ภาคที่ 5 บทที่ 16 การควบคุม

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 16 การควบคุม

เมื่อออกมาถึงเมือง กู่เฟยหงก็ดึงจี้หยกของเขาออกมา “องค์รัชทายาท ข้าอยู่นอกเมืองแล้ว ซูเฉินอยู่ที่ไหน ?”

“พวกมันยังคงอยู่ที่เดิม ไม่ได้เคลื่อนไหว” ฉู่เจียงอวี๋ตอบ

ไม่ได้เคลื่อนไหว ?

กู่เฟยหงสับสน

ทั้งที่กู่ชิงลั่วน่าจะรู้สึกตัวแล้วว่าถูกจับตาผ่านผนึกวิญญาณหงลั่วอยู่ แล้วเหตุใดนางจึงไม่หนี ?

แต่ในเมื่อไม่คิดจะหนีก็ดีแล้ว เขาจะไม่ต้องไล่ตามพวกมันให้ยืดเยื้ออีก

“ตามข้ามา !” คนกลุ่มใหญ่ออกบินไปพร้อมกับกู่เฟยหงทันทีหลังจากได้ยินคำสั่ง

หลังบินมาตลอดทาง ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงภูเขาที่ซูเฉินอยู่

“องค์รัชทายาท พวกมันยังอยู่หรือไม่ ?” กู่เฟยหงติดต่อกลับไปถามอีกครั้ง

“ใช่” ฉู่เจียงอวี๋ตอบกลับในขณะที่เขายังคงตรวจสอบสมาชิกคนอื่น ๆ ของตระกูลกู่ หลังจากชี้ตำแหน่งเป้าหมายให้กับกู่เฟยหงแล้ว รัชทายาทก็ไม่สนใจที่จะสังเกตการเคลื่อนไหวของกู่ชิงลั่วอีกต่อไป และมุ่งความสนใจไปที่สมาชิกตระกูลกู่คนอื่น

เนื่องจากจุดสีแดงที่เป็นตัวแทนของกู่ชิงลั่วยังคงอยู่ที่นั่น ก็หมายความว่าพวกเขาไม่ได้คิดจะหลบหนี

“ดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่กลัวเจ้านะ” ฉู่เจียงอวี๋กล่าวเสริมหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“พวกมันจะต้องเสียใจ !” ใบหน้ากู่เฟยหงเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด

พวกมันกล้าดูถูกข้างั้นหรือ ? เช่นนั้นพวกมันจะต้องชดใช้ !

เมื่อพวกเขามาถึงที่หมาย กู่เฟยหงก็พบกับกู่ชิงลั่วที่กำลังยืนอยู่ข้างซูเฉิน โดยมีกังเหยียนและคนอื่น ๆ ยืนอยู่ข้างหลังพวกเขา

“ซูเฉิน ?” กู่เฟยหงกัดฟันกล่าวขึ้น

“กู่เฟยหง ?” ซูเฉินยิ้ม

“เจ้ากล้าดียังไง ถึงมาเอ่ยนามนายน้อยของข้าตรง ๆ!” คนผู้หนึ่งที่อยู่ถัดจากกู่เฟยหงตะโกนต่อว่าเขา

ซูเฉินรู้สึกคุ้นเคยกับใบหน้าของคนผู้นี้มาก

“กู่หลิวอ้าน ?” ซูเฉินพึมพำ

“เจ้ารู้จักข้าเหรอ ?” กู่หลิวอ้านงุนงง เพราะเขาไม่เจอซูเฉินมาก่อน

“แน่นอน” มุมปากของซูเฉินขยับยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม

แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าคำพูดของซูเฉินหมายถึงอะไร แต่กู่หลิวอ้านก็ยังคงเข้าใจรอยยิ้มเยาะเย้ยของอีกฝ่ายได้อยู่

“รนหาที่ตาย !” กู่หลิวอ้านคำรามขึ้น ก่อนจะกางกรงเล็บพุ่งเข้าใส่ซูเฉิน

ถึงเขาจะเป็นข้ารับใช้ของกู่เฟยหง แต่เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกตระกูลกู่ที่ปลุกสายเลือดขึ้นมาได้ และถูกส่งมายังสาขาหลัก เขาเคยติดตามกู่หมิงเว่ยอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะถูกมอบหมายให้มาคอยปกป้องกู่เฟยหง

พื้นฐานการฝึกของเขาอยู่ด่านผลาญจิตวิญญาณ ด้วยการสนับสนุนของสายเลือดมังกรสุริยะ ความแข็งแกร่งของเขาจึงนับว่าสูงมากพอที่จะสู้กับผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดินขั้นต้นได้เลยทีเดียว

ซูเฉินที่อยู่เพียงด่านสู่พิสดาร มีสิทธิ์อะไรจะมาสู้กับเขา ?

