หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 994 ชั้นสองของเจดีย์ฝึกพลังกายโบราณ
ด้านนอกเจดีย์
ความปั่นป่วนที่ปะทุไปทั่วเงียบกริบลงทันใด ใบหน้าทุกคนฉายความตะลึงใจเข้มข้น ขณะที่พวกเขาจ้องมองไปที่หน้าจอแสงเบื้องหน้า
พูดให้ตรงจุดก็คือพวกเขากำลังจ้องมองไปที่จุดแสงหนึ่งในหน้าจอ
จุดนั้นตอนแรกอยู่ในลำดับสุดท้าย แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ เขาก็ไล่ตามมาจนทัน สุดท้ายยังแซงทั้งเก้าคนไปไกลหลายโยชน์เลยทีเดียว
“เป็นไปได้ยังไง…ปราการด่านแรกไม่สามารถขัดขวางมู่เฉินได้เลยเหรอ?” มีบางคนพูดด้วยความไม่เชื่อ พวกเขาเห็นมู่เฉินแซงหน้าทุกคนได้ในเวลาไม่กี่นาทีกับตา นอกจากนั้นตอนนี้เขายังพุ่งเข้าสู่ชั้นสองของเจดีย์ฝึกพลังกายด้วยความเร็วสูงอีกด้วย
ทุกคนมีสีหน้าน่าดูกันมาก พวกเขาหมดคำพูดกับฉากผิดปกตินี้ ได้แต่มองหน้ากันด้วยความสับสนและตะลึงงันในดวงตา
ที่ด้านหลังจิ่วโยวก็กำจายแสงแวววาวในดวงตา นางผ่อนกำปั้นที่กำแน่นลง เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกในขณะนี้
นั่นเป็นเพราะหากศักยภาพของมู่เฉินในเจดีย์ย่ำแย่มาก หลังจากเหตุการณ์นี้ผู้อาวุโสในเผ่าคงจะหาเหตุด่าว่ากระทบกระเทียบเขาในเรื่องการสูญเสียที่นั่งอันมีค่าไป แม้ว่านางจะไม่สนใจพวกเขา แต่เสียงนกเสียงกาแก่ๆ เหล่านั้นก็ยังน่ารำคาญอยู่ดี
“พี่ใหญ่มู่เฉินสุดยอดจริงๆ” มั่วหลิงอุทานด้วยความชื่นชมจากใจ ด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหก เขาถือว่าอ่อนแอที่สุดในหมู่อัจฉริยะที่เข้าสู่เจดีย์ แต่ศักยภาพของเขากลับทำให้คนเห็นต้องชื่นชม
จิ่วโยวยิ้มบาง จากนั้นก็ปรายตามองไปที่มุมหนึ่ง จอมยุทธ์เผ่ากระเรียนฟ้าทั้งหมดล้วนฉายท่าทางไม่น่าดูโดยเฉพาะหลิ่วชิง ใบหน้าของนางมีสีเขียวคล้ำกับขาวซีดสลับไปมาซ้ำยังบิดเบี้ยวอีกต่างหาก เห็นได้ชัดว่านางตกตะลึงอย่างมากกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงฉับพลันในเจดีย์
หลิ่วชิงที่รับรู้ถึงสายตาของจิ่วโยวก็หน้าเขียวยิ่งกว่าเดิม นางขบฟันแน่น “ไม่เห็นมีอะไรน่าภูมิใจสักนิด นี่ก็แค่ชั้นแรก ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะโชคดีไปอย่างนี้ตลอด!”
แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกะทันหันในเจดีย์ แต่นางก็ไม่ได้คิดว่ามู่เฉินจะทรงพลังเหนือกว่าอัจฉริยะอีกเก้าคนอย่างแน่นอน ตัวนางคิดเพียงว่ามู่เฉินโชคดีที่ใช้กลยุทธ์บางอย่างได้เท่านั้น
เมื่อจิ่วโยวได้ยินคำพูดนั่นก็ไม่ได้พูดอะไร นางไม่มีอารมณ์ที่จะเถียงกับหลิ่วชิงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงลากสายตากลับมองไปที่หน้าจอแสงด้วยรอยยิ้มบางจาง
ทว่าท่าทางไม่แยแสของนางกลับไปกระตุ้นต่อมความโกรธของหลิ่วชิง แบบนี้ไม่ได้ทำให้นางดูเป็นคนปากพล่อยรึ?
“ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะเชิดหน้าได้ถึงเมื่อไร!”
หลิ่วชิงขบฟันและไม่ใส่ใจจิ่วโยวอีกต่อไป นางเลื่อนสายตาไปที่หน้าจอ ตรึงอยู่ที่จุดแสงที่อยู่ด้านหน้าสุดพร้อมกับสายตาขุ่นเคืองที่สาปแช่งมู่เฉินอยู่ในใจ…
ทว่าน่าเสียดายคำสาปแช่งของนางไม่ได้มีผลอะไรเลย ภายใต้ดวงตาแดงก่ำที่จ้องมองของนางจุดแสงยังคงเคลื่อนออกไปด้วยความเร็วที่ล้ำหน้าคนอื่น
เมื่อมองจากลักษณะแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขากำลังจะฝ่าปราการชั้นแรกเพื่อเข้าสู่ชั้นสองของเจดีย์ฝึกพลังกาย!
ด้านนอกเจดีย์ผู้คนเบิกตากว้างขณะที่กลั้นหายใจพร้อมกับมองหน้าจอไปด้วย ภายใต้การจับจ้องหนาแน่นจุดแสงก็วับหายไปทันที
เมื่อจุดแสงหายไป ความปั่นป่วนก็ลุกฮือทั่วบริเวณอีกครั้ง แต่ไม่นานก็มีบางคนหายจากอาการตื่นตะลึงแล้วรีบยกสายตามองขึ้น จากนั้นคนที่เฝ้ามองก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึก
นั่นเป็นเพราะมีจุดแสงปรากฏบนเจดีย์ชั้นสองแล้วและมีเพียงจุดเดียวตั้งมั่นอยู่ในหน้าจอตอนนี้
เมื่อดูจากลักษณะคลื่นหลิงเห็นได้ชัดว่าเป็นมู่เฉิน!
เขาสามารถผ่านการทดสอบด่านแรกและเป็นคนแรกที่เข้าสู่ชั้นสอง!
นอกจากนี้นี่เป็นสถานการณ์กลับตาลปัตรหลังจากที่อีกฝ่ายล้าหลังไปมาก ศักยภาพของเขาทำให้จอมยุทธ์ทั้งหลายต้องอ้าปากตาค้าง นี่คงเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นสถานการณ์แบบนี้
ภายใต้หย่อมความปั่นป่วน ใบหน้าของหลิ่วชิงก็ซีดขาว นางกัดฟันจนได้ยินเสียงกรอดดังก้อง
“นี่คือชั้นสองของเจดีย์รึ**?”**
ขณะที่โลกภายนอกสั่นสะเทือนด้วยความตกใจ มู่เฉินที่ผ่านปราการสีแดงมาได้ก็กวาดมองไปที่ทั่วชั้นสองด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น
ตอนนี้เขาปรากฏตัวบนแท่นหินที่มีรัศมีห่อหุ้มเอาไว้ ซึ่งคล้ายคลึงกับในชั้นแรกอย่างไรอย่างนั้น เพียงแต่ว่านอกแท่นหินเป็นที่ราบทุนดรา พื้นดินเป็นสีฟ้า มีแสงสีฟ้าจางๆ กระจายออกมาระหว่างแผ่นฟ้าและแผ่นดิน แสงสีฟ้าราวกับมีพลังงานเย็นเยือก ขณะที่ส่องประกายแม้แต่มิติก็ถูกแช่แข็ง
นอกจากนั้นยังมีมวลลมกวาดระหว่างฟ้าดิน แรงลมหนาวสุดขั้วทรงพลังมากจนถึงจุดที่โลหะยังถูกหั่นเป็นชิ้นๆ ได้
มู่เฉินจ้องมองดินแดนแห้งแล้งด้วยสายตาเคร่งขรึม ก่อนที่จะก้าวเข้าไปเขาก็สัมผัสได้ถึงรัศมีสีฟ้าน่าสะพรึงครอบงำและแรงลมสุดขั้วที่พุ่งเข้ามารุนแรงเพียงใด
เมื่อภัยธรรมชาติทั้งสองรวมกันก็ดุร้ายยิ่งกว่าแสงสีแดงจากชั้นแรกเสียอีก
ทว่าต้องเป็นเช่นนี้ถึงได้สามารถปรับแต่งพลังกายให้ทรงพลังยิ่งขึ้น!
