“เขาบอกว่าแค่สมองได้รับการกระทบกระเทือนนิดหน่อยน่ะ ไม่มีเลือดออกทั้งภายในและภายนอก เพราะงั้นก็น่าจะหายดีเร็วๆ นี้” 

 

 

ถึงแม้ว่ารุ่นพี่อีกงจะบอกแบบนั้น ฉันและเซจินก็ยังทำได้แค่ก้มหน้านิ่ง ไม่พูดอะไร แม้ว่าเขาจะบอกว่าจะหายดีเร็วๆ นี้ แต่รุ่นพี่อีกงเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าถึงสมองจะได้รับการกระทบกระเทือนแค่ ‘นิดหน่อย’ แต่สำหรับนักเต้นอย่างพวกเราแล้ว มันก็ถือเป็นความเสี่ยงครั้งใหญ่ที่ทำให้เราไม่อาจผลีผลามสรุปได้โดยทันที 

 

 

นอกจากจะไม่สามารถเต้นได้จนกว่าร่างกายจะหายดีแล้ว ต่อให้ร่างกายไม่เป็นอะไร แต่ถ้าหากทิ้งบาดแผลทางใจเอาไว้ ก็ไม่รู้ว่าจะมีผลลัพธ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง ยิ่งไปกว่านั้น หากเกิดแม้แต่ผลข้างเคียงเล็กๆ ก็มีโอกาสที่จะสร้างความลำบากในการกลับมาเต้นอีกครั้งได้ 

 

 

บางทีเขาอาจจะไม่สามารถกลับมายืนบนเวทีอีกเลยก็ได้ ถึงจะไม่มีใครกล้าพูดออกมา แต่บางทีทุกคนอาจจะกำลังคิดแบบนั้นอยู่ 

 

 

“…เป็นเพราะฉันเอง” 

 

 

คนที่ทำลายความเงียบที่ทำให้หายใจไม่ทั่วท้องก็คือเซจิน เธอกัดริมฝีปากที่แห้งผากอย่างแรงด้วยใบหน้าซีดเซียว ก่อนจะพูดลอยๆ ออกมา ฉันจึงรีบกุมมือของเซจินเอาไว้ แล้วพูดขึ้น 

 

 

“ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอกนะ เซจิน” 

 

 

“เพราะเขาช่วยฉัน เขาถึงได้เป็นแบบนั้นนะ ถ้าฉันไม่ได้อยู่ตรงนั้น ชเวซูฮยอนก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บ เป็นเพราะฉันแท้ๆ…” 

 

 

“เซจิน” 

 

 

วินาทีที่ฉันกำลังจะพูดอะไรสักอย่างออกมา รุ่นพี่อีกงก็พูดแทรกเซจินขึ้นมานิ่งๆ 

 

 

“ชเวซูฮยอนที่พี่รู้จัก ไม่ใช่คนที่อ่อนแอแบบนั้นหรอกนะ” 

 

 

“…” 

 

 

“เขาจะต้องไม่เป็นอะไรแน่ๆ เพราะงั้นอย่าโทษตัวเองเลย เอาเป็นว่าเธอควรจะไปพักสักหน่อยนะ” 

 

 

หลังจากที่ได้ยินคำพูดอันสุขุมของรุ่นพี่ เซจินทำเพียงแค่ก้มหน้าก้มตาและไม่ยอมพูดยอมจาอะไร งานแสดงประจำฤดูถูกเลื่อนออกไป และหอประชุมก็ถูกปิดไว้ชั่วคราว  

 

 

แม้ว่าจะไปเยี่ยมซูฮยอนที่โรงพยาบาลหลังจากที่จบคาบเรียน แต่เซจินดูเหมือนไม่กล้าพอที่มองหน้าซูฮยอนเลยแม้แต่นิดเดียว 

 

 

“เซจิน” 

 

 

ในตอนนั้น อีเซที่เดินเข้าห้องคนไข้ไปก่อน เปิดประตูเดินออกมาแล้วเรียกชื่อเซจิน แต่เซจินที่ทำหน้าเหมือนคนจะเป็นลมกลับค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แล้วหันไปจ้องอีเซ  

 

 

“ซูฮยอนอยากเจอเธอน่ะ” 

 

 

เสียงทุ้มต่ำของอีเซทำให้ดวงตาของเซจินสั่นไหวอย่างรุนแรง ฉันประคองเซจินลุกขึ้นจากที่ หลังจากที่ก้าวเข้าห้องไปอย่างเชื่องช้า พวกเราก็ได้เห็นซูฮยอนกำลังนั่งอยู่บนเตียง  