กู่หลิวอ้านมั่นใจอย่างยิ่งว่าตนสามารถสังหารศัตรูได้การโจมตีเดียว

แต่ในขณะที่เขากำลังจะโจมตี ซูเฉินก็เริ่มเปล่งเสียงแปลก ๆ ขึ้น

หลังเสียงบทสวดที่โศกเศร้าและแปลกประหลาดนี้กระทบเข้าสู่โสตประสาท กู่หลิวอ้านพลันรู้สึกว่าหัวใจของตนเริ่มเต้นแรงขึ้น จากนั้นพลังลึกลับบางอย่างก็ผุดออกมาจากภายในร่างกายและห่อหุ้มเขาไว้อย่างสมบูรณ์ในชั่วพริบตา

“นี่คือ… “ กู่หลิวอ้านเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว

เขาต้องการที่จะตะโกน แต่เขากลับพบว่าตนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว ร่างกายของกู่หลิวอ้านหันบิดไปด้านข้างอย่างควบคุมไม่ได้

กรงเล็บไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ซูเฉินอีกต่อไป แต่มุ่งตรงไปหากู่เฟยหงที่อยู่ด้านหลังแทน

กู่เฟยหงไม่เคยคาดคิดเลยว่ากู่หลิวอ้านจะหันกลับมาโจมตีตน เขาจึงไม่ทันระวังจนกระทั่งถูกกรงเล็บคว้าจับเอาไว้ ก่อนจะพูดด้วยความตกใจ “กู่หลิวอ้าน เจ้ากำลังจะทำอะไร ?”

เขามองเห็นอีกฝ่ายกำลังจ้องตาเขา ขยับปากส่งเสียงอยู่ในลำคอราวกับคนต้องการจะพูดแต่พูดไม่ได้

กรงเล็บรอบคอกู่เฟยหงเริ่มบีบแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ทุกขณะ

“ปล่อยนายน้อยซะ !”

โชคดีที่คนที่กู่เฟยหงพามาไม่ได้มีเพียงกู่หลิวอ้าน ผู้ติดตามคนอื่น ๆ พุ่งออกมาและดึงตัวอีกฝ่ายออกจากนายน้อยของพวกเขา

“เฒ่าหลิว เฒ่าหลิว เจ้าเป็นอะไรไป ?!” ชายวัยกลางคนตะโกนขณะที่เขาตรึงกู่หลิวอ้านเอาไว้ คนผู้นี้มีนามว่ากู่ไป๋เย่ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณ และไม่ได้อ่อนแอกว่าเฒ่าหลิวเลยแม้แต่น้อย

“อา ! อา……!” กู่หลิวอ้านน้ำลายฟูมปาก ในขณะที่ร่างกายของเขาสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้

เส้นบิดเบี้ยวปรากฏบนใบหน้าของเขา ถักทอเป็นสัญลักษณ์ที่ดูแปลกตา

กู่ไป๋เย่ตัวสั่นขึ้นทันทีที่ได้เห็นลวดลายนั่น

“คำสาปมังกร เป็นไปได้ยังไง ?”

“คำสาปมังกร ?” กู่เฟยหงตกใจกับเรื่องที่ได้ยินอย่างยิ่ง

เส้นที่บิดเบี้ยวแปลกตาที่อยู่บนใบหน้าของกู่หลิวอ้านในยามนี้นั้น เป็นผลมาจากการเปิดใช้อักขระควบคุมของคำสาปมังกร

“มันจะเป็นไปได้อย่างไร ?” กู่เฟยหงสับสน

ใครกัน ?

มีสมาชิกตระกูลฉู่คนไหนลงมือเคลื่อนไหวเปิดใช้งานคำสาปมังกร ที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของกู่หลิวอ้านตอนนี้กัน ?

