฉันรู้สึกอย่างกับว่า ตัวเองได้รู้เรื่องราวในอดีตของรุ่นพี่ที่เป็นความลับเพิ่มขึ้นมา ฉันหัวเราะเบาๆ พลางมองดูสิ่งเหล่านั้นอย่างถี่ถ้วน 

 

 

“อะไรจะสนุกขนาดนั้น” 

 

 

รุ่นพี่ที่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เข้ามากอดเอวของฉันพลางกระซิบเบาๆ 

 

 

“ก็แค่คิดว่า รุ่นพี่เนี่ย เป็นคนที่สุดยอดไปเลยนะคะ” 

 

 

“อะไรกัน อยู่ๆ ก็ชม” 

 

 

“ก็รุ่นพี่ได้รางวัลเพียบเลยนี่คะ” 

 

 

“แน่สิ นี่แฟนใครล่ะ” 

 

 

เสียงกระซิบปนหัวเราะของรุ่นพี่ช่างน่ารักจริงๆ ฉันยิ้มขณะที่จับมือรุ่นพี่นิ่ง เมี่อกี้ตอนที่เข้ามาในบ้านก็ยังรู้สึกสั่นๆ เกร็งๆ ไม่หยุดอยู่เลย แต่พอได้มาอยู่ในที่ๆ เรียกว่าบ้านด้วยกันแบบนี้แล้ว ไม่รู้ทำไมจิตใจมันก็โล่งสบายขึ้น นี่ก็เป็นเวทมนตร์ของรุ่นพี่ด้วยสินะ 

 

 

“กินข้าวกันเถอะ หิวแล้วใช่ไหม” 

 

 

รุ่นพี่จูงมือฉันมายังโต๊ะอาหารที่จัดอาหารเอาไว้เต็มโต๊ะไปหมด ฉันตาลุกวาวแล้วมองไปที่รุ่นพี่ ทันใดนั้นรุ่นพี่ก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน พร้อมกับอธิบายด้วยเสียงที่ฟังแล้วลื่นหู 

 

 

“เพราะพ่อแม่ทำงานข้างนอกทั้งคู่ พวกท่านก็เลยยุ่งมากน่ะ พี่เลยทำทุกอย่างได้ดีตั้งแต่เด็กๆ จนติดเป็นนิสัยน่ะ” 

 

 

“…บางครั้งฉันก็เคยสงสัยเหมือนกันว่ามีอะไรบ้างที่พี่ทำไม่ได้” 

 

 

“ไม่มีหรอก ว่าที่สามีแห่งชาติเลยใช่ไหมล่ะ” 

 

 

ฉันรู้สึกชังรอยยิ้มหวานๆ ของรุ่นพี่ขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ จนถึงกับต้องเบ้ปาก รุ่นพี่จึงหัวเราะหึๆ ก่อนจะเอามือเท้าคางแล้วจ้องเขม็งมาที่ฉัน นั่นเลยทำให้ฉันรู้สึกเขินขึ้นมา ฉันจึงหยิบช้อนและตะเกียบมาจุ่มลงไปในถ้วยซุป 

 

 

“…อร่อยจัง” 

 

 

ฉันตักซุปสาหร่ายขึ้นมากินอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ก็กลับต้องตกใจจนพึมพำออกมาเบาๆ รุ่นพี่จึงฉีกยิ้มกว้างตอบกลับมา ต้องขอบคุณที่นั่นทำให้ใบหน้าของฉันร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง ฉันแกล้งทำเป็นก้มหน้าก้มตาตักข้าวเข้าปากอย่างเงียบๆ 

 

 

 

 

 

“อิ่มแล้วค่า” 

 

 

หลังจากที่ทานอาหารท่ามกลางความเงียบจนเสร็จ ฉันก็ถือจานเปล่าแล้วลุกออกจากที่ แต่รุ่นพี่ก็รีบมาขวางหน้าฉันไว้แล้วพูดว่า 

 

 

“วางไว้ อีกเดี๋ยวพี่มาล้างเอง” 

 

 

“ไม่เป็นไรค่ะ มากินข้าวเย็นฟรีแล้ว ฉันก็ควรจะต้องล้าง…” 

 

 

“พี่มีอะไรจะให้ มาทางนี้สิ” 

 

 

รุ่นพี่แย่งจานที่ฉันถือเอาไว้ไปวางไว้บนโต๊ะอาหาร ฉันจึงยืนงงพร้อมกับมือที่ว่างเปล่า แต่แล้วรุ่นพี่ก็จับหมับเข้าที่มือของฉัน แล้วจูงฉันเข้าไปข้างในห้องของรุ่นพี่ที่อยู่ข้างในสุด 

 

 

เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดที่อยู่ข้างในห้องของรุ่นพี่มีเพียงแค่โต๊ะหนังสือที่จัดวางไว้อย่างเรียบร้อย แล้วก็ราวตากผ้าเล็กๆ กับเตียงนอน บนชั้นวางหนังสือก็มีเพียงแค่หนังสือที่เกี่ยวกับบัลเลต์หรือการเต้นเท่านั้น  

 

 

ไม่รู้ทำไมฉันถึงรู้สึกว่า แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ก็สมกับเป็นรุ่นพี่อีกงสุดๆ จนฉันอดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ พลางลากนิ้วไปตามสันหนังสือที่จัดเรียงเอาไว้อย่างเรียบร้อย 

