เล่มที่ 24 เล่มที่ 24 ตอนที่ 696 จะทำใจแยกจากกันได้อย่างไร

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สัตว์เทพทั้งสองส่งเสียงร้องด้วยความประหลาดใจ ทว่าอวิ๋นจิ่นกลับสะบัดแขนเสื้อเก็บพวกมันเข้าไป

ขณะเดียวกันก็ใช้พลังภายในฟื้นฟูใบหน้าให้เป็นปกติ ทั้งยังกำจัดรอยเลือดที่อยู่บนพื้นและแขนของตนเอง

ซูจิ่นซีรู้สึกว่าทางด้านหลังของนางมีบางอย่างผิดปกติ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงหยุดชะงักและหันกลับไปดู

“เป็นอันใดหรือ? ”

จิ่วหรงไพล่แขนเปื้อนเลือดไว้ข้างหลังอย่างเงียบงัน โดยไม่ทิ้งร่องรอย

“ไม่มีอันใด เพียงรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย ทว่ายังไหว รีบเดินทางกันต่อเถิด! ”

ความเหน็ดเหนื่อยนั้น ซูจิ่นซีก็รู้สึกเหนื่อยล้าเช่นกัน นับตั้งแต่เข้าสู่โลกเขตแดน นางก็ตกอยู่ในสภาวะตึงเครียด ทั้งยังต้องต่อสู้อย่างหนักหน่วงโดยไม่มีเวลาหยุดพัก

อย่างไรก็ตาม อวิ๋นจิ่นพูดถูก สิ่งสำคัญคือรีบเดินทาง

ซูจิ่นซีมองอวิ๋นจิ่นตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียด ทว่าไม่พบความผิดปกติอันใด นอกจาก… สัตว์เทพกิเลนและจิ้งจอกน้อยหายไป

“กิเลนกับเก้าสีไปที่ใด? ”

“ให้พวกมันเดินเองคงลำบาก ข้าจึงเก็บพวกมันไว้ในอาคมกำไลปี่อั้น! ที่นั่นกว้างขวางกว่า”

อวิ๋นจิ่นพูดพลางโบกแขนเสื้อ ส่งสัตว์เทพกิเลนและจิ้งจอกเก้าสีเข้าไปในอาคมกำไลปี่อั้นบนข้อมือของซูจิ่นซี

ตอนที่อยู่ในแขนเสื้อ อวิ๋นจิ่นได้เตือนสัตว์เทพทั้งสองอย่างดุดันแล้ว พวกมันไม่กล้าหักหลังอวิ๋นจิ่นแน่นอน

นอกจากนั้น อวิ๋นจิ่นยังมอบสมุนไพรล้ำค่าเป็นรางวัลให้แก่พวกมัน หลังจากล้มลงบนแท่นบูชาในอาคมกำไลปี่อั้น พวกมันก็อ้าปากกว้างและกินสมุนไพรล้ำค่าที่อวิ๋นจิ่นมอบให้ไม่หยุดปาก ดังนั้นพวกมันไม่มีทางหักหลังอวิ๋นจิ่นเป็นแน่

อวิ๋นจิ่นและซูจิ่นซีเดินเคียงข้างกันไปตลอดเส้นทาง พวกเขาคอยรักษาระยะห่าง คนหนึ่งอยู่ข้างหน้า อีกคนอยู่ข้างหลัง เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เขาจะได้ปกป้องซูจิ่นซีได้ ทว่าจะไม่ยอมให้ซูจิ่นซีรู้ว่าตนเองมีอาการผิดปกติ

ตอนที่ซูจิ่นซีเปิดอาคมกำไลปี่อั้น อวิ๋นจิ่นได้ลอบปรับแต่งให้มันอยู่ในระดับเบาที่สุด