เวลาเดียวกันกับที่กู่เฟยหงพยายามมองไปรอบ ๆ เพื่อหาผู้ลงมือ ริมฝีปากของซูเฉินก็คลี่ออกเป็นรอยยิ้มและเริ่มขานบทสวดเร็วขึ้น

กู่หลิวอ้านเงยหน้าขึ้นตะโกนร้องคร่ำครวญ ก่อนจะกระโจนเข้าใส่นายน้อยของตนอีกครั้ง

“นายน้อยหลบไป !” กู่ไป๋เย่ขยับตัวไปขวางทางเฒ่าหลิวอย่างรวดเร็ว

ในแง่ของความแข็งแกร่ง พวกเขาทั้งสองจัดว่าอยู่ในระดับเดียวกัน ทว่ากู่หลิวอ้านที่ไม่ได้ถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์นั้นได้พยายามต่อต้านการควบคุมของคำสาปมังกรอย่างหนัก มันจึงเป็นผลให้การโจมตีของเขาอ่อนแอกว่า และทำให้เขาถูกกู่ไป๋เย่จัดการลงได้อย่างรวดเร็ว

“เห็นไหม ? เจ้ายังควบคุมคำสาปมังกรได้ไม่ชำนาญพอเลย” กู่ชิงลั่วถอนหายใจ

การควบคุมของคำสาปมังกรที่แท้จริงนั้น มีความสามารถมากเกินพอที่จะควบคุมใครสักคนได้อย่างสมบูรณ์แบบ และไม่มีทางที่กู่หลิวอ้านต่อต้านได้เหมือนตอนนี้

แม้ว่าซูเฉินจะควบคุมคำสาปมังกรได้ แต่ประสิทธิภาพก็ยังด้อยกว่าการควบคุมด้วยคทามังกรอยู่มากนัก

ซูเฉินยิ้มเล็กน้อยและไม่ได้พูดอะไรแต่กลับท่องบทสวดช้าลงเล็กน้อย กู่ชิงลั่วมองดูร่างกายกู่ไป๋เย่สั่นขึ้นด้วยความตกใจ กู่ไป๋เย่เริ่มสูญเสียการควบคุมร่างกายของเขาไปทีละน้อย สัญลักษณ์อันเป็นเอกลักษณ์ของคำสาปมังกรเองก็เริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาด้วยเช่นกัน

“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?” กู่ชิงลั่วตกตะลึง

คำสาปมังกรเป็นคำสาปที่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของเป้าหมายได้โดยตรง ทำให้มันเป็นคำสาปที่ไม่ธรรมดา

จุดอ่อนเพียงหนึ่งเดียวของคำสาปนี้คือ มันสามารถควบคุมได้ครั้งละหนึ่งคนเท่านั้น

ผนึกวิญญาณหงลั่วสามารถใช้ได้โดยไม่มีข้อจำกัด ทันทีที่กระจกหงลั่วถูกใช้ สมาชิกทั้งหมดของตระกูลกู่ก็จะปรากฏขึ้น

ส่วนมือสังหารฝันบรรพกาลนั้น จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเป้าหมายอยู่ในระยะการมองเห็นของผู้ใช้ เมื่อมันเริ่มทำงานแล้วคำสาปจะค่อย ๆ กัดเซาะพลังชีวิตของพวกเขาไปจนตาย

แต่คำสาปมังกรที่ซูเฉินใช้กลับทำลายข้อจำกัดเหล่านี้ไปแล้ว ตอนนี้เขากำลังควบคุมสมาชิกตระกูลกู่พร้อมกันถึง 2 คน …

ไม่สิ มากกว่านั้นอีก !

ซูเฉินยังคงกล่าวบทสวดต่อไป จากนั้นสมาชิกอีกคนก็สูญเสียการควบคุมร่างกายและเข้าร่วมต่อสู้ด้วย

“เป็นไปได้ยังไง ? นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน ?” กู่เฟยหงตะโกนด้วยความตกใจเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า

ตอนนี้ผู้คนรอบ ๆ ตัวเขาเริ่มถูกควบคุมทีละคนและเริ่มเข้าโจมตีสหายของพวกเขาเอง

คนที่ถูกควบคุมโจมตีคนที่ไม่ได้ถูกควบคุม และบังคับให้พวกเขาต้องสู้กลับและปกป้องตนเอง

“มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ! แม้ว่าการใช้คำสาปมังกรควบคุมเป้าหมายโดยตรงจะไม่ทรงพลังเท่ายามที่ใช้คทามังกรช่วย แต่มันกลับสร้างผลกระทบต่อเป้าหมายได้มากขึ้น” กู่ชิงลั่วได้ตระหนักถึงความแตกต่างของวิธีที่ซูเฉินใช้แล้ว

