GGS:บทที่ 862 เป้าหมายถัดไป

 

หลังจากได้ยินคำพูดของหวังจ้าวที่พูดออกมาผ่านโทรศัพท์ ซุจิ้งเองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

ในวันนั้นตอนที่หวังจ้าวได้เห็นดอกไม้ไฟเวทย์มนต์ที่ซูจิ้งจุดให้ดูเป็นการเรียกน้ำย่อย

วันนั้นเองหวังจ้าวได้เข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนในทันที เข้าได้ร่วมลงทุนด้วยเงินจำนวนมหาศาลและเข้าช่วยเหลือในการจัดการงานทั้งหมดโดยขอส่วนแบ่งเพียงสิบเปอร์เซนต์ของผลกำไรเท่านั้น

เหตุผลหลักๆก็เพราะว่าธุรกิจทั้งหมดที่ซูจิ้งได้สร้างขึ้นมานั้นถูกเฉิงหนานเหมาเรียบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ซูจิ้งเองในตอนนี้เขาก็ไม่ใช่แค่เด็กน้อยที่รู้จักแต่สร้างธุรกิจดีๆโดยไม่สนใจรายละเอียดการดำเนินงานอีกต่อไป เขาเองก็เข้าไปร่วมด้วยเช่นกัน มีหรือที่เขาจะปล่อยพี่ชายนอกสายเลือดคนนี้ได้ประโยชน์ไปคนเดียว

แน่นอนว่าหวังจ้าวเองในตอนนี้ได้ผลตอบแทนคืนไปแล้วไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่จนทำให้ตอนนี้ แม้แต่ซูจิ้งก็ยังไม่แน่ใจเลยว่า ธุรกิจดอกไม้ไฟเวทย์มนต์ของเขาในตอนนี้มีใครบ้างที่จ้องจะหยิบชิ้นปลามันตัวนี้อยู่

แต่เขาก็บอกได้คำเดียวว่าคนพวกนั้นไม่มีโอกาสอย่างแน่นอน

 

ในตอนนี้ดอกไม้ไฟเวทย์มนต์ได้รับความนิยมจนเริ่มจะออกไปยังนอกประเทศแล้ว เรื่องนี้สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าในอนาคต ดอกไม้ไฟเวทย์มนต์ต้องทำเงินได้อย่างมหาศาลอย่างแน่นอน

หรือสามารถบอกได้อีกทางหนึ่งว่าการลงทุนกับดอกไม้ไฟเวทย์มนต์นี้นอกจากจะไม่มีความเสี่ยงใดๆแล้ว ยังการันดีผลกำไรสูงไปอีกนาน

ซึ่งหากเป็นดอกไม้ไฟทั่วไปแล้ว ธุรกิจพวกนั้นต้องมากังวลทั้งเรื่องการตลาด และเหตุการณ์ที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์ต้องเสียชื่อเสียง แต่กับผลิตภัณฑ์ดอกไม้ไฟของซูจิ้งนั้นสามารถตัดข้อกังวลเหล่านี้ทิ้งไปได้ในทันที

 

“จะรีบตื่นเต้นไปไหนเนี่ย นี่แค่พึ่งจะเริ่มต้นเองนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“เออ เอ็งน่ะเก่งสามารถสุขุมได้ทุกสถานการณ์” หวังจ้าวอดไม่ได้ที่พุดออกมาด้วยรอยยิ้ม และเขาได้พูดต่อว่า

“ในที่สุดฉันก็เข้าใจได้แล้วล่ะว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลยแถมยังเสียแรงเปล่าอีกที่จะไปสืบเสาะ และค้นหาว่านายนั้นไปได้ของพวกนี้มาจากไหน หรือต้องการทำอะไรต่อ สู้ฉันถามนายเลยดีกว่า

ว่าไปแล้วนายวางแผนไว้แล้วสินะว่าต่อไปนายจะทำอะไร”

“ใช่ ตอนนี้ฉันได้เตรียมตัวจะลงเล่นครั้งใหญ่เลย” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างสบายอารมณ์

