บทที่ 2554 งานวิวาห์ / บทที่ 2555 งานวิวาห์ 2

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2554 งานวิวาห์

ใจกลางเวทีนี้ ยังมีแท่นดอกบัวแท่นหนึ่งอยู่ด้วย บนแท่นดอกบัวมีเสาใหญ่ต้นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ ไม่ทราบว่าเสาทำมาจากไม้ชนิดใด เหลือบสีแดงหม่นนิดๆ แวววาววับวาม

นอกจากสองเวทีนี้แล้ว จุดอื่นๆ ในจัตุรัสราชธรรมก็ถูกแบ่งออกเป็นแปดส่วน ขึงม่านที่แตกต่างกันไปโอบล้อมไว้

ไม่ต้องถามเลย แปดส่วนนี่ก็คือพื้นที่สำหรับให้ประชาชนมาร่วมอวยพร

ยังไม่ทันถึงช่วงพิธีการก็มีศีรษะคนเนืองแน่นแล้ว ชาวบ้านในเมืองต่างแห่แหนกันมาชมความคึกครื้น

มีคนมาคอยรับรองอยู่แต่เช้า พาพวกเขามุ่งไปยังทิศทางที่ต่างกัน เข้าไปในซุ้มม่านที่แตกต่างกัน ตามคำพูดของทางการคือ ป้องกันไม่ให้อลหม่านจนพลาดเหยียบกันเข้า

ประชาชนในเมืองล้วนเป็นผู้บำเพ็ญ ดังนั้นจึงจัดให้เข้ามายืนเรียงแถวตามคุณสมบัติของหัวหน้าครอบครัว

แน่นอน งานวิวาห์ของเจ้าเมืองอวิ๋นทั้งที มีคนนอกเข้ามาร่วมอวยพรไม่น้อยเลย รวมไปถึงลูกน้องของอวิ๋นเยียนหลีอีก นั่นก็เป็นจำนวนมากมายแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงจัดสรรไปตามแต่ละซุ้ม เมื่อจัดสรรเช่นนี้แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะแบ่งได้เท่ากันยิ่งนัก จำนวนคนภายในแต่ละซุ้มพอๆ กันเลย

และพวกเฟิงหรูฮั่วก็ปะปนเข้ามาในกลุ่มคนเหล่านี้ด้วย กู้ซีจิ่วแปลงโฉมให้พวกเขาทุกคน ดังนั้นจึงปะปนอยู่ด้านในอย่างแนบเนียน

เฟิงหรูฮั่วยังคงระมัดระวังยิ่ง นางมองออกว่าท่ามกลางฝูงชนรอบข้าง มีหน่วยลับของอวิ๋นเยียนหลีปะปนอยู่ด้วย จำนวนไม่น้อยเลย ในพื้นที่ที่นางอยู่นี้มีคนทั้งหมดสามสี่พันคน มีหน่วยลับแทรกซึมอยู่เจ็ดสิบแปดสิบคนแล้ว คนพวกนี้ปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชน เห็นได้ชัดว่าเป็นการป้องกัน คนของอาณาจักรมารที่จะแทรกซึมเข้ามาก่อความวุ่นวาย…

เฟิงหรูฮั่วยกมุมปากขึ้นนิดๆ ยิ้มบางๆ

อวิ๋นเยียนหลีรู้แน่ชัดอยู่แล้วว่า คนของอาณาจักรมารจะมาป่วนงาน จึงจัดวางกับดักนับไม่ถ้วนไว้ในจัตุรัสราชธรรม

กับดักที่จัดวางไว้ร้ายกาจยิ่ง แต่กลับเล็ดรอดสายตาว่านหงซิ่วพี่สามของบ้านนางไปไม่ได้ กับดักเหล่านั้นย่อมถูกทำลายทิ้งอย่างเทพไม่รู้ผีไม่เห็นไปหมดแล้ว

ครั้งนี้ต้องสำเร็จแน่!