ในที่สุด ทั้งสองก็เดินทางมาถึงแม่น้ำฉางซือ

ที่นี่มีหมอกหนาทึบเช่นเดิม และไม่สามารถมองเห็นภาพด้านหน้าได้เกินห้าก้าว

หลังจากปรับลมปราณมาตลอดทาง อวิ๋นจิ่นจึงฟื้นฟูร่างกายของตนเองได้พอสมควร อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ซูจิ่นซีสังเกตเห็นอาการบาดเจ็บบนร่างกาย เขาจึงเตินเข้ามาใกล้ซูจิ่นซีมากขึ้น

“ที่นี่ค่อนข้างอันตราย อยู่ข้างกายข้าไว้ พวกเราไปหาคนข้ามฟากกันเถิด! ”

“ตกลง! ”

คนเดินเรืออยู่บนริมฝั่งแม่น้ำฉางซือ เขาเป็นชายชราผู้มีใบหน้าเคร่งขรึม เมื่อมองนานๆ แล้วทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวจนสันหลังเย็นวาบ

อวิ๋นจิ่นแสดงป้ายคำสั่ง ชายชราเข้าใจความหมายของอวิ๋นจิ่นทันที เขานิ่งเงียบไม่พูดสิ่งใด ก่อนจะพาซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นขึ้นเรือ

บนเรือมองเห็นได้ชัดเจนกว่าบนฝั่ง ในแม่น้ำเต็มไปด้วยซากกระดูกขาวโพลนและวิญญาณเร่ร่อน

เมื่อชายชราแขวนป้ายคำสั่งของอวิ๋นจิ่นไว้ที่หัวเรือ กระดูกขาวโพลนและวิญญาณหลงทางเหล่านั้นก็ถอยห่างออกไป และไม่กล้าเข้าใกล้

ไม่ว่าผู้ใดก็นึกภาพออกว่าจะเกิดอันใดขึ้น หากพวกเขาฝ่าฝืนข้ามแม่น้ำโดยไม่มีป้ายคำสั่ง

เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ไม่คาดคิด ระหว่างทาง อวิ๋นจิ่นจึงปกป้องซูจิ่นซีอย่างใกล้ชิด

โชคดีที่ไม่มีอันใดเกิดขึ้น ทั้งสองข้ามแม่น้ำฉางซือได้อย่างราบรื่น และเดินทางมาถึงทะเลอู๋ว่างที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

ทะเลอู๋ว่างนั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่ทะเล ทว่าเป็นดินแดนแปลกประหลาดที่มีแท่นบูชาสูงตั้งอยู่ทุกหนทุกแห่ง และบนแท่นบูชาแต่ละแห่งยังมีโลงศพวางไว้ด้านบน

บนโลงศพใช้วิธีการพิเศษเพื่อระบุตัวตนและเรื่องราวของผู้ถูกฝัง เมื่อมีคนเดินเข้าใกล้ ตัวอักษรที่เขียนอยู่ด้านบนก็จะปรากฏให้เห็นโดยอัตโนมัติ

ตอนที่ซูจิ่นซีมาถึง นางได้ตรวจสอบแล้วว่า ภายในทะเลอู๋ว่างมีผู้ที่รู้วิชาแพทย์ถูกฝังไว้จำนวนมาก ทว่าหลังจากเสียชีวิตแล้ว มีเพียงโลงศพของคนผู้หนึ่งที่สามารถปลูกหญ้าเสินเซียนไว้ด้านบนได้

นั่นก็คือ บรรพบุรุษของสกุลจงผู้ศึกษาวิชาแพทย์ เทพหนงซื่อ

ซูจิ่นซีบอกความคิดของตนกับอวิ๋นจิ่น

อวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “อืม ข้าก็คิดเช่นนั้น พวกเราไปตามหาสุสานประจำตระกูลของเทพหนงซื่อก่อน”

ทั้งสองหาสุสานประจำตระกูลของเทพหนงซื่อได้อย่างรวดเร็ว

สุสานเทพหนงซื่อมีหญ้าเสินเซียนปลูกอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการ ทว่าโดยรอบสุสานกลับมีสัตว์เทพสี่ตัวปกป้องอยู่

