บทที่ 530 หายนะของตระกูลกู๋

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 530 หายนะของตระกูลกู๋

ในเรือนของตระกูลมู่ มู่เทียนหยูนั่งอยู่บนเก้าอี้ของผู้นำตระกูลด้วยท่าทีภูมิใจในตนเอง

ส่วนทางด้านของมู่เฉิน เมื่อเขาได้พบกับมู่เทียนหยูและคุยกันอยู่ได้สักพัก เขาจึงเข้าใจทุกอย่างและทำการอธิบายเรื่องราวทุกอย่างให้กับคนตระกูลมู่เข้าใจทั้งหมด ซึ่งมันทำให้คนตระกูลมู่ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นแทบบ้าที่ในอนาคตพวกเขาไม่ต้องมานั่งตกระกำลำบากอีกแล้ว

หลังจากที่ได้รับการอธิบายจากมู่เฉิน ทุกคนก็เดินเข้ามาคารวะมู่เทียนหยู

มู่เทียนหยูหัวเราะพลางมองไปที่มู่เฉียนซ่งและพูดว่า “ไอ้หนู เมื่อกี้ข้าบอกเจ้าแล้วใช่ไหมว่าข้าคือบรรพบุรุษของเจ้า? เป็นไงตอนนี้เจ้าเชื่อข้าแล้วรึยัง?”

ก่อนที่มู่เฉียนซ่งจะได้อธิบายอะไร มู่ฉิงเฟิงก็รีบเข้ามาทุบตีมู่เฉียนซ่งจนกระอักทันที ซึ่งมันทำให้มู่เทียนหยูระเบิดหัวเราะออกมาดังสนั่นหวั่นไหว

หลังจากนั้นไม่นาน มู่เทียนหยูก็พาทุกคนของตระกูลมู่บินกลับไปยังสำนักกระบี่เอกภพ

ในเวลาเดียวกัน ทางด้านของด้านหน้าทางเข้าสุสานกระบี่ ชายชราชุดเทาก็ปรากฎตัวขึ้น ซึ่งก็คือ มู่หยุนชาน

มู่หยุนชานมองไปที่สุสานกระบี่อยู่สักพักโดยที่ไม่กล้าเข้าไป เนื่องจากในตอนนี้สุสานกระบี่ไม่อาจแยกแยะได้แล้วว่าใครเป็นมิตรหรือศัตรู ไม่ว่าใครหากเดินเข้าไปจะได้เผชิญกับการต้อนรับแบบเดียวกันหมด

ต่อให้ระดับการบ่มเพาะของเขาจะสูงส่ง แต่ความแข็งแกร่งของเขามันก็ยังไม่สามารถเทียบได้กับเจตจำนงที่พ่อของเขาทิ้งเอาไว้อยู่ดี

เมื่อมองอยู่ได้สักพัก มู่หยุนชานก็จากไปแต่ก่อนที่เขาจะจากไป เขาได้ทำการสลักประโยคเอาไว้ประโยคหนึ่งที่หน้าสุสานกระบี่ ‘มู่หยุนชาน บุตรชายแห่ง มู่จางหมิง ขอคารวะศพท่านพ่อ’

บรรดาผู้คนที่อยู่หน้าสุสานกระบี่ที่เห็นภาพนี้และเข้าใจในความหมาย พวกเขาต่างก็รู้สึกตกตะลึงในทันที

30,000 ปี ที่ผ่านมาไม่มีใครรู้ชื่อของเทพกระบี่เลยสักคน แต่ตอนนี้ชื่อของเขาได้ถูกเปิดเผยแล้ว และคนเมื่อครู่ที่มาคารวะสุสานกระบี่ก็คือลูกของเทพกระบี่!

ข่าวนี้แพร่กระจายไปถึงหูทุกคนอย่างรวดเร็ว

จากนั้นมู่หยุนชานได้เดินทางไปที่ตระกูลหลิน ซึ่งหลินเย่ในตอนนี้ได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันเรียบร้อยแล้ว

เมื่อได้เห็นเขา มู่หยุนชานโค้งคำนับและเอ่ยว่า “บุตรแห่งเทพกระบี่ ขอขอบคุณท่านที่คอยช่วยเหลือพวกเรามาตลอด!”

เมื่อเห็นเช่นนี้ หลินเย่ถามขึ้นด้วยความงุนงง “ผู้อาวุโส นี่ท่านหมายความว่ายังไง?”

มู่หยุนชานยิ้มและพูดว่า “พ่อของข้าจัดฉากให้สถานะพวกท่านเป็นลูกของเขาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจให้พวกข้าที่เป็นลูกหลานที่แท้จริงได้อยู่รอดเงื้อมมือของบรรดาศัตรูของเขา ถึงแม้ว่าตระกูลหลินของท่านจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพ่อของข้า แต่พวกท่านก็ไม่ใช่ลูกหลานที่แท้จริงของพ่อข้าอยู่ดี พ่อของข้ามีข้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นลูกชายของเขา อ๋อใช่พ่อของข้าคือมู่จางหมิง หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือเทพกระบี่!”

หลินเย่เหม่อมองไปที่มู่หยุนชานอยู่สักพัก จากนั้นเขาถอนหายใจและพูดว่า “เฮ้อ อันที่จริงหลังจากชายผู้นั้นมาที่ตระกูลของเรา เราก็รู้ตัวเองแล้วว่าพวกเราไม่ใช่ลูกหลานของเทพกระบี่ หากเราเป็นลูกหลานของเทพกระบี่จริงจะมีเหรอที่คนผู้นั้นจะมอบให้เราแค่โอสถสงบวิญญาณ?”