“โอ้ พระเจ้าช่วย นี่นายมีจริงๆหรอ ว่าแต่นายจะทำอะไรต่อล่ะ” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น ความจริงนั้นเขาแค่จะถามไปเล่นๆ ไม่คิดว่าซูจิ้งจะมีจริงๆ

“คิดว่าจะเป็นธุรกิจยาสูบน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง

“ยาสูบ?” หวังจ้าวเองเมื่อได้ยินเขาก็ถึงกับนิ่งไปในทันที แต่เมื่อเขาคิดเรื่องดอกไม้ไฟเวทย์มนต์ก่อนหน้านี้แล้วเขาเองก็รู้สึกได้ทันทีว่าธุรกิจยาสูบของซูจิ้งต้องไม่ใช่ยาสูบธรรมดาเป็นแน่ แต่ด้วยกระบวนการอันแสนกว้างใหญ่ของธุรกิจนี้ ทำให้หวังจ้าวเกิดความสงสัยจนต้องถามออกมาต่อว่า

“เฉพาะปลูกหรอ”

“ไม่ใช่แค่เฉพาะปลูกสิ ฉันเล็งไว้ไปทั้งกระบวนการจนถึงการซื้อขายเลย” ซูจิ้งพูดออกมาราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ

หากพูดถึงการปลูกยาสูบโดยทั่วไปแล้ว เกษตรกรแค่ต้องปลูกใบยาสุบและส่งขายเข้าโรงงานเพื่อนำไปผลิตเป็นบุหรี่ ซึ่งกระบวนการนี้ถือได้ว่าเกษตรกรนั้นสูญเสียรายได้โดยที่ไม่จำเป็น

เหตุผลนั่นก็เพราะว่าโรงงานนั้นไม่ว่าจะยังไงพวกเขาก็ได้กำไรจากการผลิตบุหรี่ขายอยุ่แล้ว

แถมราคาที่ขายได้สูงกว่าราคาที่ขายเป็นยาเส้นมากกว่าหลายเท่าตัว ถึงจะไม่สามารถกำหนดได้ว่าสูงกว่าแค่ไหนก็ตามแต่ยังไงซะก็ยังถือว่าได้กำไรอยู่ดี

โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาสูบที่เขาต้องการจะปลูกในครั้งนี้คือยาสูบแห่งไชร์ แน่นอนว่าเขาต้องได้กำไรอย่างแน่นอนเพียงแต่ยังคาดเดาไม่ได้ว่าจะได้มากขนาดไหน

“ท่านพี่น้องผู้ยิ่งใหญ่ครับ พี่น้องเองก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรอว่าบริษัทนี้เนี่ย ต้องเป็นภาพรัฐเท่านั้นถึงจะถือครองหรือก็คือจะต้องเป็นรัฐวิสาหกิจเท่านั้น อย่างเราๆไม่สามารถถือครองได้กันหรอกนะ”

“ไม่มีทางเลยรึ”

“จะว่าไม่มีทางก็ไม่เชิงนะ อย่างน้อยๆถ้าอยากจะถือครองจริงๆ เส้นสายของพ่อฉันคนเดียวไม่พอน่ะ”

ซูจิ้งเองเมื่อได้ยินดังนั้นก็ได้เงียบไปพักใหญ่ หวังจ้าวเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากเรื่องนี้

 

ความจริงแล้วซูจิ้งนั้นอยากจะขายใบยาสูบไม่เพียงในฐานะใบยาเท่านั้น แต่ในฐานะบุหรี่หรืออะไรก็ตามที่ส่งขายไปได้ทั่วโลกอย่างสะดวก

หากการที่จะทำอย่างนั้นเองก็จะต้องทำให้มันเป็นผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างจากบุหรี่ทั่วไป แต่หากว่าต้องสูบมันอย่างเดียวล่ะก็ ใครจะไปเชื่อว่ามันไม่ใช่บุหรี่

ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาซะแล้วที่จะเจาะธุรกิจกลุ่มนี้ และที่สำคัญที่สุดก็คือเขานั้นไม่อยากให้ใครมาชุบมือเปิบผลกำไรที่เขาควรจะได้นี้ไปเฉยๆ