สัตว์เทพที่อยู่ที่นี่ไม่เหมือนสัตว์เทพในตำหนักใต้ดินของศาลบรรพชนแห่งสำนักถังเหมิน อย่างไรเสีย พวกมันอยู่ในทะเลอู๋ว่าง พลังวิญญาณย่อมแข็งแกร่งกว่าสัตว์เทพในศาลบรรพชนของสำนักถังเหมิน ศีรษะของพวกมันใหญ่กว่าสัตว์เทพในศาลบรรพชนของสำนักถังเหมินถึงสามเท่า

แม้ไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บของอวิ๋นจิ่นรุนแรงเพียงใด ทว่าซูจิ่นซีรู้ว่าอวิ๋นจิ่นได้รับบาดเจ็บ นางจึงตัดสินใจร่วมมือกับเขา

“ข้าจัดการสองตัว ที่เหลือหนึ่งตัวให้เจ้าจัดการ”

เนื่องจากเกรงว่าอวิ๋นจิ่นจะไม่เห็นด้วย นางจึงกล่าวย้ำว่า “อย่าดื้อรั้น ก่อนหน้านี้ต้องใช้พลังฝึกตนของเจ้าไม่น้อยเพื่อออกจากโลกเขตแดน หากเจ้าล้มลงที่นี่อีกครั้ง การกลับสู่โลกมนุษย์ก็นับเป็นเรื่องยากแล้ว”

อวิ๋นจิ่นยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ตกลง! ”

แท้จริงแล้ว ซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นต่างจัดการกับสัตว์เทพคนละตัว เพราะนางเรียกสัตว์เทพกิเลนและจิ้งจอกเก้าสีออกมาจากระบบถอนพิษ และให้พวกมันจัดการสัตว์เทพที่เหลืออีกหนึ่งตัว

ท้ายที่สุด ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังจัดการกับสัตว์เทพ และอวิ๋นจิ่นเพิ่งจัดการกับสัตว์เทพที่ตนเองต้องรับมือ สัตว์เทพกิเลนและจิ้งจอกเก้าสีก็จัดการกับสัตว์เทพที่พวกมันรับผิดชอบจนแล้วเสร็จ

แม้ทะเลอู๋ว่างจะมีพลังหยินที่แข็งแกร่ง ทว่าหญ้าเสินเซียนที่เติบโตบนสุสานของเทพหนงซื่อกลับบานสะพรั่ง และทอประกายด้วยพลังวิญญาณ

ซูจิ่นซีเหาะลงไปยังด้านข้างของสุสานเทพหนงซื่อ นางถอนหญ้าเสินเซียน และหันกลับมาแย้มยิ้มสดใสให้อวิ๋นจิ่น

ไม่ว่าจะพบเจออุปสรรคมากมายเพียงใด ในที่สุด พวกเขาก็ได้หญ้าเสินเซียนมาจนได้

ในช่วงเวลานี้ ราวกับมีบางสิ่งทิ่มแทงหัวใจของซูจิ่นซีอยู่เนิ่นนาน นางต้องการกลับแคว้นหนานหลีเพื่อแก้ปัญหานี้ให้เร็วที่สุด และตอนนี้ นางสามารถกลับไปได้แล้ว

อวิ๋นจิ่นยังคงมีรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนให้ซูจิ่นซี เขามองใบหน้าของซูจิ่นซีด้วยความลึกซึ้งอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน

ตอนที่ต่อสู้กับสัตว์เทพ อวิ๋นจิ่นเห็นถึงพลังการฝึกตนของซูจิ่นซีที่ก้าวหน้าอย่างมาก

แม้ไม่รู้ว่านางพบเจอสิ่งใดตอนที่หายตัวไปในโลกเขตแดน ทว่าเขาเข้าใจดีว่า มันต้องเป็นการผจญภัยสำหรับซูจิ่นซีอย่างแน่นอน

