ตอนที่ 149

The Great Worm Lich

รถหุ้มเกราะที่ทนทานไม่สามารถปิดกั้นเสียงลมแหลมที่ดังขึ้นมาได้ จนถึงตอนนี้คนขับรถหุ้มเกราะที่ถูกทรมานจากสงครามที่แปลกประหลาดกำลังเสียสติมากขึ้นเรื่อย ๆ เขารู้สึกว่าสมองภายในของเขากำลังถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงจากอะไรบางอย่าง และด้วยสัญชาตญาณ เขารู้สึกได้ว่าหายนะกำลังจะเกิดขึ้นกับเขาในเร็ว ๆ นี้

 

ด้วยความท้อแท้และสิ้นหวั ในที่สุดสติเขาก็ขาดผึง เขาตะโกนอย่างน่าสงสารว่า “เวร! ไอ้พวกเวร! แม่ง บ้าเอ้ย! คนพวกนี้แม่งคือใครกันวะ! นี่มันโลกที่มีซุปเปอร์แมนหรือพวกเอกซ์เมนหรือยังไงกัน?! ตาย! ทุกคนตายกันหมด! ในเมื่อทุกคนตายกันหมดแล้วฉันจะอยู่ต่อไปอีกทำไมกัน! จะฆ่าพวกแก จะต้องฆ่าพวกแกให้หมด! พวกแกจะต้องตาย ตายไปพร้อมกับฉัน ตายไปพร้อมกับทุกคน!”

 

เมื่อสิ้นคำโวยวายเขาก็เปิดใช้งานรถหุ้มเกราะขึ้นมาอีกครั้งพร้อมเร่งความเร็วสูงสุดเพื่อขับเข้าไปในป่าจะได้พาเหล่านักรบจากต่างแดนตายไปพร้อมกัน

 

ยางของรถหุ้มเกราะถูเสียดสีกับพื้นอย่างรุนแรง เครื่องยนต์แผดเสียงดังเมื่อมันกระแทกและทำลายต้นไม้เล็ก ๆ ไป 5 – 6 ต้น ในที่สุดด้วยเสียงที่ดัง “ปัง” รถหุ้มเกราะกระแทกชนอย่างแรงกับต้นไม้ยักษ์ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 5 เมตรก่อนที่จะเครื่องจะดับไปพร้อมกับทหารที่เหลือเป็นคนสุดท้าย

 

ด้วยการยิงและเสียงระเบิดที่ดังก้องจากระยะไกล ในที่สุดผืนป่าก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบ

 

ทันใดนั้นนักธนูผมสั้นที่สวมชุดเกราะหนังพร้อมแบกคันธนูและลูกธนูไว้ในมือก็กระโดดลงมาจากบนต้นไม้ใหญ่ เขาคลุมตัวด้วยเสื้อคลุมที่สามารถเปลี่ยนสีได้ตามสภาพแวดล้อม ด้วยท่าโยกเยก เขากระโดดขึ้นไปบนหลังคารถหุ้มเกราะและตะโกนออกมาเสียงดัง “โอวิดิสเต้ เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”

 

เสียงที่แข็งทื่อแต่อ่อนแอดังสะท้อนออกมาจากด้านหน้าของรถหุ้มเกราะที่ถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้เป็นจำนวนมาก “เอฟเฟอร์มิน ข้าเป็นผู้ชาย ข้าเป็นนักรบที่ยอดเยี่ยม! ตราบใดที่เจ้ายังไม่ตายแน่นอนว่าข้าก็จะต้องไม่เป็นอะไร…”

 

ทันใดนั้นก็มีพายุไต้ฝุ่นโหมเข้ามาที่รถหุ้มเกราะก่อนจะเขวี้ยงรถหุ้มเกราะที่มีน้ำหนักกว่า 10 ตันขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

ทันใดนั้นดาบสองคมที่มีขนาดเท่ากับต้นไม้สูง 10 เมตรพร้อมด้วยแรงกดอากาศสีเขียวที่มองเห็นได้ด้วยตาปรากฏขึ้นที่ใจกลางพายุเฮอริเคน มันทำลายรถหุ้มเกราะจนเปลี่ยนเป็นกองเศษเหล็กที่ผสมปนไปกับเลือดและโคลน