หากเขาจะยอมให้มีคนได้ไปจริงๆอย่างน้อยๆเขาก็ได้ชิ้นใหญ่ที่สุด นั่นก็เพราะว่าเค้กก้อนนี้ถือได้ว่าใหญ่มากๆ เขาเองก็อยากแบ่งให้ใครซักคนที่ช่วยเขาได้เหมือนกัน

เขาต้องหาทางตีตลาดใบยาสูบนี้ให้ได้

นั่นก็เพราะว่าไม่เพียงยาสูบแห่งไชร์ของเขานั้นนอกจากรสชาติจะดีกว่าใบยาสูบทั่วไปมากมายแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือมันไม่มีผลเสียกับร่างกายแม้แต่น้อย

หากทำดีๆจนสามารถตีตลาดและทดแทนบุหรี่ที่วางขายอยู่บนโลกนี้ได้ทั้งหมดล่ะก็ ไม่เพียงแต่จะได้เงินมากมายมหาศาลแล้ว

ร่างกายของชนชาติจีนจะพัฒนาเหนือล้ำกว่าชาติไหนๆในโลกเป็นแน่ ถ้าหากว่าองค์การยาสูบรู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็ต้องออกมาแย่งชิ้นปลามันกับเขาอย่างแน่นอน

 

แน่นอนว่าซูจิ้งเองก็รู้เรื่องนี้ดีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการ แต่เขาเองก็ได้เตรียมตัวไว้พร้อมแล้วเหมือนกัน

เอาจริงเขาเองก็เล็งไปถึงการเข้าไปสร้างอิทธิพลในเมืองหลวงด้วยความสามารถของเขาเอง

แต่นั้นก็เท่ากับว่าเขานั้นต้องเปิดศึกกับอีกหลายตะกูลและนั่นจะกลายสงครามในระยะยาว เอาจริงๆตอนนี้เขาเองยังถือได้ว่าพึ่งจะเริ่มเตรียมตัวเท่านั้นเอง และแถมยังต้องใช้เวลาในการเตรียมตัวเมล็ดพันธุ์อีกพอสมควร

“อาจิ้ง ใบยาสูบของนายนี่จะทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ได้ยังไงหรอ ฉันขอพูดไว้ก่อนแล้วกันว่าถ้านายต้องการจะทำบริษัทใบยาสูบหรืออะไรพวกนั้นล่ะก็ควรจะล้มเลิกไปดีกว่านะ เพราะยังก็เป็นไม่ได้อยู่แล้ว” หวังจ้าวเองก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเสียดายพอสมควร

“น่าๆ ถ้ายังไม่ลองดูเราก็ยังไม่รู้ผลนี่แน ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า ฉันเองที่เป็นคิดว่าจะทำได้ยินแล้วยังไม่รู้สึกอะไรเลย อีกอย่างยังฉันก็ไม่ทำเรื่องผิดมโนธรรมหรือขัดต่อกฎหมายอย่างแน่นอน

เอ้อขอถามเพิ่มอีกหน่อยสิ นายพอจะรู้จักผุ้มีอำนาจสูงสุดขององค์การยาสูบแห่งชาตินี่รึเปล่า” ซูจิ้งถามออกมา

“แหงสิ แถมนายเองก็สมควรจะรู้จักอยู่นะ นายจะผุ้อาวุโสหลี่ได้อยู่ใช่ไหมล่ะ ลูกชายคนโตของเขาที่ชื่อหลี่เฉิงเป็นผุ้อำนายการองค์การยาสูบแห่งรัฐอยู่

อีกทั้งเขายังดำรงตำแหน่งเป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัทยาสูบของรัฐด้วย” หวังจ้าวพูดออกมา

“เข้าใจล่ะ แล้วนายพอจะหาโอกาสให้ฉันได้เจอเขาได้บ้างรึเปล่า” สิ่งที่ซูจิ้งขอนั้นเป็นสิ่งเล็กน้อยที่สุดที่เขาคิดว่าตระกูลหวังพอจะช่วยเขาได้