จากการฝึกฝนของซูจิ่นซี มีเพียงไม่กี่คนในโลกมนุษย์ที่เหมาะเป็นคู่ต่อสู้ของนาง แม้แต่เยี่ยโยวเหยาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางในตอนนี้

เขามีความสุขและภูมิใจในตัวซูจิ่นซีอย่างมาก

เมื่อได้หญ้าเสินเซียนมาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอยู่ที่ทะเลอู๋ว่างอีกต่อไป ทั้งสองตัดสินใจออกไปจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว

พวกเขาเดินตามเส้นทางเดิมเพื่อกลับไปยังเขาเมฆา

ตอนที่เดินทางมาถึงเขาเมฆานั้น เป็นเวลากลางคืนแล้ว เขาเมฆาเต็มไปด้วยหมอกหนาทึบ ทำให้มองเห็นหนทางได้ยาก นอกจากนั้นเวลากลางคืนยังอันตรายอย่างมาก

ทั้งสองคนไม่รู้ว่าเหตุใด เมื่อเดินทางมาถึงเมืองอวิ๋นหุนอีกครั้ง สถานที่แห่งนี้ก็กลายเป็นเมืองร้างไปเสียแล้ว

องค์ชายและองค์หญิงได้ทำตามที่พูดไว้ พวกเขาออกไปใช้ชีวิตอย่างสันโดษ ส่วนชาวเผ่าอวิ๋นหุนก็อพยพออกจากเขาเมฆาเช่นกัน ไม่รู้ว่าพวกเขาไปอาศัยอยู่ที่ใด

การเร่งเดินทางในยามกลางคืนไม่ปลอดภัย ทั้งสองจึงพักอยู่ในเมืองอวิ๋นหุนชั่วคราว และตัดสินใจว่ารุ่งเช้าค่อยเร่งเดินทางอีกครั้ง

เช้าวันรุ่งขึ้น ก่อนที่ซูจิ่นซีจะตื่น อวิ๋นจิ่นก็ตื่นขึ้นมาก่อนแล้ว หลังจากรับประทานอาหารเช้าและกำลังจะออกเดินทาง ทันใดนั้น อวิ๋นจิ่นก็เดินไปเบื้องหน้าซูจิ่นซีด้วยท่าทางแปลกประหลาด

ซูจิ่นซีแย้มยิ้มเล็กน้อย “เกิดอันใดขึ้น? มีสิ่งใดผิดปกติหรือ? ”

อวิ๋นจิ่นส่ายศีรษะ “พวกเรากลับแคว้นหนานหลีช้าไปอีกสักสองสามวัน เป็นอย่างไร? ”

“ล่าช้าอีกสองสามวัน? เพราะเหตุใด? ”

“เพราะว่า… ”

อวิ๋นจิ่นยังไม่ทันพูดจบประโยค ซูจิ่นซีก็หมดสติไปทันที อวิ๋นจิ่นรีบคว้าตัวซูจิ่นซีอย่างรวดเร็ว

เมื่อมองไปยังใบหน้าเงียบสงบของซูจิ่นซี ใบหน้าของอวิ๋นจิ่นก็ปรากฏความลุ่มหลงอย่างลึกซึ้ง

“ซีเอ๋อร์ ข้าขอโทษ อาจารย์เกรงว่า… เมื่อเจ้ากับข้าไปถึงแคว้นหนานหลีแล้ว พวกเราต้องแยกจากกันตลอดกาล และคงไม่มีโอกาสได้พบกันอีก ทั้งที่ข้ารู้ดีว่าไม่อาจเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้ ทว่าข้าจะยอมพรากจากเจ้าอย่างเนิ่นนานถึงเพียงนั้นได้อย่างไร… ”

พูดจบ อวิ๋นจิ่นก็อุ้มซูจิ่นซีเข้าไปในห้องและวางนางลงบนเตียง