 

 

เซจินยืนเลิ่กลั่กอยู่ข้างหน้าประตูห้อง และไม่สามารถก้าวเข้าไปใกล้ซูฮยอนได้มากกว่านี้ ใบหน้าของเธอดูจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวด 

 

 

“…ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะ” 

 

 

ซูฮยอนทอดสายตามองเซจินที่ทำท่าทางแบบนั้น เขาหัวเราะพลางบ่นพึมพำ เป็นเพราะอยู่ในชุดผู้ป่วยหรือเปล่านะ เขาถึงได้ดูป่วยหน่อยๆ แต่สีหน้าของซูฮยอนยังคงดูสงบไม่ต่างจากแต่ก่อนเลย ผิดกับเซจินที่เอาแต่ทำท่าเหมือนจะร้องไห้และไม่ยอมพูดอะไรเลยสักคำ 

 

 

“มานี่มา ขอดูหน่อยว่าเป็นอะไรไหม” 

 

 

ซูฮยอนเรียกเซจินด้วยน้ำเสียงที่ดูนุ่มนวลกว่าปกติ ฉันจึงค่อยๆ จูงมือเซจินมาอยู่ข้างๆ ซูฮยอน ต่อจากนั้น อีเซก็ลากเก้าอี้มาให้เซจินนั่ง  

 

 

ซูฮยอนค่อยๆ ยื่นมือไปหาเซจินที่เอาแต่กัดริมฝีปากที่แห้งกรานอย่างไม่รู้สาเหตุ ก่อนจะลูบแก้มของเซจินอย่างช้าๆ 

 

 

“คงตกใจมากสินะ” 

 

 

“…” 

 

 

“แต่ก็โล่งอกไปทีที่เธอไม่เป็นอะไร” 

 

 

น้ำเสียงทุ้มต่ำของซูฮยอนทำให้เซจินที่ก้มหน้านิ่งเริ่มน้ำตาไหลรินออกมา คำพูดพึมพำเบาๆ ดังออกมาจากริมฝีปากของเซจินที่ขยับขึ้นลงอย่างไม่ขาดสาย ขอโทษ ขอโทษนะ เสียงเล็กๆ ของเซจินทำให้ปลายจมูกของฉันปวดตึงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว จนต้องจับมือของรุ่นพี่อีกงที่ยืนอยู่ข้างๆ เอาไว้แน่น 

 

 

“…ยัยต๊อง จะขอโทษทำไมเล่า” 

 

 

“ก็มันเป็นเพราะฉันนี่นา เพราะฉันแท้ๆ…” 

 

 

เซจินไม่ได้พูดอะไรต่อ และเอาแต่สะอึกสะอื้น ซูฮยอนลูบหัวของเซจินอย่างเบามือพลางยิ้มบางๆ 

 

 

“ที่จริง ไม่ใช่ตรงหัวหรอกนะ ที่เธอทำให้ฉันเจ็บน่ะ เธอก็พิลึกเหมือนกันนั่นแหละ” 

 

 

“…หือ” 

 

 

“ตรงนี้ต่างหากล่ะที่เธอทำให้มันเจ็บน่ะ แต่ทำไมเธอถึงเอาแต่ขอโทษเรื่องหัวอยู่ได้นะ พิลึกคนจริงๆ” 

 

 

ซูฮยอนยิ้ม พร้อมกับเอานิ้วชี้มาตรงที่หน้าอกของตัวเอง เซจินแสดงสีหน้างุนงง พลางจ้องมองซูฮยอนด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา นั่นเลยทำให้ซูฮยอนยิ้มแปลกๆ พลางเกาหัวไปด้วย ก่อนจะเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของเซจินอยู่ด้วยท่าทางที่แปลกยิ่งกว่า 

 

 

“เอาล่ะ ถ้างั้น ทั้งสองคนก็คุยกันไปนะ พวกเราจะออกไปสูดอากาศกันสักหน่อย” 

 

 

อีเซที่กำลังมองดูสถานการณ์นั้นอยู่ เอามือจับไหล่ฉันและรุ่นพี่อีกง ก่อนจะรีบพาพวกเราออกมาข้างนอกห้องคนไข้ 

 

 

ฉันจ้องมองสลับไปมาระหว่างประตูที่ถูกปิดกับอีเซด้วยใบหน้ามึนงง แต่รุ่นพี่อีกงที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับยกมือขึ้นมาลูบคางตัวเองไปมาพลางพูดขึ้น 

