หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 993 ตามทัน
แสงสีแดงล้นปรี่ในจุดลึกของทะเลทรายที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา
ในที่สุดปลายทางก็เริ่มปรากฏขึ้น ที่บริเวณนั้นมีแสงสีแดงขนาดใหญ่ปกคลุมลงมา ราวกับเป็นปราการธรรมชาติที่สร้างเพื่อแยกฟ้าดินออกจากกัน
อุณหภูมิของแสงสีแดงเข้มสูงเป็นทบทวีอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่เส้นใยแสงกระจายออกไป ทำให้มิติยังเกิดการบิดเบือนราวกับกำลังจะถูกแผดเผาอย่างสมบูรณ์
แสงสีแดงที่กระจายอยู่ในทะเลทรายเทียบไม่ได้กับปราการสีแดงนี้เลย
ยามนี้มีร่างหลายร่างยืนอยู่บนท้องฟ้าเบื้องหน้าปราการแสง ใบหน้าของพวกเขาน่าเกลียดเมื่อมองไปที่ปราการสีแดงเบื้องหน้า
“นี่คือปราการที่จะผ่านไปยังชั้นสอง…”
จงเถิงยืนอยู่ที่ด้านหน้า ลอยตัวบนท้องฟ้ามือจับคันร่มสีทองที่มีปีกกระเรียนสีทองกางออก ซึ่งลบล้างแสงสีแดงส่วนใหญ่ไป แต่ถึงกระนั้นร่างกายเขาก็เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อและผิวที่แห้งผาก แม้แต่ใบหน้าก็แดงก่ำผิดปกติ
อีกด้านหนึ่งมั่วเฟิง หานซันและสีคุนก็มาถึงแล้ว พวกเขามองไปที่ปราการสีแดงที่อยู่ตรงหน้า สีหน้าแสดงความเคร่งเครียด
พวกเขารับรู้ได้ถึงความยากลำบากที่จะต้องผ่านปราการสีแดงนี้ไป อุณหภูมิที่สูงเป็นสิ่งที่แม้แต่พวกเขาก็ไม่กล้าประมาท หากพวกเขาพลาดต่อให้ไม่ตายก็ต้องลอกหนังไปชั้นหนึ่ง
ที่ข้างหลังยังมีร่างแสงหลายร่างทะยานเข้ามา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับปราการแสงก็ไม่มีใครกล้าที่จะลองเข้าไปก่อน
แม้ว่าปราการสีแดงดูเหมือนจะครอบคลุมในรัศมีพันจั้งเท่านั้น
หากเป็นเวลาปกติก็จะใช้เวลาเพียงพริบตาที่จะเดินทางในระยะไกลเช่นนี้ แต่ในสถานที่แห่งนี้พันจั้งก็เหมือนกับเส้นทางแห่งความตาย ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว…
ความเงียบกินเวลาอยู่นาน สุดท้ายทุกคนก็ไม่คิดที่จะยืนรอต่อไปเรื่อยๆ จงเถิงเป็นคนแรกที่กัดฟันไม่พูดอะไร ร่างกายกระจายด้วยความแวววาวสีทอง ปีกสีทองคู่หนึ่งกางที่แผ่นหลัง บนพื้นผิวขนสีทองผุดขึ้นมาเป็นชั้นห่อหุ้มร่างกายราวกับชุดเกราะ
หลังจากใช้วิธีการนี้ป้องกันตัว จงเถิงก็ยังไม่ไว้ใจพลางยกร่มสีทองในมือขึ้น แสงสีทองกะพริบวูบไหว ประกายแวววาวสีทองก็โอบล้อมเขาไว้
หลังจากเสริมความแข็งแกร่งแนวป้องกันหลายระดับ จงเถิงก็วางใจขึ้น ฝ่าเท้าก้าวเข้าไปในแสงสีแดงโดยไม่ลังเล
ชี่! ชี่!