 

“โอวิดิสเต้ จำเป็นต้องใช้พลังขนาดนี้เพื่อทำลายเลยหรืออย่างไร?” นักธนูกระโดดขึ้นไปบนอากาศราวกับว่าตัวเขาไร้ซึ่งน้ำหนักพลางเอ่ยถามด้วยความเวทนา

 

เมื่อนักรบที่แข็งแกร่งได้ทำลายรถหุ้มเกราะและปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระได้แล้วเขาก็ฉีกชุดเกราะออกจากร่างด้วยมือเปล่าเผยให้เห็นหน้าอกที่เหมือนดั่งเหล็ก “เอฟเฟอร์มิน เจ้าควรรู้ไว้ว่าข้ามันเป็นพวกบ้าบิ่นและไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาวุธ ดังนั้นทักษะที่สะสมไว้ด้วยพลังจะต้องได้รับการปลดปล่อยในทันที ยิ่งไปกว่านั้นมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่จะใช่พลังเพื่อฆ่าศัตรูที่กล้าหาญเกินความคาดหมายของข้า”

 

ขณะนี้ทั้งสองคนได้กำจัดศัตรูของพวกเขาทั้งหมดไปได้อย่างชัดเจนแล้วแต่นักธนูไม่ได้คิดถึงเรื่องหลุดพ้นจากอันตรายหลังจากเห็นสหายช่วยให้ตัวเองพ้นจากอันตรายมา เธอเลือกนั่งบนพื้นและกอดเข่า “คน ๆ นี้ไม่ได้กล้าหาญ เขาเพียงโกรธและหวาดกลัวจากการต่อสู้ที่เกิดขึ้น ข้าคิดว่ากำลังเสริมของศัตรูคงกำลังจะมาถึงในไม่ช้าแต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังพอมีเวลาได้พักหายใจ”

 

“เจ้าเหมือนผู้หญิงยิ่งขึ้นเมื่อนั่งลง” รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เหมือนเหล็กของคนบ้าบิ่นขณะนั่งข้าง ๆ นักธนู “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่? หากเด็กชายบนโลกรู้หัวใจของเขาคงจะเจ็บปวดอย่างมาก เพียงแค่แวบเดียวจากเมื่อคืนข้าก็สามารถบอกได้ทุกอย่าง หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเขาสับสนโดยความงามของเจ้า เขาคงไม่เปลี่ยนมาอยู่ข้างเราแต่แรก ความยุติธรรม…หึ! ปีศาจเหล่านั้นไม่มีทางเข้าใจคำนี้ได้หรอก!”

 

“โอวิดิสเต้ ปิดปากเหม็น ๆ ของเจ้าซะ! ข้าไม่สามารถใช้คาถาโอ้โลมได้เจ้าก็รู้ คามิลเป็นเพียงเด็กผู้ชายที่รักความยุติธรรมอย่างแท้จริง เขาไม่มีแรงจูงใจอื่นในการเปลี่ยนมาอยู่ข้างเรา”

 

“ถ้าเจ้าว่ามาแบบนั้นล่ะก็นะ…” คนบ้าบิ่นยิ้มก่อนที่ทุกอย่างจะตกสู่ความเงียบงัน “เรากำลังจะตาย เอฟเฟอร์มิน เจ้าคิดว่าเรายังสามารถกลับไปอยู่ในอ้อมแขนของเหล่าเทพได้หรือไม่ถ้าเราตายกันที่นี่?”

 

“ท่านนักปราชญ์ไม่ได้พูดไปก่อนหน้านี้แล้วหรือว่าเราคือชาวเรดไอรอน? หลังจากวิญญาณของเราออกจากร่างกาย พวกเขาจะกลับไปยังบ้านเกิดที่สวยงามของพวกเราได้เองโดยธรรมชาติ ใบเมเปิ้ลของอัลแทเชียจะเปลี่ยนเป็นสีแดงและแม่ของข้าก็จะต้องทำไวน์นมให้เสร็จก่อนหน้า หลังจากวิญญาณของเรากลับไป เราจะได้ไปที่อาณาจักรของพระเจ้า…”

 

