บทที่ 2552 รูปสลักหยกนั้นอยู่ที่ไหน? / บทที่ 2553 พรุ่งนี้จะต้องเป็นวันที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2552 รูปสลักหยกนั้นอยู่ที่ไหน?

คุนเสวี่ยอี๋พยายามสะกดกลั้น ‘พลังบรรพกาล’ ในร่างเอาไว้ ทำให้ตัวเองหลุบตาลงนิดๆ ยังคงทำสีหน้าไร้อารมณ์ สุขุมเยือกเย็น

อวิ๋นเยียนหลี ถ้าชีวิตนี้ผู้เฒ่าไม่ได้เผด็จศึกเจ้า ขอสาบานว่าจะไม่เป็นคุนอีก!

เมื่อก่อนที่เขาหยอกเย้าอวิ๋นเยียนหลีเป็นแค่ความคะนองปาก ไม่ได้มีความคิดเชิงนั้นเลย

ทว่ายามนี้ในใจกลับเกิดความเหี้ยมหาญขึ้นมาจริงๆ แล้ว เริ่มพิจารณาความเป็นไปได้ในแง่นี้อย่างจริงจังแล้ว…

เขาเหลือบมองอวิ๋นเยียนหลีที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง ราวกับหมาป่าห่มหนังแกะที่กำลังพิจารณาลูกกวางน้อยข้างกาย…

อวิ๋นเยียนหลีค่อนข้าวหนาวยะเยือกขึ้นมาอย่างน่าประหลาด…

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้เก็บความรู้สึกไม่เข้าท่านี้มาใส่ใจ กลับรั้งคนข้างกายเข้ามาอีก

“ซีจิ่ว ไม่ว่าตอนนี้ในใจเจ้าจะใส่ผู้ใดไว้ แต่สุดท้ายแล้วเจ้าก็ต้องเป็นของข้า!”

“ตอนนี้รูปสลักหยกชิ้นนั้นอยู่ที่ไหน?”

คุนเสวี่ยอี๋ไม่สนใจคำสารภาพรักของเขา เอ่ยถามเป็นรอบที่ร้อยแปดสิบ

ใบหน้าหล่อเหลาของอวิ๋นเยียนหลีครึ้มลงในทันใด

“รูปสลักหยกชิ้นเดียวเท่านั้น เจ้าถามซ้ำไปซ้ำมาไม่เบื่อบ้างหรือไง?”

“ไม่เบื่อ มันอยู่ที่ไหน?”

“ใส่ใจมันขนาดนี้ หรือมันจะใช่ตี้ฝูอีจริงๆ?”

“ใช่แล้ว มันก็คือตี้ฝูอี คืนให้ข้าซะ!”

อวิ๋นเยียนหลีพูดไม่ออกแล้ว

เดิมทีเขาแน่ใจอย่างยิ่งว่ารูปสลักหยกนั้นคือตี้ฝูอีตัวจริง แต่พอได้ยินกู้ซีจิ่วกล่าวเช่นนี้ เขาก็ไม่มั่นใจแล้ว…

นี่ยังไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดคือขอเพียง ‘กู้ซีจิ่ว’ พบหน้าเขา ก็จะเอาแต่ถามคำถามนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับเสียงคำสาปที่แว่วเข้าสู่สมอง ภายหลังขอเพียงอวิ๋นเยียนหลีได้ยินคำถามนี้ของเขาก็จะฉุนเฉียวยิ่งนัก

ในช่วงเวลาที่งดงามขนาดนี้ นางกลับถามเรื่องที่ทำลายบรรยากาศเช่นนี้!

ในที่สุดอวิ๋นเยียนหลีก็โมโหแล้ว

“กู้ซีจิ่ว เจ้าตัดใจจากเรื่องนี้เสียเถอะ! พรุ่งนี้ข้าจะทำลายมันให้สิ้นซากแล้ว! ไม่ว่ามันจะใช่ตี้ฝูอีหรือไม่ ก็สร้างอภินิหารใดไม่ได้แล้ว!”