ทว่าทันทีที่เขาก้าวเข้าสู่แสงสีแดง ใบหน้าของจงเถิงก็บิดเบี้ยว ควันสีขาวลอยขึ้นจากร่างกาย แม้แต่ชั้นขนทองคำก็เริ่มละลายลง
ความเจ็บปวดเหลือคณนา ทำให้จงเถิงรู้สึกเหมือนหนังศีรษะกำลังระเบิด
ทว่าจงเถิงเป็นอัจฉริยะของเผ่ากระเรียนฟ้า ดังนั้นเขาไม่ถอยออกไปง่ายๆ อย่างแน่นอน เขาเร้าวิชาการป้องกันทั้งหมดพุ่งเข้าหาแสงสีแดง
ที่ข้างหลังเมื่อหานซันและสีคุนเห็นฉากนี้ พวกเขาก็ไม่กล้าให้จงเถิงผ่านเข้าคนเดียว ดังนั้นจึงนำทักษะต่างๆ ออกมาป้องกันตัวเองและพุ่งเข้าใส่
“อ้าก!”
แต่เห็นได้ชัดว่ามีบางคนประเมินค่าแสงสีแดงต่ำไป ไม่นานหลังจากพวกเขาก้าวเข้าไป แต่ละคนก็ปล่อยเสียงกรีดร้องแหลมหูร่างถูกไฟไหม้ ควันสีขาวลอยขึ้นให้ความรู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังถูกทอด แม้ว่าร่างกายจะไม่ถูกเผาก็จริง แต่คลื่นหลิงในร่างลดลง ชัดเจนเกิดอาการบาดเจ็บขึ้น
ความปั่นป่วนนี้ทำให้หัวใจของหลายคนสั่นสะท้าน พวกเขาระวังตัวมากขึ้น ลดความเร็วลงขณะที่พยายามเคลื่อนตัวผ่านแสงสีแดง
ขณะที่ทั้งเก้ากำลังเคลื่อนผ่านแสงสีแดงอย่างช้าๆ พวกเขาก็ต้องหันขวับไปมองที่ด้านหลัง คิ้วขมวดแน่นเข้าหากัน เมื่อสักครู่พวกเขารู้สึกถึงความผันผวนของคลื่นหลิงแปลกประหลาดแผ่ซ่านออกมา…
เหมือนจะมีใครไล่ตามมาอีกเหรอ?
ด้านนอกเจดีย์
“ดูเหมือนจงเถิง หานซันและคนอื่นๆ มาถึงช่วงสุดท้ายของชั้นแรกแล้ว ตราบใดที่พวกเขาผ่านตรงนี้ไปได้ พวกเขาก็จะก้าวเข้าสู่ชั้นสอง…”
ขณะนี้เมื่อทุกคนที่อยู่นอกเห็นจุดแสงเคลื่อนที่ช้าลงก็พูดคุยกันทั่ว แต่ไม่ได้มีความกังวลอะไร เนื่องจากคนที่เข้าไปล้วนเป็นอัจฉริยะของเผ่าซึ่งเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี ดังนั้นตราบใดที่พวกเขาระวังตัวก็น่าจะก้าวไปสู่ชั้นสองได้
“หืม?”
ขณะที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจกับจอมยุทธ์ทั้งเก้า จู่ๆ เสียงอุทานก็ดังขึ้น “มู่เฉินเพิ่มความเร็วขึ้นแล้ว!”
ทุกคนตกใจไป รีบขยับสายตาไปที่จุดแสงหลังพวกที่กำลังเดินต้วมเตี้ยที่จู่ๆ ก็เริ่มเพิ่มความเร็วขึ้น
“หึ ในที่สุดก็เคลื่อนไหวเรอะ? แต่กว่าเขาไล่ตามไปทัน คนอื่นๆ ก็เข้าสู่ชั้นสองกันนานแล้วความสำเร็จนี้ไม่ต้องหวังที่จะได้รับโอกาสใดๆ หรอก” เมื่อหลิ่วชิงเห็นภาพนี้ก็เยาะเย้ยขึ้น
แต่เมื่อนางพูดจบความปั่นป่วนก็เกิดขึ้นโดยรอบ จอมยุทธ์หลายคนมีสีหน้าเปลี่ยนไป นั่นเป็นเพราะพวกเขาเห็นจุดแสงที่อยู่รั้งท้ายเดินทางด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ เขาเร่งไปยังจุดสิ้นสุดของชั้นแรกอย่างรวดเร็ว ท่าทางราวกับว่าทนทุกข์ทรมานของชั้นแรกขัดขวางเขาไม่ได้อีกต่อไป
“เร็วจริงๆ!”