 

 

“ต้องพูดแบบนั้นในสถานการณ์อย่างนั้นเองสินะ ต้องเก็บไว้ใช้บ้างละ” 

 

 

“อะไรของตาลุงหื่นนี่เนี่ย” 

 

 

อีเซส่ายหัวให้กับคำพูดของรุ่นพี่ด้วยใบหน้าที่จะสื่อว่า ช่างไร้สาระเสียจริง พลางตอบโต้กลับมาอย่างห้วนๆ อ้า รู้สึกเหมือนว่าพวกเขากลับมาเป็นพี่น้องแบบเมื่อก่อนแล้วเลยแฮะ  

 

 

ฉันยิ้มเล็กๆ ในขณะที่มองรุ่นพี่อีกงกับอีเซสลับกันไปมา ความเงียบแปลกๆ เกิดขึ้นสักพัก ก่อนที่อีเซจะเกาหัว แล้วจ้องมาที่ฉันเขม็ง พร้อมกับพูดห้วนๆ ขึ้นมา 

 

 

“ฮวีกยอม เธอเองก็ควรจะรู้จักธาตุแท้ของลีอีกงเอาไว้บ้างนะ ตาลุงเจ้าเล่ห์แบบนี้มันมีดีตรงไหนกันเนี่ย” 

 

 

“…น้องครับ พูดแรงไปหน่อยไหมครับ” 

 

 

แม้ว่ารุ่นพี่จะตอบกลับไปด้วยถ้อยคำที่ฟังพิลึกพิลั่น แต่บนใบหน้ากลับแฝงไปด้วยรอยยิ้มละมุน 

 

 

“ก็นะ ฉันคิดแล้วว่าจะเปิดศึกระยะยาว เพราะงั้นฉันไม่มีทางแพ้คนเจ้าเล่ห์แบบพี่หรอก” 

 

 

คำพูดลอยๆ พร้อมกับท่ายักไหล่ของอีเซทำให้คิ้วของรุ่นพี่อีกงกระตุกเบาๆ ฉันกลัวว่ามันจะทำให้บรรยากาศประหลาดๆ เกิดขึ้นอีกครั้ง จึงรีบเข้าไปควงแขนรุ่นพี่อีกงกับอีเซเอาไว้ แล้วตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงร่าเริง 

 

 

“พวกเราลงไปซื้อเครื่องดื่มกันเถอะ” 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

พวกเราซื้อเครื่องดื่มและของกินง่ายๆ มาจากร้านค้าที่อยู่ตรงชั้นหนึ่งของโรงพยาบาล แล้วออกมาข้างนอกเพื่อเป็นการฆ่าเวลา ก่อนจะมานั่งลงตรงม้านั่งพลางจ้องมองท้องฟ้าอย่างเงียบๆ เป็นเพราะสองพี่น้องที่เอาแต่เงียบใส่กัน ทำให้ฉันที่นั่งอยู่ตรงกลาง ต้องอดทนกับความรู้สึกแปลกๆ จนเริ่มรู้สึกมึนหัว 

 

 

อีกทั้งฉันยังกำลังนั่งจับมืออยู่กับทั้งสองพี่น้องที่นั่งข้างๆ อีกต่างหาก ดูท่าทั้งคู่จะหายโกรธกันแล้ว แต่บรรยากาศแปลกๆ นี้กลับไม่ดีขึ้นเลยสักนิด ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย ฉันถอนหายใจพลางพยายามขยับมือทั้งสองข้างที่ถูกจับเอาไว้ 

 

 

“ทั้งสองคนจะเป็นอะไรไหมนะ เกิดว่าเป็นโรคกลัวเวทีขึ้นมาล่ะ…” 

 

 

“พวกเขาไม่เป็นไรหรอกน่า ถึงจะเห็นอย่างนั้น แต่ทั้งสองคนก็เป็นคนเข้มแข็งนะ” 

 

 

ฉันคิดอยู่ตั้งนานกว่าจะหาหัวข้อสนทนาได้ แต่อีเซกลับตอบคำถามของฉันอย่างง่ายดายด้วยสำนวนการพูดที่ดูไม่ค่อยจะใส่ใจเท่าไหร่ แล้วบรรยากาศก็กลับสู่ความเงียบอีกครั้ง เฮ้อ อึดอัดชะมัด ชักจะอยากกลับไปแล้วสิ  

 

 

ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะหมดความอดทนในบรรยากาศที่ทำให้หายใจไม่ออกนี้ เหงื่อกำลังไหลออกมาจากมือที่ถูกจับอยู่ทั้งสองข้าง แต่ภายในร่างกายดูจะเดือดยิ่งกว่า 

 

 

ขณะที่ฉันเปลี่ยนจากท่านั่งพิงมาเป็นนั่งหลังตรง และพยายามแสดงท่าทีไม่พอใจออกมา อยู่ดีๆ รุ่นพี่อีกงที่เอาแต่มองตรงไปข้างหน้าด้วยสีหน้าบูดบึ้งก็หันขวับกลับมาจ้องอีเซ แล้วทันใดนั้นสีหน้าของรุ่นพี่ที่เลื่อนสายตาต่ำลงไปข้างล่างก็ดูจะบึ้งตึงอย่างประหลาด 

 

 

“นี่มันมือแฟนพี่นะ ปล่อยสิ” 

 

 

เสียงของรุ่นพี่ที่ก็ดูจะตึงไม่แพ้สีหน้า ทำให้อีเซตอบกลับด้วยท่าพ่นลมออกจากจมูกเหมือนจะบอกว่า เฮ้อ ไร้สาระชะมัด 

 

 

“แต่ยัยนี่เป็นเพื่อนผมมาก่อนนะ แล้วเราก็สนิทกันมากด้วย” 

 

 

อีเซยกมือของฉันที่จับอยู่มาส่ายต่อหน้ารุ่นพี่อีกง ก่อนจะทำปากจู๋ พลางเอนตัวพิงพนักพิง สุดท้ายแล้ว ฉันที่ไม่อาจเอาชนะความรำคาญที่อดกลั้นเอาไว้ได้อีกต่อไป จึงแผดเสียงดังขึ้น 

 

 

“นี่ ทั้งสองคน จะทำอย่างนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่เนี่ย” 

 

 

“…อะไรงั้นเหรอ” 

 

 

“ก็ที่เอาฉันมานั่งตรงกลาง แล้วก็ดึงไปมาเนี่ย ไม่บอกอะไรฉันสักคำว่าทะเลาะกันเพราะอะไร แล้วที่ให้ฉันมานั่งตรงนี้ มันด้วยเหตุผลอะไรอีกล่ะ” 

 

 

สายตาของสองพี่น้องจ้องมาที่ใบหน้ากระฟัดกระเฟียดของฉัน ก่อนจะเปลี่ยนไปมองอากาศที่ว่างเปล่าแทน อะไรกัน นี่พวกเขาถอนหายใจแถมยังส่ายหัวพร้อมกันอยู่งั้นเหรอเนี่ย 

 

 

“ก่อนอื่นเลย ทั้งสองคนช่วยปล่อยมือทีเถอะ” 

 

 

“ไม่” 

 

 

“ไม่ปล่อย” 

 

 

พอฉันสะบัดมือที่ถูกจับเอาไว้ สองพี่น้องก็รีบกุมมือฉันเอาไว้แน่นทันที เฮ้อ ให้ตายสิ ปวดหัวตุบๆ ขึ้นมาเลยแฮะ 

 

 

“ในเมื่อครึ่งนึงเป็นความรับผิดชอบของพี่ พี่ก็ไปลองคิดดีๆ แล้วกันว่ามันคือตรงไหน” 

 

 

“หน็อย ลีอีเซ” 

 

 

คำพูดห้วนๆ ของอีเซกับใบหน้าไม่พอใจนั้นทำให้รุ่นพี่อีกงถึงกับขมวดคิ้วเล็กๆ พลางห้ามปรามเขา ในตอนนั้นฉันที่ทำอะไรไม่ถูกจึงมองรุ่นพี่กับอีเซสลับกันไปมา รับผิดชอบฉันงั้นเหรอ 

 

 

รุ่นพี่อีกงเห็นใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความงุนงงของฉันจึงถอนหายใจเบาๆ ออกมา ความเงียบที่ย้อนกลับมาอีกครั้งทำให้ฉันถึงกับเหงื่อตก 

 

 

“โอ๊ย แล้วมันคืออะไรกันเล่า!” 