“เจ้าอย่าโม้หน่อยเลย! เจ้าไม่มีทางทำอะไรมันได้”

“เจ้ารอดูเอาเถิดว่าพรุ่งนี้ข้าจะทำอะไรมันได้ไหม ตอนนี้ข้าจะไม่ปิดบังเจ้าแล้ว คืนก่อนข้าได้รับการถ่ายทอดวิชาจากท่านเซียนแล้ว รู้วิธีทำลายรูปสลายแล้ว”

“วิธีไหน?”

“พรุ่งนี้เจ้าก็จะรู้เอง!”

“อวิ๋นเยียนหลี รูปสลักหยกนั้นอยู่ที่ไหน?”

อวิ๋นเยียนหลีหมดคำพูดแล้ว!

บัดซบ! เอาอีกแล้ว!

อวิ๋นเยียนหลีโมโหจนแทบหลั่งน้ำตาแล้ว

เดิมทีเขาวางแผนจะเที่ยวเล่นอีกสองสามชั่วยาม ยืดเวลาออกไปให้นานหน่อย

ผลก็คือออกมาได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เขาก็รีบประกาศยุติการเดินทาง ไม่พูดพร่ำทำเพลงอันใดพา ‘กู้ซีจิ่ว’ กลับไปส่งที่ตำหนักทองทันที…

หลังจากคุนเสวี่ยอี๋กลับมาถึงตำหนักทองก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

ความจริงแล้วเขาไม่กลัวอื่นใดเลย กลัวเพียงว่าอวิ๋นเยียนหลีจะบังคับครอบครองเขาก่อนถึงวันวิวาห์ ทำข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุก

หากว่าเป็นเช่นนั้น เขาไม่รู้ว่าจริงๆ ว่าควรจะขัดขืน หรือว่าไม่ขัดขืนดี?

ด้วยฝีมือของเขา ถ้าขัดขืนขึ้นมา มีความหวังที่จะหลบหนีไปได้อยู่แปดในสิบ แต่ก็จะเป็นการเปิดโปงความจริงที่ว่ากู้ซีจิ่วหลบหนีไปแล้ว

ถ้าไม่ขัดขืน…

มารดามันเถอะเขาชอบที่จะเป็นฝ่ายรุกมากกว่า…

แต่อวิ๋นเยียนหลีต้องไม่ยอมแน่นอน!

ดังนั้นคุนเสวี่ยอี๋คิดไปคิดมา จึงตัดสินใจว่าจะพยายามทำให้อวิ๋นเยียนหลีรังเกียจ จี้จุดของเขา ทำให้เขาไม่เกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมา

ความจริงประจักษ์แล้ว เขาทำสำเร็จ!

หลังจากเขากลับมาถึงตำหนักทองก็ขึ้นไปบนเตียงทันที เลิกผ้าห่มแล้วนอนลงไป มุดเข้าไปในโปงผ้า คลุมหัวไว้ ราวกับเหนื่อยจนหลับใหลแล้ว

เขาลูบคลำภายในโปงผ้าห่มอยู่ครู่หนึ่ง อสรพิษแดงชาดตัวหนึ่งก็มุดออกมาจากผ้าห่ม เบิกนัยน์ตาอสรพิษจ้องมองเขา

หนึ่งคนหนึ่งงูจ้องตากันอยู่ในผ้าห่ม งูตัวนั้นมีสีหน้าระแวดระวังอย่างเต็มที่

คุนเสวี่ยอี๋ดีดหัวงูทีหนึ่ง

“เสี่ยวฉือ ถึงแม้เมื่อก่อนพวกเราจะอยู่ร่วมกันอย่างไม่ปรองดองเท่าไหร่ ข้าเคยตุ๋นสหายร่วมเผ่าพันธ์ของเจ้า แต่คงไม่ถึงขั้นชิงชังกันมาจนถึงป่านนี้กระมัง? ครั้งนี้เป็นข้าที่ช่วยเจ้าไว้ มิเช่นนั้นคงถูกอวิ๋นเยียนหลีจับไปถลกหนังนานแล้ว!”

