ในที่สุดการซ้อมใหญ่สำหรับการแสดงประจำฤดูกาลก็ได้เริ่มต้นขึ้น ไม่รู้ตัวเลยนะเนี่ยว่าวันแสดงจริงจะมาถึงในอีกสองวันข้างหน้านี้แล้ว บนเพดานสูงมีดวงไฟมากมายถูกแขวนเอาไว้ จนกลายเป็นแสงแสบตาที่สาดลงมาเหมือนฝน 

 

 

บนเวทีกำลังซ้อมการแสดงหลักของนักเรียนชั้นปีที่ 3 ในเรื่อง Sleeping Beauty กันอย่างตั้งอกตั้งใจ ท่ามกลางเสียงดนตรีที่ดังขึ้นมาอย่างสงบ พวกเรากำลังรอให้ถึงคิวซ้อมอยู่ ฉันสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่เพื่อเอาชนะความประหม่าที่จู่โจมเข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

 

 

การซ้อมจะแบ่งเป็นซ้อมใหญ่ที่ไม่ได้แต่งตัวเต็มรูปแบบกับแบบซ้อมใหญ่จัดเต็มรูปแบบ รวมเป็นสองครั้ง โดยที่วันนี้จะเป็นการซ้อมแบบเต็มรูปแบบ และเพื่อให้สมกับเป็นงานแสดงประจำฤดู ก็จะไม่มีอาจารย์มาคอยกำกับดูแล เป็นเพียงแค่การรวมพลังกันของเหล่าเด็กนักเรียน โดยมีหัวหน้าของแต่ละทีมเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมดเท่านั้น 

 

 

ระหว่างห้องประชุมกับห้องซ้อม มีหลากหลายทีมมารวมตัวกันวุ่นวายไปหมด ฉันมองเห็นภาพด้านหลังของเซจินที่ดูกังวลกำลังตรวจเช็คการเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ขณะจับบาร์อยู่ในที่ๆ ห่างไกลออกไป 

 

 

“เหม่ออีกแล้วนะ” 

 

 

ฉันตกใจกับเสียงที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นมาพร้อมกับมือที่มาจับอยู่ตรงไหล่ของฉัน เมื่อหันหน้าไปจึงได้พบกับใบหน้าของรุ่นพี่ฮยอนจุนที่แดงระเรื่อเล็กน้อย ฉันรีบโค้งตัวให้ทันที 

 

 

“ใกล้จะถึงตาพวกเราแล้วนะ” 

 

 

รุ่นพี่ฮยอนจุนยิ้มขณะเอานิ้วมือมาเคาะที่หน้าผากของฉัน พร้อมกับพูดขึ้น ใบหน้าของรุ่นพี่ที่กำลังมัดหน้าม้าที่ชี้โด่เด่ด้วยยางรัดผมไว้แน่นนั้น ดูไม่ได้รู้สึกถึงความกังวลใดๆ เลย ก็รุ่นพี่ฮยอนจุนน่ะมักจะแสดงออกอย่างสุขุมแล้วก็กล้าหาญเสมอนี่นะ นี่ฉันมีพาร์ทเนอร์เป็นถึงพี่ฮยอนจุนงั้นเหรอเนี่ย รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูกเลยแฮะ 

 

 

“อ่า ปาเดอทัวเริ่มแล้ว” 

 

 

มือของรุ่นพี่ที่ชี้ไปทางเวทีทำให้ฉันหันขวับไปมอง ตาของฉันมองไปตามการเคลื่อนไหวที่เข้ากับเสียงเพลงได้อย่างนุ่มนวลของรุ่นพี่อีกง และได้แต่มองเหม่ออย่างคนไร้สติ พร้อมกับอุทานออกมาเองโดยไม่สามารถเก็บซ่อนเอาไว้ได้ 

 

 

ร่างกายของรุ่นพี่อีกงที่กระโดดอยู่กลางอากาศอย่างมีพลังนั้นกำลังส่องเป็นประกายเมื่อกระทบกับไฟเวที เวลาที่ได้มองดูการเต้นของรุ่นพี่แบบนี้แล้ว มันให้ความรู้สึกแปลกใหม่จริงๆ การเต้นของรุ่นพี่ช่างสง่างามจนรู้สึกแสบตาขึ้นมาเลยล่ะ 

 

 

“เหมือนใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้คนเดียวเลยเนอะ รุ่นพี่อีกงเนี่ย อย่างกับอยู่คนละโลกเลยแฮะ” 