 

 

“มาทางนี้สิ หันหลังกลับมาเร็วเข้า” 

 

 

รุ่นพี่ค้นกระเป๋าพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ ขณะที่กวักมือเรียกฉัน ฉันเดินไปอยู่ข้างหน้ารุ่นพี่ตามที่รุ่นพี่สั่ง แล้วจึงหันหลัง ต่อจากนั้นมือของรุ่นพี่ก็จับเส้นผมของฉันเบาๆ แล้วรวบมันไปไว้ด้านข้าง ในตอนนั้นเองฉันก็รู้สึกได้ถึงโลหะเย็นๆ ที่มาสัมผัสกับต้นคอ ฉันสะดุ้งตกใจพลางหดคอ 

 

 

“อ๊ะ…” 

 

 

ฉันอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาในทันที สร้อยคอที่มีเพชรสีน้ำเงินเล็กๆ เป็นรูปหยดน้ำถูกห้อยอยู่บนคอของฉัน ฉันทำหน้างงโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก และหันกลับไปมองหน้ารุ่นพี่ รุ่นพี่ยิ้มกว้างขณะเดียวกันก็กุมมือฉันเอาไว้แน่น 

 

 

“สุขสันต์วันเกิดนะ” 

 

 

เสียงทุ้มต่ำของรุ่นพี่ทำให้ฉันตกใจจนสะดุ้งเฮือก 

 

 

“ระ รู้ได้ยังไงกันคะ” 

 

 

ฉันพูดออกไปด้วยเสียงสั่นๆ รุ่นพี่ลูบแก้มของฉัน แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สุขุมเล็กน้อย 

 

 

“ได้ยินมาจากเซจินน่ะ ทำไมถึงไม่บอกพี่ล่ะ” 

 

 

“…ก็มันน่าอายที่จะบอกออกมาตรงๆ นี่คะ” 

 

 

“วันนี้พี่รอทั้งวันเลยนะ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ยอมบอกพี่อยู่ดี พี่เสียใจจริงๆ นะ” 

 

 

หางตาที่ดูเศร้าๆ ของรุ่นพี่กระตุกเบาๆ รุ่นพี่ทำหน้างอนแล้วเอานิ้วดีดลงบนหน้าผากของฉัน ในตอนนั้นเองที่ฉันเพิ่งจะเข้าใจเหตุผลว่าทำไมมื้อเย็นเมื่อกี้นี้ถึงมีซุปสาหร่าย จู่ๆ ปลายจมูกก็รู้สึกตึงขึ้นมาอีกครั้ง หัวใจมันรู้สึกตื้นตันและสั่นไหวอย่างรุนแรง ความรู้สึกผิดทำให้ฉันโผเข้ากอดรุ่นพี่ และฉันสัมผัสได้ว่าตัวของรุ่นพี่ถึงกับสะดุ้ง 

 

 

หลังจากที่คุณแม่แต่งงานใหม่ตอนที่ฉันอยู่มัธยมต้น ฉันไม่เคยได้ฉลองวันเกิดของตัวเองดีๆ เลยสักครั้ง เหตุผลคงจะเป็นเพราะคุณป้ามักจะยุ่งอยู่เสมอ และฉันเองก็ไม่มีเพื่อนที่จะฉลองวันเกิดด้วยนอกจากเซจินหรืออีเซ แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็เป็นเพราะว่าฉันไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไรกับการที่ไม่ได้ฉลองวันเกิด 

 

 

ฉันเคยคิดว่านั่นเป็นเพราะฉันมีนิสัยที่เย็นชามากกว่าคนปกติ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น คำว่าสุขสันต์วันเกิดนี่มันน่ายินดี และทำให้รู้สึกตื้นตันใจได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ไม่สิ หรือเป็นเพราะว่ามันเป็นคำอวยพรจากรุ่นพี่กันแน่นะ 

 

 

“ขอบคุณนะคะ ที่อวยพรวันเกิดให้” 

 

 

ฉันถูแก้มลงบนหน้าอกของรุ่นพี่ที่แนบชิดอยู่ พร้อมกับพูดออกมาเบาๆ ระหว่างที่กัดริมฝีปากล่างไว้แน่นเพื่อที่จะกลั้นน้ำตาไม่ให้เอ่อล้นออกมา แขนแกร่งของรุ่นพี่ก็มาโอบไหล่ฉันเอาไว้ 

 

 

“วันนี้ฮวีกยอมดูจะกระตือรือร้นเป็นพิเศษนะ” 

 

 

“…มะ ไม่ได้งั้นเหรอคะ” 

 

 

คำพูดเย้าแหย่ด้วยน้ำเสียงหยอกล้อของรุ่นพี่ทำให้ฉันเขินจนต้องก้มหน้าก้มตา แล้วแกล้งทำเป็นตอบกลับไปเป็นคำถามห้วนๆ แทน พอรุ่นพี่ยิ้มออกมาเล็กๆ หน้าอกของรุ่นพี่ที่แนบชิดอยู่กับหน้าผากของฉันก็สั่นไหวตามมาทันที 

 

 

“ได้สิ จะทำทุกวันเลยก็ได้นะ”