เนื่องจากกู้ซีจิ่วยังมีไม้ตายชุดใหญ่อย่างหนึ่งอยู่

เมื่อถึงเวลาพอเผยออกมาแล้ว จะทำให้อวิ๋นเยียนหลีวุ่นวายลนลานแน่นอน…

พระอาทิตย์เคลื่อนคล้อยไปยังทิศตะวันตก ช่วงพิธีการใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ฝูงชนก็วุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ

ในที่สุด ก็มีเสียงตีฆ้องลั่นกลองแว่วมาจากที่ไกลๆ เสียงประทัดพลันดังขึ้นไกลๆ

ท่ามกลางการประโคมฆ้อง ลั่นกลองในโถงพิธี ขบวนม้ากลุ่มหนึ่งยาตราเข้ามา

เฟิงหรูฮั่วหรี่ตาลงเล็กน้อย หยักมุมปาก

พิธีแต่งงานนี้คล้ายอย่างที่ควรจะเป็นจริงๆ

นางอยู่ร่วมกับชาวบ้านคนอื่น มองขบวนม้าอยู่ไกลๆ เคลื่อนใกล้เข้ามา

รูปแบบเป็นเช่นเดียวกับการแต่งงานของแดนมนุษย์ เจ้าบ่าวสวมชุดพิธีการสีแดงขี่ม้านำขบวนอยู่ด้านหน้า ที่ห้อมล้อมอยู่รอบตัวเขาคือลูกน้องของเขา และด้านหลังของเขาก็คือเกี้ยวแดงคันใหญ่…

เฟิงหรูฮั่วถอนหายใจเบาๆ นางประเมินค่าเป็น เห็นวัสดุของเกี้ยวเจ้าสาวก็รู้แล้วว่าเกี้ยวคันนี้มีมูลค่าหมื่นตำลึงทอง…

ดูเหมือนอวิ๋นเยียนหลียังคงมีความจริงใจต่อกู้ซีจิ่วอยู่บ้าง

แต่น่าเสียดาย…

ไม่รู้ว่าคุนเสวี่ยอี๋ที่อยู่ในเกี้ยวจะรู้สึกยังไงกันนะ?

เฟิงหรูฮั่วกระทำการห้าวหาญมุทะลุ คุนเสวี่ยอี๋พูดอยู่บ่อยๆ ว่านางคือหญิงห้าว ไม่มีความเป็นสตรี

และทุกครั้งเฟิงหรูฮั่วล้วนโต้กลับไปว่าเขามีรูปโฉมงดงาม ไม่มีความเป็นบุรุษเลย

ถึงแม้คุนเสวี่ยอี๋จะชอบทำตัวตุ้งติ้ง แต่ก็หงุดหงิดเป็นที่สุดเวลามีคนบอกว่าเขาเหมือนสตรี ปกติแล้วพอมีคนว่าเขาเช่นนี้ล้วนจะถูกปรับทัศนคติอย่างอนาถยิ่งนัก…

ตอนนี้เขาแปลงกายเป็นโฉมงามอย่างแท้จริง นั่งอยู่ในเกี้ยวเจ้าสาว อารมณ์คงแปรปรวนยิ่งนักเป็นแน่!

รอจนถึงเวลาที่เขาเข้าหอกับอวิ๋นเยียนหลีคงแปรปรวนยิ่งกว่าเดิมแน่นอน…

อารมณ์ของเฟิงหรูฮั่วพลันโสภาขึ้นมาเล็กน้อย คิดไว้ว่าวันหน้าจะนำเรื่องนี้มาพูด หัวเราะเยาะคุนเสวี่ยอี๋ได้เป็นปีแน่

สายตาของนางมองไปยังเวทีศิลาห้าสีแปดเหลี่ยมแสนพิสดารหลังนั้น หากไม่เหนือไปจากที่คาดไว้ อวิ๋นเยียนหลีจะจัดการ ‘รูปสลักหยก’ บนเวทีนั้น…