ขณะที่ทั้งนักรบหนุ่มและนักธนูสาวกำลังพูดคุยกันอยู่ คางคกยักษ์ที่เต็มไปด้วยเขางอกมากมายก็ปรากฏตัวขึ้นฉับพลับจากด้านหลังก่อนที่จะใช้ปากสีดำที่แห้งแตกเพื่อขัดจังหวะจินตนาการสุดท้ายของพวกเขา

 

“เอฟเฟอร์มิน ระวัง…!”  คนบ้าบิ่นตะโกนเสียงดังและทำการช่วยเหลือตามสัญชาตญาณ ขณะกลิ้งไปด้านหนึ่ง เขารีบลุกขึ้นยืนพลางกวัดแกว่งดาบยักษ์ในมือเพื่อป้องกันด้านหน้าของนักธนูทำให้ลิ้นจากคางคงที่ยื่นออกมาไม่สามารถยึดร่างนักธนูแต่กลับเปลี่ยนเป้าหมายเป็นนักรบผู้บ้าบิ่นแทน

 

“มันไม่ง่ายที่จะได้กินข้าหรอกนะ ไอ้สัตว์ประหลาด!” เขาตะโกนออกมาเสียงดังก่อนจะเริ่มต่อสู้กับสัตว์ประหลาดด้วยพลังทั้งหมดที่เขามี

 

“โอวิดิสเต้ หลบเข้าไปข้างใน…” นักธนูที่หลบหลีกออกไปได้พุ่งตัวขึ้นสูงพร้อมทำสมาธิเพื่อยิงลูกธนูออกไป 3 ลูกด้วยความสามารถทั้งหมดของเธอเพื่อช่วยสหาย หลังจากนั้นร่างกายของเธอก็ถูกกักตัวไว้กลางอากาศอย่างไม่ทราบสาเหตุ เลือดของเธอไหลออกตามตัวมากกว่า 10 จุดตามแนวทแยงมุม

 

เมื่อเลือดสดหยดลงมาจากฟ้ามันได้ย้อมขากรรไกรล่างของสัตว์ประหลาดสัตว์ที่น่ากลัว ราวกับสายฝน หยดเลือดสีแดงไหลอาบนองพื้น

 

การสูญเสียเลือดจำนวนมากทำให้นักธนูผู้ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนหน้าจากการโจมตีด้วยปืนของสหรัฐฯไม่มีความสามารถในการต้านทานแรงกดขี่ของศัตรูอีกต่อไป อย่างไรก็ตามแทนที่จะแสดงให้เห็นถึงความสิ้นหวัง รอยยิ้มแห่งแรงปรารถนาได้ฉายขึ้นที่มุมปากเธอแทน “โอวิดิสเต้ ข้าคงต้องล่วงหน้าไปก่อน ตอนนี้…ข้าสามารถมองเห็นทะเลใบเมเปิ้ลได้แล้ว ต้นเมเปิลที่สวยงามราวกับพระอาทิตย์ตก … อ่า ท่านแม่ นั่นท่านใช่หรือไม่? ข้ากำลังกลับบ้านแล้ว ตอนนี้ข้ากำลังกลับบ้าน…”

 

เมื่อได้ยินเสียงกระซิบจากสหาย คนบ้าบิ่นก็เริ่มคลั่มพร้อมส่งเสียงคำราม “เอฟเฟอร์มิน! เจ้าสัตว์ประหลาด! มาตายกันทั้งหมดนี่เลยเถอะ!”

 

แทนที่จะล่าถอย นับรบหนุ่มคนนั้นกลับโยนร่างตัวเองไปที่คางคงยักษ์ที่มีแผลจากลูกธนู 3ลูกเผยให้เห็นของเหลวสีเขียวเข้มเปล่งขึ้นมาบนผิวของคางคก

 

น่าเสียดายที่ก่อนที่เขาจะได้เข้าใกล้ คางคกกลับพ่นไซโคลนอันดุเดือดออกมาจากปากแล้วฉีกร่างของคนที่บ้าบิ่นออกเป็นส่วน ๆ จนเขาเต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย

 

หลังจากชักกระตุกและดิ้นรนอยู่ 2 – 3 ครั้ง สายตาของนักรบผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ก็เริ่มสูญเสียประกายแห่งแสงพร้อมกับชีวิตของเขาที่จางหายไป