เอาจริงๆเขาก็รู้เพียงแค่ว่าตระกูลหลี่นั้นมีอำนาจมากกว่าตระกูลหวัง และพวกเขานั้นถือได้ว่าเป็นตระกูลที่เต็มไปด้วยเหล่าอัจริยะบุคคลทั้งในด้านการปกครอง การทหาร และธุรกิจ

เขาเองก็ไม่ได้คาดหวังเลยสักนิดว่าคนของตระกูลหลี่จะเป็นผอ.องค์การยาสูบแห่งรัฐแบบนี้

“จะให้หาเพื่อ? นายลืมไปแล้วรึไงว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดพ่อฉัน ซือหยาเองก็บอกนายไปแล้วนี่

เมื่อถึงวันงาน ยังไงซะหลี่เฉิงฮุยเองก็ต้องมาเพื่อเยี่ยมเยือนพ่อฉันอยู่แล้ว แต่ยังก็บอกไว้ก่อนแล้วกันว่าถึงเขาอาจจะมาก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะเข้าหาเขาได้ง่ายๆ ยังซะหากนายอยากเจอเขาจริงๆล่ะก็เตรียมใจไว้ได้เลย” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เข้าใจแล้ว” ซูจิ้งพูดออกไปพลางพยักหน้ารับ

 

หลังจากวางสายไปซูจิ้งก็ได้หวนนึกถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับหวังซวนจี้ ถึงแม้ว่าหวังซือหยาจะบอกเขามาว่าไม่ต้องใส่ใจก็ได้

แต่หวังซวนจี้เองก็ดูแลเขาอย่างดีในช่วงหนึ่งจนถึงขั้นให้เขาเป็นคุณชายสี่แห่งตระกูลด้วยซ้ำ

อีกอย่างทั้งหวังจ้าวและซือหยานั้นได้ไปเจอเขาบ่อยเป็นปกติ แต่กับเขาแล้ว เขาเองก็ไม่ได้เจอหน้าหวังซวนจี้มาพักใหญ่แล้ว

การที่จะมาบอกว่าไม่ต้องสนใจเรื่องงานวันเกิดแบบนี้มันก็ดูไร้เหตุผลเกินไปนิด ถึงแม้ว่าเหตุผลหลักที่เขาอยากจะไปในตอนนี้คือการพบหลี่เฉิงก็ตาม แต่ยังไงซะเขาก็ควรจะไปต่อให้ไม่มีเรื่องนี้อยู่ดี

 

เมื่อซูจิ้งคิดได้ดังนั้นแล้ว เขาก็หันมาจัดการขยะของเขาต่อไป ถึงแม้ว่าเขานั้นจะเจอแค่ดอกไม้ไฟของแกนดรอฟและใบยาสูบแห่งไชร์แค่สองอย่างก็ตาม แต่เพียงแค่สองอย่างนี้ก็ถือได้ว่าขยะห้วงเวลาฯกองนี้คุ้มค่าแล้ว

แต่ในเมื่อยังเหลือขยะห้วงเวลาฯที่เขาต้องจัดการอยู่อีกตั้งเยอะ มีหรือที่เขาจะพลาดโอกาสในการเจอของดีๆที่มาจากห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริงไปได้กัน

ซูจิ้งได้ทำการจัดการขยะประเภทผ้าต่อ ขยะผ้ากองนี้ส่วนใหญ่เท่าที่ดูๆแล้วเป็นขยะจำพวกชุดชนเผ่าอะไรพวกนั้น แถมดูๆไปแล้วยังไม่ได้ดูแย่ซะทั้งหมด มีบางชิ้นที่มีลวดลายผ้าที่ออกแบบได้สวยงามและดูหรุหรา

ซูจิ้งในตอนนี้ได้คิดไปก่อนแล้วว่าผ้าพวกนี้สมควรจะมาจากเผ่าเอลฟ์ โดยทั่วไปแล้วเผ่าเอลฟ์จากห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริงนั้นเป็นพวกหลงตัวเอง