————————————————————————————-

บทที่ 2555 งานวิวาห์ 2

นางกับสหายร่วมกลุ่มของนางก็เข้าใจศาสตร์ค่ายกลเช่นกัน แต่มองซ้ายมองขวาแล้วก็ยังมองไม่ออกเลยว่าสรุปแล้วเวทีนี้อันตรายตรงไหน

นางลูบหัวเสี่ยวฉือที่อยู่ในแขนเสื้อ เมื่อคืนคุนเสวี่ยอี๋ส่งเสี่ยวฉือกลับมาส่งข่าว บอกว่าอวิ๋นเยียนหลีได้รับการถ่ายทอดวิธีทำลายรูปสลักหยกมาจากความฝัน

กล่าวอีกนัยคือ เวทีศิลาห้าสีนี้ก็เป็นอย่างหนึ่งที่ได้รับการถ่ายทอดมา เมื่อถึงเวลามันจะมีความสามารถที่น่าทึ่งอันใดกันนะ?

ท่ามกลางเสียงตีฆ้อง ลั่นกลอง เกี้ยวเจ้าสาวได้หยุดลงในจุดที่ห่างจากเวทีประกอบพิธีกว่าสิบจั้ง อวิ๋นเยียนหลีลงจากม้า มาที่หน้าเกี้ยว เลิกม่านเกี้ยวให้เปิดออก แล้วอุ้มเจ้าสาวในชุดมงคลสีแดงออกมา

เจ้าสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาดิ้นรนเล็กน้อย ดูท่าจะไม่อยากให้เขาอุ้ม

แต่แขนของอวิ๋นเยียนหลีกลับโอบแน่นยิ่งขึ้น เขยิบเข้าหาเจ้าสาวยิ้มน้อยๆ เอ่ยริมหูว่า

“ซีจิ่ว ข้าจำที่เจ้าเคยเล่าได้ เจ้าบอกว่าธรรมเนียมที่โลกนั้นของเจ้า ฝ่ายชายจะต้องอุ้มเจ้าสาวลงจากรถแล้วอุ้มไปยังโถงพิธี วันนี้ข้าผู้เป็นเจ้าเมืองจะเติมเต็มความปรารถนานี้ให้เจ้า”

เสียงของเขาไม่ดังไม่เบา ทำให้คนรอบข้างได้ยินพอดี

บางคนริษยาตาร้อน บางคนไม่เห็นด้วย บางคนโห่ร้องหยอกเย้า…ครึกครื้นขึ้นเรื่อยๆ

เจ้าสาวดิ้นให้หลุดจากเขาไม่ได้ จึงถอดใจไปเสีย

และไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นความบังเอิญหรือเจตนา ศีรษะของเจ้าสาวเอียงซบซอกคอของอวิ๋นเยียนหลีพอดี ลมหายใจเบาบางนั้นเป่ารดลำคอของอวิ๋นเยียนหลี เป่าจนอวิ๋นเยียนหลีร้อนรุ่มไปทั้งร่าง ใบหูแดงก่ำไปครึ่งหนึ่ง

คุนเสวี่ยอี๋ที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีแดงหยักมุมปากนิดๆ เผยความเยาะหยันออกมากึ่งหนึ่ง…

ว่าด้วยการแทะโลมหยอกเย้าแล้ว ยังจะมีใครเหนือไปกว่าเขาอีกเล่า?

เพียงแต่รอจนอวิ๋นเยียนหลีได้รู้ความจริงแล้ว เมื่อนึกถึงฉากนี้ขึ้นมาอีกครั้ง…จะต้องน่าดูชมอย่างยิ่งเป็นแน่!