 

 

ฉันยักไหล่ให้กับคำพูดของรุ่นพี่ฮยอนจุนที่จู่ๆ ก็บ่นพึมพำขึ้นมาเหมือนพูดคนเดียว ดนตรีกำลังค่อยๆ ไหลไปยังท่อนสุดท้าย คอนราด เมโดรา และอัลลีมารวมกันที่จุดเดียว และท้ายที่สุดในตอนที่ดนตรีจบลง เสียงปรบมือของเหล่านักเรียนในหอประชุมก็ดังกระหึ่มไปทั่ว 

 

 

“เอาล่ะ ทีนี้ถึงตาพวกเราแล้ว” 

 

 

รุ่นพี่ฮยอนจุนที่ยืนอยู่ข้างๆ ยื่นมือมาให้ฉัน ฉันหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะจับมือของรุ่นพี่ฮยอนจุนอย่างระมัดระวัง แล้วจึงเริ่มก้าวเดินออกไปยังเวที  

 

 

พอมายืนอยู่ใต้แสงไฟอันแสบตา ความรู้สึกประหม่าก็ก่อตัวขึ้นเป็นก้อนใหญ่จนรู้สึกว่าต้นขาเกร็งไปหมด รุ่นพี่ฮยอนจุนคงจะสังเกตเห็นเข้า เขาจึงตบเบาๆ ที่ไหล่ฉัน พลางกระซิบบอกว่า ไม่เป็นไรๆ 

 

 

ฉันสัมผัสได้ถึงสายตานับร้อยที่จู่ๆ ก็จ้องมายังเวที และในบรรดาสายตาเหล่านั้น แน่นอนว่าจะต้องมีสายตาของรุ่นพี่อีกงรวมอยู่ด้วยแน่ๆ ระหว่างที่ฉันรอให้เพลงเริ่มเล่นอีกครั้ง ฉันก็หลับตาทั้งสองข้าง 

 

 

ฉันรู้สึกอย่างกับว่าการไหลเวียนของอากาศทั้งหมดที่ล่องลอยไปมาถูกหยุดนิ่ง แสงไฟจำนวนมากที่ทำให้รู้สึกได้ถึงความร้อน สายตาของผู้คนที่โอบล้อมทั่วร่างกาย และภายใต้ความกังวลที่ทำให้ลมหายใจติดขัด ฉันตั้งสมาธิเพื่อโฟกัสไปที่สายตาของรุ่นพี่อย่างใจเย็น 

 

 

ในไม่ช้า ดนตรีก็เริ่มขึ้น ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วในตอนนั้นเองที่ภาพของรุ่นพี่อีกงโผล่เข้ามาในพริบตาท่ามกลางผู้คนมากมายที่ยืนรวมกันอยู่ข้างล่างเวทีราวกับเป็นเรื่องโกหก 

 

 

อ้า รุ่นพี่กำลังฉีกยิ้มกว้างแล้วมองมาที่ฉัน รอยยิ้มนั้นที่เหมือนกับจะให้กำลังใจฉันว่า เธอทำได้แน่นอน มันทำให้ฉันมีความมั่นใจขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว 

 

 

รุ่นพี่ฮยอนจุนเดินมาอยู่ข้างๆ ฉัน แล้วเอามือโอบเอวของฉันไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ฉันค่อยๆ ขยับแขน พลางนึกถึงปาเดอเดอที่ฝึกซ้อมร่วมกับรุ่นพี่อีกงเมื่อไม่กี่วันก่อน  

 

 

ฉันยืนขวางหน้ารังเดมเอาไว้ พลางหันหลังกลับ เหมือนจะเอื้อมถึงแต่ก็เอื้อมไม่ถึง ฉันแสดงท่าทางปฏิเสธก่อนจะหันหลังให้ แต่ก็ยังคงถูกแขนของรังเดมพัวพันเอาไว้ นั่นจึงทำให้พวกเราหันมาสบตากันอีกครั้ง 

 

 

พอนึกถึงกัลแนร์ที่รุ่นพี่ชมว่าสวยในวันนั้นขึ้นมาแล้ว ยิ่งเวลาผ่านไป ฉันก็เริ่มรู้สึกว่าร่างกายเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น 

 

 