ในเผ่าเองก็มีหลายๆคนที่เป็นศิลปิน พวกเขานั้นถึงขนาดตกแต่งของใช้ทั่วไปด้วยงานศิลปะแทบจะทั้งสิ้น แม้แต่เสื้อผ้าเองก็ถือได้เลยว่ามีคุณภาพที่เหนือล้ำกว่าเผ่ามนุษย์ไปหลายเท่าตัว

 

ซูจิ้งได้ทำการเก็บผ้าพวกนี้เพื่อนำไปให้ฉือชิงและหวังซือหยาศึกษาเพื่อเอาไปทำผลิตภัณฑ์ใหม่แน่นอนอยู่แล้ว

นอกจากนั้นเขายังคงควานหาผ้าที่ยังคงดูสภาพดีและน่าจะมีราคาสูงหลงเหลืออยู่บ้าง

ทันใดนั้นซูจิ้งก็สังเกตเห็นสิ่งที่น่าจะเป็นผมทองคำที่ติดอยู่บนสร้อยคอของชุดๆหนึ่ง มันดูสวยงามมากๆ

เมื่อเขาลองหยิบมันขึ้นมาดูก็พบว่ามันดูสวยงามราวกับเส้นไหม หากเปรียบเทียบกับเส้นไหมแล้วมันก็ถือได้ว่าเป็นเส้นไหมที่ดีที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา มันสวยงามจนทำให้หัวใจของเขาเต้นขึ้นมาเลยทีเดียว

ซูจิ้งได้หยิบเส้นไหมด้วยมือทั้งสองข้างและหยายามดึงมันออกมาเพื่อไม่ให้ขาดลงกลางคัน เขาออกแรงดึงอยู่นานสองนานแต่เส้นไหมนั้นก็ยังไม่หลุดออกมาสักที เขาใช้แรงดึงไปกว่า 20 ชั่ง…50ชั่ง…จนไปถึง100ชั่งก็แล้วแต่มันยังไม่ยอมหลุดออกมา

“แ..เอ๊ย โคตรเหนียว นี่น่าจะเป็นผมของเอลฟ์แหงๆ” ซูจิ้งสบถออกมาแต่ตาของเขากลับเป็นประกาย

หากนี่เป็นผมของคนทั่วไปแล้วล่ะก็ไม่มีทางที่จะเหนียวได้ถึงขนาดนี้อย่างแน่นอน แต่สำหรับผมของเผ่าเอลฟ์แล้วก็ถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

 

ในห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริงนั้น มีตัวละครหลักคนหนึ่งที่มีชื่อว่าเจ้าชายเลโกลาส เขานั้นมีธนูที่ขึ้นสายด้วยเส้นผมที่ได้มาจากภูตตนหนึ่งที่บอกเขาว่าเส้นผมที่เอามาให้นั้นมาจากผมของภูตศักดิ์สิทธิ์

“กลายเป็นว่าพวกเอลฟ์เองก็ผมร่วงได้เหมือนกันแหะ แต่ดูๆไปแล้วก็ไม่น่าเป็นผมของราชินีเอลฟ์นะ เพราะผมของเธอน่าจะยาวกว่านี้

ผมนี้สมควรจะเป็นแค่ของเผ่าเอลฟ์ทั่วไปเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นมันก็น่าจะยังมีค่าอยู่ดี” เมื่อซูจิ้งสามารถดึงผมเส้นนี้ออกมาได้ เขาก็เก็บไว้ในกระเป๋ามิติในทันที

 

หลังจากจัดการขยะห้วเวลาฯกองผ้าเสร็จแล้ว ซูจิ้งก้ได้หันไปจัดการขยะห้วงเวลาฯกองหินที่อยู่ข้างๆต่อ หลังจากจัดการไปได้สักพัก เขานั้นได้หยิบเครื่องมือหินแตกๆขึ้นมาอันหนึ่ง แต่หลังจากที่เขานั้นสำรวจมันอย่างดีแล้ว อยู่สายตาของซูจิ้งก็เปล่งประกายขึ้นมาในทันที