“เขาเร็วกว่าจงเถิงเมื่อสักครู่ซะอีก!”
“ด้วยความเร็วนี้เขาคงจะตามทันอีกเก้าคนในไม่ช้า!”
“เป็นไปได้ยังไง? เขาไม่กลัวการทรมานในชั้นแรกรึไงถึงเดินทางด้วยความเร็วนี้?”
เสียงอุทานไม่หยุดหย่อนดังกึกก้อง ทุกคนฉายความไม่เชื่อบนใบหน้า พวกเขาไม่อาจจินตนาการเลยว่าคนที่พวกเขาคิดว่ายอมแพ้ไปแล้วจะเกิดพลังมหาศาลในเวลานี้…
ใบหน้าของหลิ่วชิงเขียวคล้ำจากความโกลาหลที่เกิดขึ้น สายตานางจับจ้องไปที่จุดแสงที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วก่อนที่จะกัดฟัน “ต่อให้เดินทางเร็วแล้วมีประโยชน์อะไร? สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถผ่านปราการชั้นแรกไปได้หรอก!”
อีกมุมหนึ่งจิ่วโยวและมั่วหลิงก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก ในกรณีนี้มู่เฉินยังมีโอกาสที่จะแข่งขันกับคนอื่นๆ เพียงแต่พวกนางไม่รู้ว่าสหายคนนี้ทำอะไรอยู่ตอนที่เขาเคลื่อนตัวราวกับหอยทากพิการ…
ภายใต้ความสนใจของทุกคน ในที่สุดจุดแสงรั้งท้ายก็ไล่ตามมาอย่างรวดเร็วจนประชิดกับอีกเก้าจุดแล้ว…
ในปราการแสงใหญ่โตสีแดงเข้ม
จอมยุทธ์ทั้งเก้าค่อยๆ แทรกตัวอย่างระมัดระวัง ด้วยชั้นการป้องกันที่ครอบคลุมร่างขัดขวางการละลายของพลังงานที่น่ากลัวของแสงสีแดงไว้ได้
“หืม?!”
ทว่าทันใดนั้นใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน พวกเขาหันขวับกลับไปก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเงาร่างหนึ่งทะยานมาจากท้องฟ้าไกลโพ้น ในเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจก็มาปรากฏอยู่นอกปราการแสงสีแดงแล้ว
ความเร็วของร่างนี้ทำให้พวกเขาตกใจ ใครกันที่กล้าเดินทางรวดเร็วภายใต้แสงสีแดงที่น่ากลัว เขาไม่กลัวถูกเผาเป็นเถ้าถ่านเรอะ?
“นั่นคือ…” ขณะที่สายตานับไม่ถ้วนพุ่งไป ม่านตาแต่ละคู่ก็หดเกร็งลง
ภาพเงาค่อยๆ ชัดขึ้น ร่างชายหนุ่มสูงโปร่งหล่อเหลาก็ปรากฏเบื้องหน้าครรลองสายตา
“ไอ้มนุษย์บ้านั่น!”
“นั่นมู่เฉินเหรอเนี่ย?!”
ม่านตาของจงเถิงหดลง ดวงตามืดครึ้ม ขณะเดียวกันในใจก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ มู่เฉินทำอย่างไรที่ไล่ตามมาจนทันในช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากถูกสลัดออกจนรั้งท้าย? ความเร็วนี้เป็นสิ่งที่แม้เขายังด้อยกว่า!
เมื่อมั่วเฟิงเห็นภาพนี้ก็รู้สึกโล่งใจ มู่เฉินเป็นคนที่ทำให้ประหลาดใจได้เสมอ
“หึ ถึงเขาไล่ตามมาทัน แต่แสงสีแดงที่นี่มีพลังมากกว่าแสงภายนอกหลายเท่า ด้วยร่างกายมนุษย์ เขาจะถูกละลายด้วยแสงสีแดงทันทีที่ก้าวเข้ามา” บางคนเค้นเสียงเย็นชาอยู่ในใจ เห็นได้ชัดที่ไม่คิดว่ามู่เฉินจะกล้าเข้าไปในปราการแสงสีแดง เพราะแม้แต่พวกเขายังต้องใช้ทักษะการป้องกันหลายชั้นถึงได้กล้าเคลื่อนตัวเข้าไปอย่างช้าๆ ได้
ทว่าขณะที่พวกเขาเค้นเสียงเย็น มู่เฉินก็ยิ้มบางที่นอกปราการแสงสีแดง ก่อนที่จะก้าวเข้าไปในแสงสีแดงภายใต้ดวงตาที่เบิกกว้างของคนอื่นๆ
“รนหาที่ตาย! เขากล้าถึงขนาดใช้พลังกายอย่างเดียวโดยไม่ได้เร้าคลื่นหลิงอะไรออกมาป้องกันเลยเหรอ?!” เมื่อหลายคนเห็นเขาเคลื่อนไหวอย่างไรก็ต้องเบิกตาค้างเฝ้ารอให้มู่เฉินขาดใจตาย
ชี่! ชี่!