————————————————————————————-

บทที่ 2553 พรุ่งนี้จะต้องเป็นวันที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!

เสี่ยวฉือหดตัวเล็กน้อย คุนเสวี่ยอี๋ถอนหายใจ

“เจ้านายจอมเขลาคนนั้นของเจ้าเข้าเมืองมาตามหาเจ้าแล้ว ซ้ำยังรบกวนว่าที่ราชินีแห่งอาณาจักรมารให้พานางเข้ามาอีก เจ้ารีบกลับไปเสียดีกว่า รายงานนายของเจ้าด้วย รูปสลักหยกถูกอวิ๋นเยียนหลีซ่อนไว้มิดชิดเกินไป ข้าก็หาไม่เจอในชั่วขณะเช่นกัน อย่างไรก็ตามพรุ่งนี้พวกเขาจำเป็นต้องเข้าเมืองมาช่วยเหลือรูปสลักหยก เบื้องหลังของอวิ๋นเยียนหลียังมีตัวการใหญ่ที่สามารถเข้าฝันได้อยู่ ข้าสงสัยว่าเขาจะมีวิธีที่สามารถทำลายรูปสลักหยกได้จริงๆ พรุ่งนี้ข้ากับพวกเขาต้องประสานงานกันทั้งภายนอกภายใน…”

คุนเสวี่ยอี๋เขียนแผนการของตนเองลงในกระดาษน้อยแผ่นหนึ่ง มอบให้เสี่ยวฉือ เสี่ยวฉือกลืนเข้าไป…

เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว คุนเสวี่ยก็ทำทีคล้ายว่านอนไม่หลับลุกจากเตียง เดินวนไปวนมาอยู่ในห้องอย่างเบื่อหน่าย ลูบตรงนี้ ขยับตรงนั้น จากนั้นก็หันหลังให้ ‘กล้องวงจรปิด’ เปิดเขตแดนช่องเล็กๆ ปล่อยเสี่ยวฉือให้มุดออกไป

เขากระทำการอย่างรัดกุม ต่อให้ฝั่งอวิ๋นเยียนหลีจับตามองที่นี่อยู่ตลอด ก็มองเล่ห์กลของเขาไม่ออกอยู่ดี…

หลังจากนั้น เขาก็ขึ้นเตียงไปนอนหลับอย่างสบายใจ

….

อวิ๋นเยียนหลียุ่งง่วนทั้งวัน ช่วงค่ำเขานั่งอยู่ในห้องตัวเอง มองภาพที่ปรากฏภายในคันฉ่องแก้วผลึกอย่างใจลอยเล็กน้อย

ภายในคันฉ่องคือฉากภายในตำหนักของกู้ซีจิ่วที่เหมือนจะเหนื่อยจนหมดสภาพแล้ว นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง

อวิ๋นเยียนหลีรู้สึกว่าอารมณ์ของตนค่อนข้างประหลาด เมื่อก่อนเวลาที่ได้พบหน้ากู้ซีจิ่ว เขาจะมีอารมณ์ชั่ววูบอยู่เสมอ ต้องการจะโผเข้าใส่อีกฝ่าย อารมณ์คล้ายชายแท้คนหนึ่ง ครั้งนี้เมื่อเขาจับตัวกู้ซีจิ่วได้ ความคิดแรกก็คือต้องการเปลี่ยนข้าวสารให้เป็นข้าวสุกเสียก่อน

แต่เริ่มต้นจากเมื่อวานนี้ เมื่อเขาพบนางอีก กลับไม่เกิดความคิดเช่นนั้นแล้ว…

ถึงขั้นที่มีความรู้สึกเหมือนสัตว์ร้ายอันใดจับจ้องอยู่อย่างน่าประหลาด ความรู้สึกราวกับว่าหากเขาเข้าใกล้เกินไปจะถูกเขมือบลงท้อง

เป็นเพราะความเกลียดชังที่ฉายอยู่ในดวงตาของนางหรือ?