คทามังกรเป็นเครื่องมือที่ถูกตระกูลฉู่ใช้เพื่อควบคุมเป้าหมาย ขณะที่ซูเฉินอาศัยบทสวดของเขา หากกล่าวถึงการควบคุมที่สมบูรณ์แบบ คทามังกรคือตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพมากกว่า ทว่าหากกล่าวถึงผลกระทบในวงกว้างแล้วล่ะก็ บทสวดของซูเฉินถือว่าเหนือกว่าโดยสิ้นเชิง

สิ่งที่กู่ชิงลั่วว่ามานั้นถูกอยู่ครึ่งหนึ่ง

แม้บทสวดที่ซูเฉินใช้หรือมนตรามังกรจะมีประสิทธิภาพวงกว้างมากกว่าการควบคุมด้วยคทามังกร แต่สิ่งที่เป็นตัวกำหนดอย่างแท้จริง คือตัวความแข็งแกร่งของพลังจิตของผู้ใช้มากกว่า

เพราะตัวคำสาปมังกรเองนี่แหละ ที่เป็นวิชาลับที่มีความสามารถในการควบคุมจิตวิญญาณของคู่ต่อสู้ สสารวงศ์มังกรจะส่งผลโดยตรงต่อจิตวิญญาณและเข้าไปออกแรงควบคุมบังคับตัวเป้าหมาย

ดังนั้นการร่ายมนตรามังกรจึงเป็นตัวช่วยกระตุ้นให้คำสาปมังกรควบคุมเป้าหมายได้มากขึ้น แต่การจะควบคุมได้มากน้อยแค่ไหน มันก็ยังคงอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ความแข็งแกร่งของพลังจิตเป้าหมายทั้งหมดเมื่อรวมกันแล้วจะต้องไม่มากเกินไปกว่าพลังจิตของตัวผู้ใช้

ยิ่งระดับพลังจิตของทั้งสองฝ่ายใกล้กันมากเท่าไร ภาระของผู้ใช้ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น และระยะเวลาที่จะสามารถควบคุมเป้าหมายได้ก็จะลดลงตามไปด้วย

โชคดีที่พลังจิตของซูเฉินมีมากเพียงพอที่จะควบคุมเป้าหมายได้หลายเป้าหมายในคราวเดียว หากพลังจิตของเขาอยู่ในระดับเดียวกันกับระดับการฝึกฝนแล้วล่ะก็ เขาคงจะไม่สามารถควบคุมผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณได้เลยแม้แต่คนเดียว

ในแง่นั้น มนตรามังกรนับว่าด้อยกว่าคทามังกรมากจริง ๆ

อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของการเป็นผู้สร้างช่วยปกปิดข้อบกพร่องนี้ได้อย่างมาก มันทำให้เขาสามารถแสดงความสามารถในการควบคุมเป้าหมายวงกว้างของคำสาปออกมาได้มีประสิทธิภาพที่สุด

ตอนนี้ผู้ติดตามทั้งหมดของอีกฝ่ายได้ถูกขังอยู่ในการต่อสู้แล้ว ซูเฉินควบคุมคนมากกว่าสิบคนในชั่วพริบตา ซึ่งในนั้นมีผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณ 2 คนและผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารอีก 3 คนรวมอยู่ด้วย

เหตุผลที่ชายหนุ่มไม่ได้ควบคุมกู่เฟยหง นั่นเพราะเขาต้องการที่จะเพลิดเพลินกับสีหน้าของผู้แพ้อย่างเต็มรูปแบบจากอีกฝ่าย

“เป็นไปได้อย่างไร ? เหตุใดถึงได้ถูกควบคุมมากมายขนาดนี้กัน ?” กู่เฟยหงดูสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างตะลึงงัน

เขาหันไปมองซูเฉินอีกครั้งและตั้งใจฟังคำแปลก ๆ ที่ออกมาจากปากของอีกฝ่าย เมื่อบทสวดเข้าสู่โสตประสาท ความรู้สึกประหลาดก็พากันผุดขึ้นจากส่วนลึกของหัวใจ ราวกับเสียงบทสวดกำลังกระตุ้นสัญชาตญาณปีศาจในตัวขึ้นมา มันทำให้เขารู้สึกว่าเขาอดไม่ได้ที่จะยอมจำนน

ในที่สุดกู่เฟยหงก็ตระหนักได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

“เป็นเจ้า ? เจ้าเป็นคนควบคุมพวกเขางั้นหรือ ? มันเป็นไปได้ยังไง ?!” กู่เฟยหงรู้สึกตกใจมากจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง

ทำไมซูเฉินถึงมีวิชาลับที่ใช้ในการควบคุมสายเลือดของตระกูลกู่ ?!!

อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีเวลาจะมานั่งหาคำตอบอะไรในตอนนี้ เพราะวิกฤตที่อันตรายถึงชีวิตได้มาเยือนตรงหน้าของเขาแล้ว

คำสาปมังกรยังคงทำงานอยู่ และสมาชิกตระกูลกู่ก็ยังคงตกลงไปในความสับสนคนแล้วคนเล่า

ซูเฉินไม่ได้คิดที่จะปราณีแต่อย่างใด ในเมื่ออีกฝั่งต้องการให้เขาตาย เขาก็ไม่จำเป็นต้องสุภาพกับพวกเขาเช่นกัน

ชายหนุ่มเปิดใช้งานคำสาปมังกรด้วยกำลังทั้งหมดของเขา ทำการควบคุมให้กู่ไป๋เย่ กู่หลิวอ้านและคนอื่น ๆ ให้โจมตีสหายของพวกเขา ไม่สำคัญว่าคนที่ถูกควบคุมจะถูกฆ่าตายหรือไม่ เพราะเขาสามารถควบคุมเพิ่มใหม่อีกคนหนึ่งได้เรื่อย ๆ

และแม้ว่าผู้คนจำนวนมากจะถูกควบคุม แต่ผลรวมพลังจิตพวกเขาก็ยังต่ำกว่าของซูเฉินอยู่ดี ดังนั้นชายหนุ่มจึงสามารถเล่นอยู่แบบนี้ได้อีกสักพักใหญ่เลย

แต่ทว่ากู่เฟยหงกลับไม่สามารถทนได้อีกต่อไป

“ไม่ ไม่ !” เขาตะโกนขึ้นและพยายามที่จะหนีออกไป

น่าเสียดายที่ซูเฉินไม่มีทางปล่อยให้เขาหนีไปเช่นนั้น

จังหวะบทสวดเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันอย่างไม่บอกไม่กล่าว

กู่หลิวอ้านเปลี่ยนทิศทางและหันไปทางกู่เฟยหง ก่อนจะยกมือขึ้นปล่อยคลื่นพลังที่น่าสะพรึงออกไป

ซูเฉินได้เพิ่มพลังการควบคุมของเขาลงไปกับการโจมตีครั้งนี้ คลื่นพลังที่กู่หลิวอ้านปล่อยออกไปจึงแข็งแกร่งกว่าก่อนนี้มาก พลังงานที่ดูไร้ขอบเขตกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทุกทาง

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังมหาศาลนี้ ซูเฉินก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาหนักขึ้นอย่างไร้สาเหตุ จนแม้แต่การหายใจก็ยังเป็นเรื่องลำบาก

นี่คือพลังที่ผู้มีสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลควรมี เห็นได้ชัดว่ากู่หลิวอ้านไม่ได้เปิดใช้งานสายเลือดอย่างเต็มศักยภาพ

กู่เฟยหงรู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว เขาเปิดใช้สายเลือดของเขาอย่างเต็มที่พร้อมปล่อยคลื่นพลังที่คล้ายคลึงกันออกไปต้านทาน

โชคไม่ดีเลยที่กู่เฟยหงเป็นเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารเท่านั้น มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่นายน้อยผู้นี้จะแข็งแกร่งกว่าผู้ติดตามของเขา ภายใต้กลิ่นอายของเทพอสูรบรรพกาลที่ยังคงแพร่กระจายออกมาจากตัว กู่หลิวอ้านค่อย ๆ กดดันคลื่นพลังของกู่เฟยหงและปิดกั้นมัน

นี่คือการสะกดข่มด้วยระดับการฝึกฝนล้วน ๆ ในกรณีของสายเลือดเดียวกัน ผู้ที่มีฐานการฝึกฝนที่สูงกว่าจะได้เปรียบเสมอ

กู่เฟยหงเปิดใช้งานสายเลือดอย่างไร้ประโยชน์ กรงเล็บของกู่หลิวอ้านได้ฟาดตามลงมาอย่างรวดเร็ว

ขณะที่การโจมตีกำลังจะโดนตัวกู่เฟยหง ทันใดนั้นร่างกายของร่างกายของเขาก็สว่างวาบขึ้น เมื่อกรงเล็บของกู่หลิวอ้านมาถึงเขาก็ได้กลายเป็นลำแสงพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า และหายไปในทันที !