มู่หยุนชานยิ้มและพูดว่า “บรรพบุรุษของท่านกับพ่อข้าอันที่จริงแล้ว… คือพ่อของข้านั้นมีศัตรูมากเกินไป เขาจึงจำเป็นต้องให้สหายของเขาช่วยในการเบี่ยงเบนความสนใจ เอาเป็นว่าในอนาคตตระกูลมู่ของข้าและตระกูลหลินของท่านพวกเราจะเป็นตระกูลที่คอยสนับสนุนกันเฉกเช่นเครือญาติก็แล้วกัน”

“ส่วนกระบี่ของท่านพ่อ ข้าจะให้มันยังคงอยู่ในตระกูลท่านและป้ายคำสั่งกระบี่ที่พวกท่านได้รับพวกท่านก็จงเก็บมันเอาไว้ดี ๆ หากมีวันใดที่มีคนนำป้ายคำสั่งกระบี่นี้มาหาพวกข้า ข้าจะช่วยเหลือคนผู้นั้นอย่างสุดความสามารถ”

“ที่แท้พวกท่านก็อยู่ใกล้กับพวกเราแค่นี้นี่เอง” หลินเย่เอ่ยพลางถอนหายใจ

หลังจากที่มู่หยุนชานแสดงความขอบคุณตระกูลหลินอยู่ได้สักพัก เขาก็จากไปหาตระกูลเย่ต่อ

เมื่อไปถึงตระกูลเย่ มู่หยุนชานยิ่งแสดงท่าทีสุภาพมากยิ่งกว่าเดิม

ตระกูลหลินคือลูกหลานของสาวกกระบี่ของพ่อของเขา แต่ตระกูลเย่นั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

สิ่งที่ตระกูลเย่ทำให้พวกเขานั้นทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะผู้หญิงคนหนึ่งที่รักพ่อของเขาอย่างลึกซึ้ง และต้องการช่วยเหลือตระกูลมู่ของเขาโดยที่ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน

หลังจากอธิบายทุกอย่างให้กับตระกูเย่ฟังแบบเดียวกับที่เคยอธิบายให้กับตระกูลหลิน มู่หยุนชานก็เดินทางกลับสำนักกระบี่เอกภพทันที

ส่วนตระกูลกู๋นั้น มู่หยุนชานได้รู้ประวัติที่มาของพวกเขาแล้ว และในเมื่อหลิงตู้ฉิงได้จัดฉากพวกเขาเอาไว้เรียบร้อย มันจึงไม่มีสิ่งที่มู่หยุนชานจำเป็นต้องทำอะไรอีกต่อไป

ในเวลาเดียวกับที่เขาเกือบจะถึงสำนักกระบี่เอกภพ ความผันของพลังวิญญาณอันรุนแรงก็ได้ปะทุขึ้นมาจากทิศทางของตระกูลกู๋

“นี่มันถึงกับมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิไปลงมือด้วยตัวเองเลยงั้นเหรอ?” มู่หยุนชานรู้สึกลังเลอยู่สักพัก แต่จากนั้นเขาก็กลับเข้าไปในสำนักของเขาเองตามเดิมไม่ได้ไปดูภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ทางด้านของตระกูลกู๋ ในตอนนี้มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิถึง 3 คนกำลังยืนล้อมตระกูลพวกเขาอยู่ พวกเขามองไปยังกู๋หยง และพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ส่งกุญแจตำหนักศักดิ์สิทธิ์มาให้พวกข้าเดี๋ยวนี้!”

“ผู้อาวุโส ข้าไม่มีกุญแจของมันจริง ๆ!” กู๋หยงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล

เขาเป็นเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญระดับนภาคราม เขาจะเอาปัญญาที่ไหนไปต่อกรกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิตั้ง 3 คน?

หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่าพวกเจ้ากำลังสืบหาตำแหน่งของตำหนักศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่อยู่เหรอไง หากเจ้าไม่มีกุญแจของตำหนักศักดิ์สิทธิ์ ถ้างั้นพวกเจ้าจะไปมีภาพสถานที่ของตำหนักศักดิ์สิทธิ์ได้ยังไง?”

หลังจากพูดจบ ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิผู้นั้นก็แสดงภาพสถานที่ของตำหนักศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ซึ่งมันเป็นภาพเดียวกับที่หลิงตู้ฉิงมอบให้กับตระกูลกู๋แบบไม่มีผิดเพี้ยน

กู๋หยงตะโกนขึ้นทันที “ผู้อาวุโส ภาพนี้พวกเราเองก็ได้มาจากผู้อื่นอีกต่อหนึ่งเช่นกัน!”

“ตราบใดที่เจ้าสามารถมอบภาพอื่นนอกจากภาพนี้ให้ข้าได้อีก ข้าจะเชื่อคำพูดของเจ้า!” ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิอีกคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยสีหน้าเยาะเย้ย

เมื่อได้ยินเช่นนี้ กู๋หยงรู้ทันทีว่าตระกูลของเขาวันนี้พบกับปัญหาใหญ่แล้ว หากเขาสามารถหาภาพมาเพิ่มได้อีกมันก็ยิ่งไม่เป็นการยืนยันไปอีกงั้นเหรอว่าพวกเขามีกุญแจจริง ๆ?