หรือว่าเป็นเพราะการไม่ได้มาครองถึงจะดีที่สุด? พอได้มาอย่างง่ายดายยิ่ง ความปรารถนาเช่นนั้นก็จะไม่แรงกล้าอีกต่อไป?

เขาเลิกผ้าห่มออกแล้วนอนลงไปเช่นกัน หลับตาลง

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พรุ่งนี้เขาจะแต่งกับนางแล้ว การเข้าหอในคืนวันพรุ่งนี้จะต้องไม่สูญเปล่า ถึงแม้จะต้องบังคับครอบครองก็ตาม…

พรุ่งนี้ พรุ่งนี้จะต้องเป็นวันที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!

เขาได้เตรียมการทุกอย่างไว้อย่างลับๆ แล้ว รอให้ปลาใหญ่เหล่านั้นเข้ามาติดเบ็ด…

เมื่อผ่านพ้นวันพรุ่งนี้ไป อาณาจักรมารอาจจะตกอยู่ในกำมือของเขาแล้ว…

….

เป็นวันที่อากาศแจ่มใสอย่างที่พบเห็นได้ยากยิ่งนักวันหนึ่ง

ไม่น่าเชื่อว่าเมฆทึบทะมึนที่กลิ้งตลบอยู่บนท้องนภาเสมอมาจะกระจายออกไป เหลือไว้เพียงเมฆาขาวไม่กี่ก้อนที่ล่องลอยอยู่

ดวงตะวันที่อยู่ด้านหลังก้อนเมฆโผล่ออกมาครึ่งดวง ถึงแม้จะซีดจางไร้กำลังไปบ้าง แต่ดีร้ายอย่างไรก็ปรากฏออกมาแล้ว

ในแดนอสุรา ไม่ปรากฏวันที่อากาศแจ่มใสเช่นนี้มาเนิ่นนานยิ่งนักแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงตื่นเต้นระคนแปลกใจ และลิงโลดยินดียิ่งนัก

คนของอวิ๋นเยียนหลีถือโอกาสนี้ประโคมข่าวลือ ว่านี่คือนิมิตหมายมงคลอันยิ่งใหญ่ สวรรค์เบื้องบนก็เห็นดีเห็นงามกับคู่นี้ด้วย…

ณ จัตุรัสราชธรรม

เคยเป็นสถานที่ที่ผู้คนมารวมตัวกันฝึกฝนวรยุทธ์ พื้นเป็นศิลาเขียวทั้งหมด มีชั้นวางอาวุธหลายอัน ธรรมดาจนไม่อาจธรรมดาไปมากกว่านี้ได้แล้ว

แต่ตอนนี้ในลานกลับจัดตั้งเวทีขึ้นมา เวทีสองแห่ง แห่งหนึ่งตั้งอยู่ทางเหนือ แห่งหนึ่งตั้งอยู่ทางใต้

เวทีทั้งสองมีระยะห่างกันห้าจั้ง ทว่ารูปแบบกลับแตกต่างกันอย่างยิ่ง

เวทีที่อยู่ทางทิศใต้สร้างขึ้นจากไม้จันทน์ม่วง คล้ายศาลาหลังหนึ่ง ด้านบนประดับประดาด้วยแถบแพรแดง ราวกั้นหยกทอแสงวาววับ แถบแพรปลิวไสวท้าสายลม

ไม่จำเป็นต้องถามเลย เวทีนั้นก็คือโถงพิธีที่ก่อขึ้นมาชั่วคราวเพื่อท่านเจ้าเมืองอวิ๋น

ส่วนเวทีที่อยู่ทางทิศเหนือกลับสร้างขึ้นจากศิลาห้าสีที่เรียบลื่นมันวาวผสมผสานกับไม้จันทน์ชนิดหนึ่ง ก่อเป็นทรงแปดเหลี่ยม รอบๆ เวทีตั้งกระถางสัมฤทธิ์ใบใหญ่ไว้แปดใบ ในกระถางทุกใบล้วนมีของเหลวอยู่ มีสีแดงส้มเหลืองเขียวฟ้าม่วง…สีสันครบถ้วน ไม่ทราบเช่นกันว่าเอาไว้ทำอะไร