แววครุ่นคิดปรากฏในนัยน์ตาของมู่เฉิน จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลงบนแท่น เขาไม่ได้ก้าวฝ่าชั้นสองในทันทีเนื่องจากแสงสีแดงในชั้นแรกยังทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดบางเบาในร่างกายด้วยการพล่านของคลื่นพลังที่หลงเหลือ เขาจะต้องดูดซับให้หมดจดก่อนจึงจะสามารถเสริมสร้างพลังกายได้
มู่เฉินปิดตาลง แสงสีแดงบางจางปรากฏขึ้นใต้ผิวหนังค่อยๆ หลอมรวมเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งทำให้ร่างของเขาแข็งแกร่งและมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น
การเข้าสมาธิครั้งนี้กินเวลาสิบกว่านาที ก่อนที่หัวใจเขาจะสั่นไหว เขาลืมตามองไปในระยะไกลก็เห็นพื้นที่มิติบิดเบี้ยว จากนั้นแท่นอื่นๆ ก็ปรากฏขึ้นพร้อมร่างเงาหลายร่าง
ทว่าแม้เวลาในการปรากฏของแต่ละคนจะต่างกัน แต่ทั้งหมดดูน่าสมเพชเหมือนกันหมดเลย พวกเขามีควันขาวลอยขึ้นจากร่างกาย เนื้อตัวฉีกขาดยับเยิน เห็นได้ชัดว่าต่างได้รับความเดือดร้อนอย่างมากจากปราการแสงสีแดง
ดังนั้นเมื่อพวกเขาปรากฏตัวก็ไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งอื่นใด รีบนั่งแปะลงไปฟื้นฟูอาการบาดเจ็บและความเหนื่อยล้าในร่างกายทั้งหมดให้อยู่ในสภาพเดิม ถึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก
เมื่อพวกเขาฟื้นฟูเสร็จก็กวาดมองดินแดนเย็นเยือกนี้ ครั้นเห็นมู่เฉินซึ่งอยู่ห่างออกไป ทุกคนก็กำจายริ้วอารมณ์ที่แตกต่างกันไปในสายตา บางคนอยากรู้อยากเห็น บางคนขึงขังและบางคนจิตสังหารแผ่ซ่านออกมาคลุมเครือ
เห็นได้ชัดว่าการพลิกสถานการณ์กลับอย่างฉับพลันของมู่เฉินก่อนหน้ายังทำให้พวกเขารู้สึกสับสน พวกเขาไม่เข้าใจว่ามู่เฉินสามารถเคลื่อนตัวไปมาขณะที่อยู่ในปราการแสงสีแดงได้อย่างไร ท่าทางราวกับว่าชั้นแรกไม่สามารถขัดขวางอะไรเขาได้มาก
แต่ทุกคนที่เข้ามาที่นี่ได้ล้วนเป็นอัจฉริยะ ดังนั้นจึงมีความคิดที่ลึกซึ้ง พวกเขาเก็บข้อสงสัยในใจลง ก่อนที่จะมองชั้นสองด้วยสายตาไม่แยแส
ดวงตาของมู่เฉินยังคงปิดอยู่ตลอดเวลาโดยไม่สนใจใครเลย เนื่องจากเขาคิดอยู่แล้วว่าแค่บรรลุขั้นสองของคัมภีร์หลงเฟิ่งได้ ตนเองก็พอใจมากแล้ว สำหรับวิทยายุทธระดับเสินทงและอาวุธเสมือนมหสวรรค์ เขาก็ปล่อยไปตามโชคชะตา
จอมยุทธ์ที่เข้ามาในดินแดนเสินโซ่เป็นอัจฉริยะเผ่าต่างๆ ของโลกสัตว์อสูร ตอนนี้แม้จะมีเพียงส่วนน้อยที่เข้ามาที่นี่ พวกเขาก็ล้วนเป็นคนที่น่าเกรงขาม แม้ว่าเขาจะไม่กลัวพวกเขาด้วยค่ายกลระดับเทียนที่มี แต่เขาก็เข้าใจว่าแค่ค่ายกลอย่างเดียวคงไม่สามารถให้เขาช่วยเหลือจิ่วโยวให้ได้รับเลือดศักดิ์สิทธิ์วิหคอมตะได้ ดังนั้นเขาจะต้องฝ่าฟันเพื่อบรรลุขั้นสองของคัมภีร์หลงเฟิ่งให้ได้