 

“6 คนงั้นสินะ…” จางลี่เฉินผู้ซึ่งซ่อนตัวอยู่ข้างหลังรถยนต์คันใหญ่ไม่ได้สัมผัสถึงความเศร้าโศกที่เกิดขึ้นในสนามรบเลยแม้แต่น้อย หลังจากได้ฆ่าศัตรูไป 2 คนติดต่อกันเขาก็ถอนหายใจอย่างหนักด้วยความโล่งอกพร้อมส่งสัญญาณให้สัตว์อาคมกินซากศพของคนพวกนั้นก่อนจะพึมพำกับตัวเอง “และก็เหลือนักปราชญ์ที่น่ากลัวกับหมอผียูลินาส หวังว่าสองคนนั้นจะแยกตัวจากกันแบบนี้…”

 

เมื่อรู้สึกว่าพลังพ่อมดในร่ายกายเริ่มปะทุชายหนุ่มก็พึมพำกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ตัวแล้วว่ากำลังฝันกลางวัน ท้ายที่สุดไม่ว่าศัตรูจะโง่มากขนาดไหนแต่พวกเขาก็จะไม่โง่พอที่จะแบ่งกองกำลังออกจากกันเพื่อทำการจู่โจมและปล่อยให้กองกำลังหลักอยู่เพียงลำพัง

 

เขาหัวเราะเยาะตัวเองอย่างเย้ยหยันก่อนจะควมคุมสัตว์อาคมที่เติมอาหารจนอิ่มท้องเข้าสู่โหมดซ่อนตัวเพื่อกลับเข้ากระเป๋าเป้ตามเดิม จากนั้นเขาก็เดินไปเปิดประตูและนำมาสทิฟที่เดิมทีเขาต้องการนำมาใช้เป็นอาวุธหลักแต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีโอกาสได้ใช้กลับเข้าไปในรถ

 

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เริ่มขับรถกลับขึ้นบนถนนทางหลวง

 

มันใช้เวลาไม่นานสำหรับเขาที่จะสั่งให้สัตว์อาคมฆ่าศัตรูแต่เนื่องจากเหตุผลที่จางลี่เฉินใช้คาถา ‘เชื่อมต่อ’ เพื่อสั่งให้สัตว์อาคมแบ่งปันพลังรอบรู้ของพวกมันออกมาอย่างต่อเนื่องจึงเป็นการรสิ้นเปลืองพลังงานไปอย่างมาก

 

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเขาก็หันรถกลับเข้าเมืองโฮโนลูลูด้วยความรู้สึกว่าเขาต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ไม่อาจคาดเดาได้เช่นอัลท์แมนและยูลีนาสในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมเท่านั้น

 

ระหว่างทางกลับเข้าเมือง ชายหนุ่มพบรถยนต์หลายคันจอดอยู่ข้างถนนด้วยความลังเล เห็นได้ชัดว่าเจ้าของรถเหล่านี้ได้วางแผนที่จะเดินทางไปยังพื้นที่ภูเขาไฟแต่หลังจากที่พวกเขาได้ยินเสียงปืนและเสียงระเบิดพวกเขาก็ไม่กล้าเข้าใกล้มันอีกต่อไป

 

หลังจากที่เขาขับรถต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง เสียงร้องของเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธขนาดใหญ่ก็ดังก้องกังวานบนอากาศผ่านหัวของจางลี่เฉินไป

 

ตั้งแต่นั้นมา เสียงน่ารำคาญจากเฮลิคอปเตอร์ที่ทะลุผ่านท้องฟ้าก็ดังสะท้อนอยู่ในหูของเขามาตลอดทางจนถึงโฮโนลูลู ชายหนุ่มแอบนับจำนวนในใจและต้องประหลาดใจที่พบว่ามีเฮลิคอปเตอร์ทั้งหมด 10 ลำ

 

ขณะนี้เวลาก็จวนจะมืดเต็มที แสงพระอาทิตย์ตกดินส่องลงบนทะเลสีฟ้าครามของมหาสมุทรแปซิฟิกและสะท้อนคลื่นของมัน