เมื่อมู่เฉินก้าวเข้าสู่ปราการแสงสีแดง อุณหภูมิที่น่ากลัวก็กัดกร่อนทันที ทำให้เขารู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ควันขาวพวยพุ่งขึ้นบนพื้นผิวร่างกาย ผิวถูกเผาไหม้และถูกทำลาย เสียงฉ่าที่ดังก้องไปทั่ว ทำให้เส้นขนทั่วสรรพางค์กายของคนมองลุกพรึ่บราวกับกำลังจะถูกแผดเผาเอง
ความเจ็บปวดที่น่าสะพรึงกลัวปกคลุมเข้ามาอีกครั้ง
ใบหน้าของมู่เฉินบิดเบี้ยวไปชั่วขณะ จากนั้นก็ยกมุมปากขึ้น แสงสีแดงที่นี่ครอบงำกว่าด้านนอกจริงๆ
ทว่าหลังจากผ่านการแผดเผาจากแสงสีแดงด้านนอก บวกกับการปรับสภาพที่มีประสิทธิภาพของกายามังกรหงส์ ความต้านทานของร่างกายเขาได้รับการเสริมความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมากหลายเท่าเลยทีเดียว
ดังนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้นยิ้มให้กับคนที่มองมาด้วยความสงสารและการเยาะเย้ย อึดใจลวดลายมังกรบนหน้าอกก็โคจร ร่างกายของเขารู้สึกเหมือนกำลังตื่นขึ้น เลือดเนื้อเต้นตุบตับเริ่มดูดซับพลังงานแสงสีแดงที่เข้ามาในร่างกาย
ร่างกายของเขาแสดงสัญญาณเสริมความแข็งแกร่งอีกครั้ง
ไอสีขาวที่กำจายออกมาจากพื้นผิวค่อยๆ จางหายไป ร่างมู่เฉินเผยขึ้นในสายตาที่จ้องมองมาอีกครั้ง…
ม่านตาของจอมยุทธ์เก้าคนหดเกร็ง
นั่นเพราะขณะนี้พื้นผิวร่างกายของมู่เฉินเปล่งแสงสีทอง ผิวหนังดูดีเหมือนปกติ ไม่เพียงแต่แสงสีแดงจะไม่สามารถทำให้ร่างกายของเขาถูกทำลาย แต่ยังสะท้อนแสงสีทองเข้มแปลกประหลาดบนพื้นผิวร่างกายของเขาด้วย
แสงสีแดงที่มีประสิทธิภาพในการละลายเหมือนจะทำอะไรมู่เฉินไม่ได้!
“เป็นไปได้ไง?!”
เสียงพึมพำไม่อยากเชื่อดังก้องในหัวใจของทุกคน
แต่ตอนนี้มู่เฉินไม่ใส่ใจความตกตะลึงในใจของพวกเขา เขากำหมัดช้าๆ มุมปากยกขึ้น เมื่อเขาเห็นทุกคนเดินต้วมเตี้ยมเหมือนเต่า
“ทุกคนข้าไปก่อนนะ”
หลังจากที่พูดจบ เขาก็กระทืบเท้าส่งแรงกลายเป็นแสงสีทองพุ่งออกไปเป็นสาย พริบตาก็สะบัดจงเถิงและคนอื่นๆ ทิ้งไว้ที่เบื้องหลัง
ทุกคนจ้องมองร่างที่ทะยานออกไป ท่าทางของพวกเขาอึ้งตะลึงไปไม่สามารถฟื้นจากความประหลาดใจเป็นเวลานาน