ในเวลานั้นเขาจะสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดได้ด้วยพลังกายเพียงอย่างเดียว ความแข็งแกร่งของร่างกายเขาจะทรงพลังกว่าเทพอสูรในระดับเดียวกันเลยทีเดียว
เมื่อความคิดวนเวียนอยู่ในใจของมู่เฉิน คนอื่นๆ ก็เคลื่อนตัวออกไปอีกครั้ง ทุกคนกำมือ แสงหลิงก็เปล่งประกายในมือกลายเป็นวัตถุต่างๆ เห็นได้ชัดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นวัตถุที่มีประโยชน์พิเศษ
สายตาของจงเถิงเย็นชาลงหลายส่วนขณะที่จ้องมองมู่เฉินจากระยะไกล ก่อนที่เขาจะสะบัดนิ้ว หม้อกลั่นในมือก็ปะทุขึ้น เปลวไฟสีเขียวลุกโชนห่อหุ้มร่างเขาเอาไว้
นี่คือเพลิงปกปัก ซึ่งเป็นเปลวเพลิงแปลกประหลาดที่สามารถปิดกั้นลมทุกประเภทไว้ได้ สามารถใช้จัดการกับพายุที่นี่ได้ตรงจุดเลยทีเดียว
“ข้าจะดูสิว่าเจ้าสามารถตามได้ทันอีกไหม” จงเถิงเค้นเสียงใส่จากนั้นก็ไม่ลังเลพุ่งตัวออกจากม่านแสงภายใต้การป้องกันของหม้อกลั่นก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว
อึดใจคนอื่นๆ ก็ตามกันออกไปด้วยพลังทั้งหมดที่มี
มั่วเฟิงเป็นคนสุดท้ายที่ออกไปอีกครั้ง เขาจ้องมองมู่เฉินด้วยสายตาแปลกประหลาด แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ประกายไฟแล่นเปรียะไปทั่วสรรพางค์กาย ร่างถูกห่อหุ้มไว้ จากนั้นก็เร่งความเร็วทะยานออกไป
มู่เฉินลืมตาขึ้นหลังจากทุกคนออกไปหมดแล้ว เขามองไปที่แท่นทั้งเก้าด้วยรอยยิ้มไม่เชิงยิ้มฉายในดวงตา แม้คนเหล่านี้จะมีสมบัติมากมาย แต่หูตากลับถูกบังจากวิทยายุทธระดับเสินทง ในมุมมองของเขาสมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเจดีย์ฝึกพลังกายไม่ใช่สิ่งเหล่านั้น แต่เป็นผลจากชำระที่มีต่อร่างกาย
แน่นอนว่ามู่เฉินก็เข้าใจว่าแสงสีแดงร้อนแรงและแสงสีฟ้าเยือกเย็นทรมานสำหรับการฝึกฝนพลังกายเพียงใด นอกจากนี้ไม่ใช่ทุกคนมีทักษะฝึกพลังกายที่ลึกลับเหมือนกับคัมภีร์หลงเฟิ่ง ดังนั้นก็ยากที่พวกเขาจะเป็นเหมือนที่มู่เฉินปรับตัวเข้ากับการทนทรมานที่น่ากลัวในภูมิภาคต่างๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ
“พวกเจ้าไปตามโอกาสของพวกเจ้า… ข้าก็ไปตามโชคชะตาของข้า…”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเองจากนั้นก็ยิ้มบาง เหยียดตัวโบกมือก่อนที่จะก้าวออกจากม่านแสงย่างกรายไปยังที่ราบทุนดรานี้
ชั้นสองของเจดีย์ฝึกพลังกายน่าจะสามารถช่วยเสริมสร้างร่างกายของเขาอีกครั้ง
ตอนนี้เขาอยู่ไม่ไกลจากขั้นสองของคัมภีร์หลงเฟิ่งแล้ว