 

 

สุดท้ายฉันจึงลุกพรวดขึ้นจากม้านั่ง แล้วโวยวายเสียงดังออกมา 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

“ก็ขอโทษแล้วนี่ไง หายโกรธเถอะนะ นะ” 

 

 

แม้จะเป็นระหว่างที่ขึ้นลิฟต์มาและกำลังเดินไปยังห้องคนไข้ อีเซก็ยังคงพนมมือแล้วโค้งหัวให้ฉันไปเรื่อยๆ 

 

 

“ช่างเถอะ ถึงจะบอกว่าขอโทษ แต่นายก็ไม่ยอมบอกอยู่ดี” 

 

 

“นั่นน่ะ ฉันเองก็อยากจะบอกหรอกนะ แต่ว่าถ้าฉันบอกไป คุณแฟนของเธอที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ฆ่าฉันตายพอดีน่ะสิ” 

 

 

ทันทีที่อีเซแอบกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของฉัน รุ่นพี่อีกงก็มองหน้าอีเซพลางทำหน้าจริงจัง นั่นเลยทำให้แม้แต่ฉันก็ยังตกใจจนสะดุ้งไปด้วย แต่กลับกัน อีเซกลับแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ พาดแขนบนไหล่ฉันพลางผิวปากไปด้วย 

 

 

“น่ากลัวสุดๆ ไปเลยเนอะ” 

 

 

“ลีอีเซ น้อยๆ หน่อยน่า” 

 

 

“ดูสิๆ เวลาอยู่ต่อหน้าเธอก็จะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ แต่เวลาปกติแทบจะไม่ได้…” 

 

 

“นี่” 

 

 

ในตอนที่สายตาของรุ่นพี่จ้องกลับมาอย่างน่ากลัว อีเซถึงได้รู้ตัวว่าควรจะปิดปากให้สนิท ฉันที่กลัวว่าจะทะเลาะกันขึ้นมาอีกจึงเกร็งไหล่หนักขึ้นไปอีก รุ่นพี่ที่ชำเลืองมองมาที่ไหล่ของฉันจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางพูดขึ้น 

 

 

“ลีอีเซ เอาแขนลงซะในตอนที่ฉันยังพูดดีๆ อยู่” 

 

 

“ครับๆ เข้าใจแล้วครับ” 

 

 

อีเซยังคงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ทำเป็นไม่สนใจ พลางเอาแขนที่วางอยู่บนไหล่ของฉันลง พอเห็นอีเซตอบสนองแบบนั้นแล้ว ดูเหมือนทั้งสองคนจะไม่ได้โกรธกันแล้ว แต่บรรยากาศก็ดูจะไม่ได้ดีขึ้นง่ายๆ เลย 

 

 

ทันทีที่พวกเรามาถึงหน้าประตูห้องคนไข้ อีเซก็รีบเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปข้างในก่อน ส่วนฉันที่ตามมาข้างหลังและพยายามจะเปิดประตูอีกครั้ง ก็ถูกรั้งเอาไว้ด้วยมือของรุ่นพี่ที่มาดึงมือของฉันเอาไว้ ฉันจึงหยุดยืนแล้วหันกลับไปมอง ใบหน้าของรุ่นพี่ดูจะดีขึ้นบ้างแล้ว 

 

 

ฉันสัมผัสได้ว่าตรงหัวใจมันสั่นระรัวขึ้นมาทั้งที่ไม่ได้ทำผิดอะไร ฉันจึงจ้องตารุ่นพี่อย่างกระสับกระส่าย 

 

 

“ฮวีกยอม เธอน่ะ” 

 

 

“…คะ” 

 

 

“ดูเหมือนจะไม่ระวังตัวเกินไปแล้วนะ” 

 

 

“…ไม่ระวังตัวงั้นเหรอคะ” 

 

 

คำพูดที่ออกมาจากปากรุ่นพี่อย่างไม่คาดคิดทำให้ฉันยิ่งทำตัวไม่ถูกหนักขึ้นไปอีก ฉันพิจารณาดูสีหน้าของรุ่นพี่ที่ดูจะกระวนกระวายอย่างไม่รู้สาเหตุ รุ่นพี่ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะกุมมือฉันแน่น แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ 

 

 

“เมื่อกี้นี้ก็ด้วย ที่อีเซทำน่ะ เธอไม่ยอมง่ายเกินไปหน่อยเหรอ” 

 

 

“มะ หมายถึงอะไรคะ…” 

 

 

“…พี่หมายถึงการแตะเนื้อต้องตัวน่ะ ทั้งจับมือ แล้วก็ที่เอาแขนมาพาดไหล่นั่นด้วย” 

 

 