ความรู้สึกกังวลหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ฉันหมุนตัวอยู่ในอุ้งมือของรุ่นพี่ฮยอนจุน พลางชำเลืองมองรุ่นพี่อีกงบ้างเป็นครั้งคราว รู้สึกอย่างกับว่าสายตาของรุ่นพี่กำลังยิงลำแสงผ่าทะลุตัวของฉัน 

 

 

เมื่อดนตรีช้าๆ จบลง และฉันกับรุ่นพี่ต่างก็แสดงพาร์ทโซโล่ของตัวเองจนเสร็จ ฉันถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองกำลังหายใจอย่างเหนื่อยหอบอยู่ การหมุนตัวติดกันในท่อนสุดท้ายที่ต่อเนื่องโดยไม่หยุดพัก ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าข้อเท้ากำลังจะหมดแรงจนต้องล้มพับลงไปซะเดี๋ยวนั้น ความรู้สึกที่เหมือนถูกบีบรัดจนกล้ามเนื้อขาจะขาดออกจากกันถูกส่งผ่านขึ้นมา 

 

 

เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่อาจารย์ที่อคาเดมีพูดว่า สิ่งที่เรียกว่าบัลเลต์น่ะ คือศิลปะที่จะต้องเอาชนะขีดจำกัดของตัวเอง และความเจ็บปวดขั้นสุดไปให้ได้จนจบ ในตอนที่ดนตรีจบลง และร่างกายของฉันหยุดเคลื่อนไหว มันคือตอนที่ฉันได้รู้ซึ้งถึงคำพูดนั้น และฉันก็รู้สึกถึงความรู้สึกปลาบปลื้มและความยินดีที่สามารถเอาชนะเรื่องทั้งหมดนั้นมาได้อย่างถ่องแท้เลยล่ะ 

 

 

“ทำดีมาก” 

 

 

พอดนตรีหยุดลง เสียงของรุ่นพี่อีกงก็ดังขึ้นมาอย่างชัดเจนท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังสนั่นไปทั่วทั้งหอประชุม ฉันหายใจอย่างเหนื่อยหอบพลางมองไปที่รุ่นพี่อีกง รุ่นพี่ที่กำลังยืนพิงกำแพงและกำลังปรบมือ พลางหันมาส่งยิ้มให้กับฉัน 

 

 

“ฟอร์มดีเชียวนะ” 

 

 

รุ่นพี่ฮยอนจุนที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อพูดพลางโอบไหล่ฉันอย่างหยอกล้อ ฉันหัวเราะ แหะๆ พลางยักไหล่ 

 

 

“ก็เพราะรุ่นพี่นั่นแหละค่ะ แหม” 

 

 

“โอ๊ย พูดจาน่าฟังจริงเชียว คุณรุ่นน้อง” 

 

 

รุ่นพี่ยิ้มสั้นๆ ก่อนจะขยี้ผมฉันเบาๆ พอฉันลงจากเวทีมาด้วยหัวใจที่พองโตเพราะการซ้อมครั้งแรกจบลงไปด้วยดี รุ่นพี่อีกงที่เข้ามาอยู่ใกล้ๆ ฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ก็กำลังกวักมือเรียกฉัน ฉันรีบวิ่งไปหารุ่นพี่อย่างรวดเร็ว ก่อนจะจับหมับเข้าที่มือของรุ่นพี่ แล้วตะโกนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น 

 

 

“รุ่นพี่คะ ฉันเต้นโอเคไหมคะ” 

 

 

“ก็… พอใช้ได้ล่ะนะ” 

 

 

รุ่นพี่หัวเราะคิกคัก แล้วจึงตบลงเบาๆ ที่แก้มของฉัน อ้า แค่การกระทำเล็กๆ น้อยๆ นี่ก็ทำให้หัวใจของฉันพองโตขึ้นมาไม่หยุดแล้ว ฉันไม่ซ่อยรอยยิ้มที่พลอยแต่จะเผลอยิ้มออกมาได้ เลยได้แต่ยิ้มอยู่อย่างนั้น แต่แล้วเสียงพูดเล่นลอยๆ ของรุ่นพี่ฮยอนจุนที่ยืนอยู่ข้างหลังก็ดังขึ้นมา 

 

 

“โอ๊ยยย ขนลุก” 

 

 

ฉันที่ทำตัวไม่ถูกจึงรีบปล่อยมือของรุ่นพี่อีกง แล้วเอาแขนปิดบังใบหน้าที่แดงขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ แต่ใบหน้าของรุ่นพี่ฮยอนจุนที่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์นั่น ดูจะมีนัยยะแอบแฝงอยู่ 

 

 

“ถ้าตั้งใจจะปิดบังเอาไว้ ก็ช่วยอย่ามีพิรุธทีเถอะครับ รุ่นพี่อีกง ทั้งฮวีกยอม ทั้งคู่เลยทำไมถึงได้เขียนคำว่ากำลังคบกันอยู่แปะเอาไว้ซะเต็มหน้าผากแบบนั้นล่ะครับ” 

 

 

คำพูดหยอกล้อของรุ่นพี่ฮยอนจุนทำให้ฉันสะดุ้งโหยงจนต้องรีบโบกมือปฏิเสธ 

 

 

“มะ มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ!” 

 

 

“ดูมีพิรุธขนาดนั้นเลยเหรอ” 

 

 

ทั้งที่ฉันปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่แท้ๆ แต่จู่ๆ รุ่นพี่อีกงกลับพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ พร้อมกับโอบเอวฉันเอาไว้จากด้านหลัง  

 

 

วินาทีนั้น สายตาของเหล่านักเรียนภายในหอประชุมต่างจับจ้องมาที่พวกเราจนฉันรู้สึกได้ ฉันที่ตกใจจึงจ้องไปที่รุ่นพี่อีกงด้วยใบหน้าที่น่าจะกลายเป็นสีขาวซีดไปแล้ว 

 

 

“ครับ โคตร โคตรเลยครับ” 

 

 

รุ่นพี่ฮยอนจุนที่พูดเน้นคำว่า ‘โคตร’ อย่างหนักแน่น ยักไหล่เหมือนจะบอกว่า หยุดไม่ได้แล้วล่ะนะ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องพักอย่างเงียบๆ  

 

 

ในชั่วพริบตา หอประชุมที่เคยเงียบงันก็เริ่มมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวเล็กๆ ดังขึ้น ฉันเสียวสันหลังวาบขึ้นมาจนต้องมองค้อนรุ่นพี่อีกง 

 

 

“รุ่นพี่…” 

 

 

“ทำไมล่ะ” 

 

 

รุ่นพี่อีกงตีหน้าตาย พลางเอียงคอแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ฉันรู้สึกชังรุ่นพี่มากจนถึงกับต้องเบ้ปาก ต่อจากนั้นรุ่นพี่จึงหัวเราะหึๆ ออกมาพลางหยิกแก้มฉัน 

 

 

“ไหนๆ ก็ถูกจับได้แล้ว ก็ใช้โอกาสนี้ประกาศให้ทั้งโรงเรียนรู้เลยดีไหม” 

 

 

เสียงหัวเราะคิกคักของรุ่นพี่ทำให้ฉันทำหน้าบึ้งตึงออกมา รู้สึกอย่างกับว่าฉันตกหลุมพรางของรุ่นพี่อีกแล้วเลยแฮะ  

 

 

ฉันที่ถูกมือของรุ่นพี่ผลักหลัง พลางบอกให้รีบเข้าไป จึงเดินมุ่งหน้าไปยังห้องพัก แต่ด้วยความรู้สึกแปลกพิลึกทำให้ฉันหันหน้ากลับไปมองที่อีกฝั่งของเวที 

 

 

รุ่นพี่โซยอนจริงๆ ด้วย รุ่นพี่โซยอนที่ยืนกอดอก แล้วจ้องเขม็งมาที่ฉันด้วยแววตาเยือกเย็นรีบหันขวับ แล้วเดินออกไปจากหอประชุมอย่างรวดเร็ว เฮ้อ ฉันถอนหายใจออกมาอย่างหนักอึ้ง รู้สึกอย่างกับว่าไปกดถูกสวิตช์เริ่มทำงานของระเบิดเวลาอย่างไรไม่รู้สิ 

 

 

“เอ่อ ดูเหมือนการแสดงของปีหนึ่งจะเริ่มแล้วนะ” 

 

 

คำพูดของรุ่นพี่ทำให้ฉันหันไปมองทางเวที เซจินและซูฮยอนกำลังปรับลมหายใจให้เข้ากับดนตรีของ Romeo & Juliet เซจินในชุดลีโอตาร์ดสีดำที่มีเสื้อยืดสีขาวทับอยู่นั้นเดินออกมาด้วยใบหน้านิ่งเฉย ต่างจากตอนที่อยู่ในห้องพักราวกับว่าไม่มีคำว่าประหม่าอยู่ในพจนานุกรมของเธอเลย 

 

 

“…สุดยอด” 

 

 

ฉันมองเหม่อไปที่ทั้งคู่แล้วพึมพำออกมาเบาๆ บรรยากาศรอบตัวของทั้งสองคนที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ นั่นยิ่งทำให้การแสดงอารมณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของโรมิโอกับจูเลียตดูเด่นชัดยิ่งขึ้น ดูแล้วอย่างกับคู่รักที่เหมือนจะเกิดมาเพื่อรักกันจริงๆ พอเผลอคิดขึ้นมาแบบนั้น จู่ๆ ใบหน้าของฉันก็ร้อนผ่าวขึ้นมา 

 

 

“ฮวีกยอม รีบมาเร็ว” 

 

 

ฉันละสายตาจากเวที แล้วรีบวิ่งไปหารุ่นพี่ แต่แล้ว ณ วินาทีนั้น เสียงหวีดร้องแหลมๆ อันน่าขนลุกก็ดังลั่นหอประชุม 

 

 

“กรี๊ดดดด!” 

 

 

ยังไม่ทันที่ฉันจะหันไปดูด้วยความตกใจ ตู้ม เสียงที่ดังสนั่นและน่ากลัวซึ่งดังขึ้นมาก่อนเสียงกรีดร้องก็ดังกระหึ่มอยู่รอบๆ หูของฉัน ไม่สิ มันเป็นเสียงกระแทกที่รุนแรงเกินกว่าจะเทียบกับเสียงดังว่าตู้มได้ซะอีก ขณะเดียวกันทั่วทั้งหอประชุมก็เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้อง วินาทีที่ฉันมองจ้องไปบนเวทีนั้น ทั่วทั้งร่างกายมันแข็งทื่อเหมือนเป็นอัมพาต 

 

 

“ระ เรียกอาจารย์สิ! เร็วเข้า!” 

 

 

“ทำยังไงดี!” 

 

 

ชั่วพริบตานั้นฉันเห็นภาพด้านหลังของเหล่านักเรียนวิ่งผ่านด้านข้างของฉันขึ้นไปยังเวที ขาของฉันสั่นเทาจนไม่สามารถทรงตัวได้ จึงทรุดฮวบลงกับพื้นไปทั้งอย่างนั้น  

 

 

เหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าของฉันดูไม่เหมือนเรื่องจริงเลยสักนิด เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทาง ภายในหัวของฉันมีแต่คำเหล่านี้วนเวียนอยู่ซ้ำไปมา 

 

 

“ฮวีกยอม!” 

 

 

เสียงที่ฟังดูรีบร้อนของรุ่นพี่อีกงที่เรียกชื่อฉัน อย่างกับเสียงไซเรนที่ดังมาจากที่ไกลมากๆ แต่ว่าฉันกลับไม่สามารถขยับไปจากตรงนั้นได้เลยสักนิด  

 

 

ข้างบนเวทีตรงที่เซจินกับซูฮยอนยืนอยู่ ดวงไฟยักษ์ที่แขวนอยู่บนเพดานร่วงหล่นลงมาและพังไม่มีชิ้นดี 

 

 

ฉันเห็นอีเซอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ขึ้นไปมุงกันอยู่บนเวที พอเห็นใบหน้าที่ซีดเผือดของอีเซแล้ว มันทำให้ฉันมีลางสังหรณ์ว่าจะต้องเกิดเรื่องอะไรผิดปกติแน่ๆ ฉันพยายามที่จะหยุดขาที่กำลังสั่นไหวเพื่อรีบเดินไปยังเวที แต่ร่างกายกลับไม่ขยับไปตามที่ใจนึก 

 

 

ในตอนนั้นเอง ที่ฉันพยายามอย่างสุดกำลัง และออกมาจากที่ตรงนั้น ชั่วพริบตาเดียว ก็มีใครบางคนดึงตัวฉันเข้าไปกอด อ้า อุ่นจัง ถึงจะไม่หันกลับไปดูก็รู้ว่าคือใคร ได้ยินเสียงหายใจเบาๆ ของรุ่นพี่ รุ่นพี่กอดร่างกายของฉันที่สั่นจนไม่อาจควบคุมได้เอาไว้แน่น พลางกระซิบบอกอะไรสักอย่างที่ข้างหูไม่หยุด 

 

 

“ระ รุ่นพี่คะ…” 

 

 

ฉันระเบิดลมหายใจที่แน่นขนัดอยู่ออกมา พร้อมกับเรียกรุ่นพี่ 

 

 

“ไม่เป็นไรนะ ฮวีกยอม ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” 

 

 

“เซ เซจิน เขา… รุ่นพี่ เซจินเป็นไง…” 

 

 

ฉันเหมือนอยู่ในสภาพร่างไร้วิญญาณที่ไม่รู้แม้แต่วิธีออกเสียง ได้แต่จับไหล่ของรุ่นพี่ไว้แน่น แล้วพยายามเค้นเสียงเรียกชื่อเซจินออกมา 

 

 

“สำหรับพี่ ตอนนี้ทางนี้สำคัญกว่า หายใจเข้าลึกๆ ก่อนนะ ขอร้องล่ะ” 

 

 

รุ่นพี่ทำหน้าจะเป็นจะตายขณะที่จ้องมองมาทางฉัน แม้แต่น้ำตาก็ยังไม่ไหลออกมา ข้างในหัวของฉันมันขาวโพลนไปหมด เสียงเท้าที่ดังอื้ออึง และเสียงกรีดร้องตะโกนของคนอื่นๆ กลายเป็นเสียงวิ้งๆ เหมือนกับหูแว่วไปเอง 

 

 

“อีเซ! อย่าเคลื่อนไหวตามอำเภอใจนะ ให้อ้าปากค้างเอาไว้ แล้วรอจนกว่าอาจารย์จะมา!” 

 

 

ฉันได้ยินเสียงรุ่นพี่อีกงตะโกนไปทางเวที ในตอนนั้นเองที่ฉันได้สติกลับมา ฉันผลักรุ่นพี่ออกด้วยมือที่สั่นเทา ก่อนจะเดินขึ้นเวทีไปด้วยสภาพแทบคลานไปกับพื้น รุ่นพี่จับไหล่ของฉัน ถึงจะรู้สึกได้ว่าถูกรั้งเอาไว้ แต่ฉันก็คิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น 

 

 

“ทุกคนหลบไป!” 

 

 

ในตอนนั้นเองที่เหล่าอาจารย์ผู้ชายวิ่งฝ่าผู้คนที่มุงดูกันอยู่ขึ้นมาบนเวที ทันทีที่ฝูงชนกระจายตัวออก ฉันก็เห็นใครบางคนนอนอยู่ตรงกลาง วินาทีนั้น ลมหายใจของฉันเหมือนกับถูกกระชากไป  

 

 

รุ่นพี่อีกงที่โอบไหล่ของฉันซึ่งทรุดฮวบลงไปกับพื้นอีกครั้ง พยายามลูบหลังฉันไปเรื่อยๆ พลางปลอบใจฉัน 

 

 

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” 

 

 

“ดูเหมือนจะกระแทกหัวครับ! ไม่มีเลือดออกแต่ว่า…” 

 

 

เสียงของอีเซดังขึ้น ไม่จริงน่า หรือว่า… ฉันจับแขนของรุ่นพี่เอาไว้แน่น พร้อมกับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก  

 

 

ต่อมาอาจารย์คนหนึ่งก็อุ้มคนที่ล้มอยู่กับพื้นขึ้นมา แขนที่ห้อยตกลงมา ฝ่ามือใหญ่ๆ และใบหน้าหมดจดที่กลายเป็นสีขาวซีด เฮือก ฉันถึงกับกลั้นหายใจ 

 

 

“ชเวซูฮยอน!” 

 

 

เสียงกรีดร้องดังแหวกช่องว่างของกลุ่มนักเรียนออกมา เสียงของเซจินนั่นเอง ใบหน้าของเซจินที่อยู่ในอ้อมกอดของอีเซนั้น ซีดเผือดจนกลายเป็นสีขาว เธอจับแขนของซูฮยอนที่ห้อยลงมาด้วยมือที่สั่นเทา แล้วเธอก็เริ่มสะอื้นหนักขึ้น 

 

 

“ตะ ตั้งสติไว้สิ! ชเวซูฮยอน! นี่!” 

 

 

“คิมเซจิน!” 