 

จางลี่เฉินตกหลุมรักบรรยากาศการรับประทานอาหารค่ำภายใต้สายลมทะเลพร้อมกับการได้ดื่มด่ำไปกับทิวทัศน์ชายฝั่งทะเลที่สวยงามขณะจอดรถอยู่หน้าร้านอาหารกลางแจ้งแห่งหนึ่ง เขาเดินไปที่ชายหาดและสั่งอาหารชุดกุ้งมังกร

 

ขณะนั่งอยู่ใต้ร่มดวงอาทิตย์พลางดื่มโค้กที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งเย็น ๆ เขาพึมพำกับตัวเองว่า “อะไรกันเนี่ย? มีเฮลิคอปเตอร์อาปาเช่มากมายขนาดนี้ อย่าบอกนะว่ากองเรือบรรทุกเครื่องบินมาถึงแล้ว…”

 

เขานำโทรศัพท์ออกมาเพื่อระบุคำค้นหาว่า ‘สถานะทางทหารของฮาวาย’ บนอินเทอร์เน็ตและเริ่มค้นหาข้อมูล

 

ข้อมูลนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเขาและชายหนุ่มก็ต้องตกตะลึงไปในทันที

 

บทความแรกที่เขียนบนหน้าจอจับใจความได้ว่าตำแหน่งของฮาวาย รูปแบบการทหารของสหรัฐฯ หมู่เกาะฮาวายและเกาะมิดเวย์อะทอลล์ซึ่งเชื่อมต่อกับบ้านเกิดเมืองนอนของสหรัฐฯและฐานทัพแต่ละแห่งในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกเป็นศูนย์บัญชาการกองทัพบกสหรัฐแปซิฟิกและเป็นศูนย์กลางการขนส่งทั้งทางทะเลและทางอากาศในมหาสมุทรแปซิฟิก

 

สิ่งที่ตามมาอีกก็คือรายละเอียดเบื้องต้นเกี่ยวกับกองทหารรักษาการณ์ฮาวาย อ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์สหรัฐฯอยู่ห่างจากโฮโนลูลูไป 13 กิโลเมตรซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของกองเรือแปซิฟิกของสหรัฐฯและฐานชายแดนที่ใหญ่ที่สุดในมหาสมุทรแปซิฟิก

 

มีหน่วยนาวิกโยธินสหรัฐฯจากค่ายฮิวจ์ แมคคอร์มิค สมิธที่เป็นกองบัญชาการกองทัพอินโด – แปซิฟิกของสหรัฐฯและกองกำลังนาวิกโยธินสหรัฐฯในมหาสมุทรแปซิฟิก

 

ป้อมปราการชาร์ฟเตอร์และค่ายทหารสโกฟิลด์ตั้งอยู่ทางเหนือของโฮโนลูลู ที่นั่นมี 2 กองพันทหารราบซึ่งได้แก่กองพลทหารราบที่ 25 และกองพลบิน

 

ฐานนาวิกโยธินฮาวายในอ่าวคาเนโอเฮซึ่งอยู่ห่างจากโฮโนลูลูไปทางเหนือ 19 กิโลเมตรมีนาวิกโยธิน 6,800 คนและนาวี …

 

ฐานทัพเพิร์ลฮาร์เบอร์ฮิกแคมซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่กองทัพอากาศสหรัฐแปซิฟิกอยู่ห่างจากโฮโนลูลู 14 กิโลเมตร ที่นี่เป็นปีกของฐานทัพอากาศที่ 15 และกลุ่มปฏิบัติการทางอากาศ 502 แห่ง

 

“บ้าเอ้ย เกาะนี้มันรังตัวต่อชัด ๆ! 1 2 3 4 5! ฮาวายมีฐานทัพทหาร 5 แห่งและที่น่าประหลาดใจยิ่วกว่าคือมี 4 แห่งอยู่ติดกับโฮโนลูลู! นี่มัน จริง ๆ แล้ว…” จางลี่เฉินได้ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับฮาวายก่อนจะมาที่นี่แล้วแต่ไม่เคยคิดเลยว่าเขากำลังว่ายน้ำอยู่ในความสับสนวุ่นวายที่เกินกว่า