ใบหน้าของรุ่นพี่ที่เหมือนยิงลำแสงสีแดงออกมาดูแข็งทื่ออย่างประหลาด เอ๋ นี่เขาหึงงั้นเหรอ ฉันรู้สึกสับสนขึ้นมาในทันที แต่ขณะเดียวกันที่หน้าอกก็รู้สึกจั๊กจี้ขึ้นมา ฉันพยายามกลั้นยิ้มที่เกือบจะหลุดออกมาอย่างหวุดหวิด ไม่รู้ทำไมหมู่นี้รุ่นพี่อีกงถึงได้ชอบทำตัวน่ารักอยู่เรื่อยเลยนะ 

 

 

“อีเซเป็นเพื่อนนี่คะ แหม” 

 

 

“…แต่หมอนั่นก็เป็นผู้ชายนะ อีกอย่าง…” 

 

 

รุ่นพี่หยุดพูดไปครู่นึง ก่อนจะถอนหายใจออกมายาวๆ พร้อมกับเอามือก่ายหน้าผาก ฉันพยายามเกร็งริมฝีปากที่กระตุกไม่หยุด พลางกำมือที่ถูกรุ่นพี่กุมเอาไว้แน่น 

 

 

“รุ่นพี่นี่น้า กังวลเรื่องไม่เป็นเรื่อง…” 

 

 

“เอ่อ โทษทีที่แทรกระหว่างคุยกันอยู่นะ” 

 

 

ในตอนที่ฉันจะพูดต่อ ประตูห้องคนไข้ก็ถูกแง้มออกมาโดยไม่มีเสียง แล้วอีเซก็ยื่นใบหน้าที่ดูกระอักกระอ่วนออกมา 

 

 

“ถ้าให้อยู่ในนี้ มันก็ดูจะยังไงๆ น่ะ คงต้องออกไปแล้วล่ะ” 

 

 

“ทำไมล่ะ” 

 

 

ทันทีที่อีเซพูดจบ ฉันก็เขย่งปลายเท้าแล้วมองผ่านไหล่ของอีเซเข้าไปในห้องคนไข้ แล้วในวินาทีนั้น เฮือก ลมหายใจที่จะพ่นออกมาถึงกับชะงัก พลางยกมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างรีบดึงอีเซออกมาข้างนอกแล้วปิดประตู 

 

 

“นายน่ะ ในสถานการณ์แบบนั้นยังไม่รีบออกมาอีก มัวแต่ทำอะไรอยู่” 

 

 

“แล้วคิดว่าฉันไม่อยากออกมาหรือไง จะข้างในหรือข้างนอกก็มีแต่กลิ่นความรักลอยคละคลุ้งเต็มไปหมด แล้วจะให้ฉันทำยังไงเล่า” 

 

 

อีเซเอาแต่บ่นไม่หยุด ก่อนจะทำหน้าย่น พร้อมกับปากจู๋ ฉันจึงดึงหูของอีเซต่อด้วยคำรามออกมาเบาๆ 

 

 

“แล้วได้มองพวกเขาจะ จะ จูบกันหรือเปล่า” 

 

 

“ไม่ได้มอง ฉันรีบหันหลังเลยล่ะ” 

 

 

โธ่เว้ย อีเซอุทานพลางขยี้หัว แล้วเดินไปตามโถงทางเดิน จะไปไหนน่ะ ฉันถาม ห้องน้ำ อีเซตอบกลับมาสั้นๆ หลังจากนั้นเขาก็หายไปโดยไม่หันกลับมามองข้างหลังอีก 

 

 

“…ว้าว ทั้งสองคนนี่ใช่ย่อยเลยนะเนี่ย” 

 

 

คำพูดพึมพำปนเสียงอุทานของรุ่นพี่เหมือนกับจะทำให้ใบหน้าของฉันร้อนวูบวาบขึ้นมา ทั้งที่จนกระทั่งมาถึงโรงพยาบาลแล้ว พวกเราก็ยังรู้สึกกังวลและเครียดกันอยู่เลยแท้ๆ แต่ทำไมตอนนี้มันกลับกลายเป็นเรื่องประหลาดแบบนี้ไปได้นะ 

 

 

ความเหนื่อยล้าที่อยู่ๆ ก็พุ่งพรวดขึ้นมาทำให้ฉันต้องนั่งลงตรงที่นั่งตามทางเดิน ให้ตายสิ ตอนนี้ฉันก็ไม่รู้อะไรแล้วล่ะ ทั้งรุ่นพี่ ทั้งอีเซ ทั้งชเวซูฮยอนกับเซจินก็ด้วย ทั้งหมดมีแต่เรื่องราวที่ฉันไม่รู้เต็มไปหมด