 

 

อีเซที่ดูตกใจ รีบตะโกนเรียกชื่อเซจินพลางขวางเธอเอาไว้ ส่วนฉันได้แต่ยืนมองเหม่อดูเหตุการณ์อยู่อย่างนั้น และไม่อาจยอมรับสถานการณ์นี้ได้เลยสักนิด ตกลงนี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย 

 

 

“เธอเป็นอะไรหรือเปล่า เซจิน” 

 

 

“หนู หนูไม่เป็นไร หนูไม่เป็นอะไรทั้งนั้นค่ะ ชเว เชวซูฮยอน…” 

 

 

พอเซจินตอบคำถามอาจารย์อย่างรีบร้อนจบและไม่ได้พูดอะไรต่อ อีเซก็กัดริมฝีปากล่างไว้แน่น พลางกอดเซจินที่กำลังตัวสั่นเอาไว้  

 

 

พอหน่วยกู้ชีพ 119 ที่มาถึงเมื่อไหร่ไม่รู้รีบวิ่งเข้ามาในหอประชุม ในตอนนั้นฉันตั้งใจว่าจะตามชเวซูฮยอนที่ถูกเปลหามออกข้างนอกไปด้วย แต่เท้าของฉันกลับไม่ขยับไปไหนเลยสักนิด 

 

 

“ทะ ทำไงดี อีเซ… ชเว ชเวซูฮยอนจะเป็นยังไงบ้าง เขาบาดเจ็บมากไหม” 

 

 

“ไม่เป็นไร แค่หมดสติไปเท่านั้นแหละ” 

 

 

“ละ แล้วถ้าเขาไม่ฟื้นขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ เพราะฉัน เป็นเพราะฉันแท้ๆ…” 

 

 

“ใจเย็นๆ หน่อยสิ!” 

 

 

อีเซตะโกนเสียงดังขึ้นมา พลางเขย่าไหล่ของเซจิน แต่เซจินกลับเอาแต่เหม่อมองออกไปยังทิศทางที่ซูฮยอนถูกหามออกไปด้วยสีหน้าราวกับคนไร้วิญญาณ 

 

 

“พะ พาฉันไปหน่อยสิ นะ ถ้าหมอนั่นเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ… ถ้าเขาไม่ฟื้นขึ้นมาจะทำยังไงเล่า!” 

 

 

สภาพของเซจินที่ตะเบ็งเสียงออกมาพร้อมกับตัวที่กำลังสั่นเทา ทำให้ฉันรู้สึกกลัวขึ้นมา อีเซที่ทนดูไม่ได้จึงพยุงเซจินขึ้น แล้วพาเธอเดินออกไปข้างนอก  

 

 

บนเวทีที่ว่างเปล่ามีเพียงแค่ชิ้นส่วนของดวงไฟที่แตกเป็นเสี่ยงๆ กระจัดกระจายอยู่ พอเซจินเดินออกไปแล้ว ภายในหอประชุมจึงเหลือเพียงแต่ความเงียบงันอันน่าขนลุก 

 

 

“ทุกคนกลับไปที่ห้องเรียนกันก่อน เร็วเข้า!” 

 

 

เสียงตะโกนของรุ่นพี่อีกงทำให้ผู้คนที่อยู่ภายในหอประชุมค่อยๆ ออกจากหอประชุมไปด้วยใบหน้าเศร้าหมองเจือเสียงสะอึกสะอื้น 

 

 

รุ่นพี่อุ้มฉันไปยังห้องพยาบาล แม้แต่ในตอนที่เขาวางฉันลงบนเตียง ฉันก็ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำใดๆ ออกไป แม้แต่ฝ่ามือของรุ่นพี่ที่ลูบลงบนใบหน้าของฉันที่กำลังตัวสั่นไม่หยุด ฉันก็ยังสัมผัสถึงมันได้แค่เพียงเลือนราง 

 

 

เสียงกระแทกอันหนักอึ้ง เสียงกรีดร้องแหลมๆ และซูฮยอนที่ล้มลงไป ทั้งหมดนั่นผสมปนเปกันเป็นภาพลวงตา แล้ววนเวียนอยู่ภายในหัววุ่นวายไปหมด ในตอนนั้นฉันถึงได้ปล่อยโฮออกมา จิตใจไม่อาจสงบลงได้แม้แต่นิดเดียว รุ่นพี่คอยเช็ดน้ำตาของฉันที่ไหลลงมาเรื่อยๆ พลางตบไหล่ของฉันเบาๆ ด้วยใบหน้าเศร้าหมอง 

 

 

 

 

 

* * *