ขั้นตอนต่อไปดำเนินไปตามแบบแผน คุนเสวี่ยอี๋ถูกอวิ๋นเยียนหลีอุ้มขึ้นไปยังเวทีพิธีการ ท่ามกลางสายตาของฝูงชน หลังจากนั้นก็…

หลังจากนั้นก็ไม่ได้ทำพิธีกราบไหว้ทันที แต่ว่าอวิ๋นเยียนหลีวางเจ้าสาวในอ้อมแขนลง เอนกายพิงริมราวกั้น ยิ้มนิดๆ

“ซีจิ่ว ข้าจะให้เจ้าได้ชมมายากล”

กวาดตามองด้านล่างเวทีแวบหนึ่ง ท่ามกลางการจับจ้องของสายตานับหมื่นนับพันคู่ ได้แต่ยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า

“หลายวันก่อนได้เกิดอัศจรรย์ขึ้นในเมืองเล่อกั่ว ข้าคิดว่าทุกท่านคงได้ยินข่าวกันหมดแล้ว ก็คือมีรูปสลักหยกปลอมตัวเป็นเป็นเทพเซียนสำแดงตน พูดจาเลื่อนลอยหลอกลวงคนบางอย่าง ทำให้ประชาชนบางส่วนที่ไม่ทราบความจริงหลงทางไป…”

เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองเล่อกั่ววันนั้นอย่างคร่าวๆ ยังคงเอาความดีความชอบที่พิรุณโลหิตไม่ตกลงมายังเมืองเล่อกั่วเข้าใส่ตนอีก สุดท้ายเขาก็กล่าวว่า

“ข้าผู้เป็นเจ้าเมืองทราบดี หากไม่มีหลักฐานมายืนยัน ในใจทุกท่านก็ยังคงคลางแคลงในตัวข้าผู้เป็นเจ้าเมืองอยู่ เจ้าเมืองอย่างข้าจึงทำงานอย่างหนัก ในที่สุดก็จับกุมราชันมารที่สมอ้างว่าเป็นเทพเซียนผู้นี้ได้ คนผู้นี้พยายามทำให้ผู้คนสับสนแตกแยก คิดจะทำลายล้างทั้งแดนอสุรา เคราะห์ดีที่สวรรค์มีเมตตา ทำให้ข้าผู้เป็นเจ้าเมืองจับกุมเขาได้ วันนี้ข้าผู้เป็นเจ้าเมืองจะให้ทุกท่านได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา!”

วาจานี้ของเขา เป็นการกระตุ้นความอยากรู้ของทุกคนขึ้นมา

สายตานับไม่ถ้วนมองไปที่เขา

หัวใจของพวกเฟิงหรูฮั่วเต้นกระหน่ำขึ้นมาเช่นกัน ในที่สุดนางก็จะได้เห็นรูปสลักหยกขององค์ราชันแล้ว!

จะว่าไป สรุปแล้วอวิ๋นเยียนหลีเอารูปสลักหยกไปซ่อนไว้ที่ไหนกันแน่?! หรือว่าจะเก็บไว้ในมิติเก็บของของเขา?

ท่ามกลางสายตาของคนมากมาย อวิ๋นเยียนหลีเริ่มร่ายอาคม คลื่นแสงนับไม่ถ้วนผุดออกมาจากปลายนิ้วของเขา พุ่งไปยังเวทีศิลาห้าสีที่อยู่ตรงกันข้าม ค่อยๆ ซึมเข้าไป บนเสาที่อยู่ในนั้นปรากฏรูปสลักหยกชิ้นหนึ่งขึ้นมา…

รูปสลักหยกเป็นเนื้อหยกจริงๆ แต่กลับคล้ายมนุษย์จริงๆ หรืออาจกล่าวได้ว่าไม่ต่างไปจากมนุษย์ตัวเป็นๆ เลย แม้กระทั่งขนตาที่หลุบลู่เล็กน้อยก็ล้วนมีชีวิตชีวาสมจริง

เฟิงหรูฮั่วกลั้นหายใจแล้ว!

ใช่จริงๆ…เป็นองค์ราชันของพวกนาง!

ถึงแม้นางจะรับใช้อยู่ใต้สังกัดของเขามาเกือบครึ่งปีแล้ว ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเขาในสภาพนี้