ภาคที่ 5 บทที่ 17 ความโกรธ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 17 ความโกรธ

“หนีไปแล้ว ?” หลังจากได้เห็นกู่เฟยหงบินหนีไปพร้อมกับตะโกนชื่อของเขา ซูเฉินอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมา จนคำสาปมังกรถูกทำลายลง

โชคดีที่ในพริบตาต่อมา เขากลับมาตั้งสติได้ทัน นี่เป็นหนึ่งในข้อเสียของมนตรามังกร มันทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถพูดได้ในขณะที่กำลังร่ายบทสวด

“มันอาจจะใช้วิชาลับบางอย่างที่กู่หมิงเว่ยมอบไว้ให้ป้องกันตัว” กู่ชิงลั่วกล่าว

“ช่างน่าเสียดาย” ซูเฉินอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นอีกครั้ง

คำสาปมังกรเองก็ถูกทำลายอีกครั้ง กู่หลิวอ้านและกู่ไป๋เย่กลับเป็นปกติ แต่แล้วครู่ต่อมาพวกเขาก็กลับไปอยู่ใต้การควบคุมของซูเฉินอีกครั้ง

อวิ๋นเป้าทนดูไม่ไหวอีกต่อไป “ไม่ต้องปล่อยให้พวกมันฆ่ากันเองแล้ว คนพวกนี้ต่อต้านการควบคุมของเจ้าอยู่ตลอดเลย ให้พวกข้าลงมือเองเถอะ”

ซูเฉินไม่สามารถพูดอะไรได้ในตอนนี้ จึงทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับ เดิมทีเขาต้องการที่จะสัมผัสถึงพลังของคำสาปมังกรให้นานขึ้นอีกนิด แต่น่าเสียดายที่กู่เฟยหงหลบหนีไปเสียก่อนที่เขาจะทันได้ทำอะไรมากกว่านี้

และเนื่องจากอีกฝ่ายหลบหนีไปได้แล้ว ปัญหาใหม่ก็คงจะตามมาในไม่ช้า

มันคงไม่ดีนักถ้าหากพวกเขาจะรั้งอยู่ที่นี่กันต่อนานกว่านี้

เมื่อซูเฉินพยักหน้า อวิ๋นเป้าก็พุ่งออกไปเพื่อโจมตีในทันที

อวิ๋นเป้ายังคงอยู่ด่านทะลวงลมปราณยังไม่ได้ทะลวงเข้าสู่ด่านสู่พิสดาร แต่เป้าหมายแรกที่เขากระโจนเข้าใส่คือผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดาร ในแง่ของความกล้าหาญอวิ๋นเป้าไม่ได้ด้อยกว่าใครเลยจริง ๆ

จากนั้นกังเหยียน เงามรณะ และ 12 ข้ารับใช้ดาบที่เหลือก็เริ่มลงมือโจมตีตามกันไป

เมื่อคนเหล่านี้เข้าร่วมการต่อสู้ ผู้ติดตามของกู่เฟยหงก็หมดซึ่งโอกาสที่จะพลิกกลับและถูกกวาดล้างอย่างไร้ความปราณี

ซูเฉินมองไปทางกู่ชิงลั่ว “เจ้าอาจไม่อยากอยู่ดูสิ่งที่เกินขึ้นต่อ”

“ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ” กู่ชิงลั่วถาม “ไม่ว่ายังไง คนพวกนั้นยังคงเป็นคนของตระกูลกู่เช่นเดียวกับข้า…”

“พวกมันไม่ได้ปฏิบัติต่อเจ้าในฐานะสมาชิกของตระกูลกู่แต่แรกแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องให้ค่ากับพวกมันมากนักหรอก ที่สำคัญเราคงจะมีปัญหาตามมาในไม่ช้านี้แน่…”

ซูเฉินยังพูดไม่จบ แต่กู่ชิงลั่วก็เข้าใจสิ่งที่เขาพยายามสื่อดี

นางพยักหน้าเบา ๆ

เมื่อได้รับอนุญาตจากหญิงสาว ซูเฉินก็ไม่เกรงใจอีกต่อไป เขาเดินตรงเข้าไปในป่าเรียกแท่นบูชาและวางศพของกู่หลิวอ้านไว้บนนั้น

“ข้าอยากรู้ว่าปัญหาแบบไหนกันที่ข้าอาจต้องเจอในอนาคต” ซูเฉินกล่าว

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ถามเกี่ยวกับงานวิจัยของเขา

โดยปกติแล้วไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดนั้นจะไม่ทำนายถึงเรื่องร้าย ขณะที่ซูเฉินกำลังถามว่าเขาจะเจอปัญหาอะไร หมายความว่าไม่ว่าผลลัพธ์ของภาพทำนายจะออกมาเป็นอย่างไร มันก็จะเป็นอนาคตที่ถูกเปลี่ยนแปลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจำเป็นต้องมีการเสียสละเพื่อทำนายตามเงื่อนไข

หากเป็นสถานการณ์ปกติแล้ว ค่าชดเชยที่จำเป็นจะต้องจ่ายออกไปตามเงื่อนไขนั้นสูงมาก แต่ในตอนนี้เพียงแค่ซูเฉินวางร่างของกู่หลิวอ้านลงไป เขาก็ได้รับคำตอบกลับมาในทันที

“ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดชอบสิ่งนี้จริง ๆ ด้วยสินะ” ซูเฉินเผยท่าทางตื่นเต้น

นี่เท่ากับว่าซูเฉินได้พบเส้นเลือดแห่งชีวิตอันอุดมสมบูรณ์แล้ว ด้วยสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลจำนวนมากที่เขามีอยู่ ก็หมายความว่าเขาจะสามารถทำนายคำตอบได้มากมายนับไม่ถ้วน

แต่ครู่ต่อมา ซูเฉินก็ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว

การใช้มนุษย์เป็นเครื่องสังเวยก็ไม่ต่างอะไรกับการทดลองมนุษย์ มันเป็นเรื่องต้องห้ามและโหดร้ายเกินไป

ดังนั้นเขาจะต้องยับยั้งชั่งใจเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองก้าวหลงไปผิดเส้นทาง

ซูเฉินในปัจจุบันค่อย ๆ เติบโตขึ้นตามกาลเวลา

เขาเลยผ่านพ้นวัยหุนหันพลันแล่นมาแล้ว ความคิดและอารมณ์ของเขาพัฒนาจนมั่นคงขึ้นมามาก

สายเลือดของตระกูลกู่ถือเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับชดเชยเงื่อนไขการใช้งานไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด แต่การจะทำเช่นนั้นได้ ซูเฉินจะต้องตัดสินใจอย่างละเอียดถี่ถ้วนและรอบคอบ หากไม่จำเป็นจริง ๆ ไม่ต้องพึ่งทางเลือกนี้เลยคงจะเป็นการดีที่สุด

แน่นอนว่ากลุ่มร่างที่อยู่ตรงหน้านี้มาเพื่อฆ่าเขา ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องแสดงความเมตตาต่ออีกฝ่าย

ชายหนุ่มจดจำและวิเคราะห์ภาพทำนายทั้งหมดที่ปรากฏบนแท่นบูชาอยู่ในใจ

เมื่อซูเฉินได้เห็นผู้ที่จะไล่ตามล่าเขา เขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เป็นพวกเขา ?”

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูเฉินก็โยนร่างของกู่ไป๋เย่ลงบนแท่นบูชา “ข้าอยากรู้…”

——————————————

ช่วงเวลาก่อนหน้าที่การต่อสู้ของซูเฉินกับกู่เฟยหงจะเริ่มขึ้น พายุแห่งความโกลาหลก็ได้กวาดไปทั่วทั้งตระกูลกู่

การสอดแนมของฉู่เจียงอวี๋เปรียบได้ดั่งไม้ขีดไฟ ที่จุดให้หัวใจของทุกคนลุกเป็นไฟ และทำให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกู่ซินหรง

ในฐานะที่เป็น 1 ใน 12 ราชันมนุษย์ของตระกูลกู่ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษลำดับที่สี่ของตระกูล แม้ว่าพื้นฐานการฝึกฝนของนางจะสูง แต่อารมณ์ของนางก็ยังคงรุนแรงเหมือนคนวัยเยาว์

“กล้าดียังไง ถึงได้กล้าละเมิดข้อตกลงและเปิดเผยความลับของตระกูลกู่ข้า !”

ทันทีที่นางพบว่าพวกตนกำลังถูกลอบตรวจสอบอยู่ นางก็ระเบิดออกด้วยความโกรธในทันที

ความโกรธนี้ไม่ได้เกิดจากเทียนไขชีวิตเพียง 161 เล่มเพราะมันเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว และชัยชนะไม่เคยเป็นสิ่งที่แน่นอน ทว่าเป็นเพราะการตรวจสอบด้วยกระจกหงลั่วในครั้งนี้ เป็นการกระทำที่ไม่ได้รับอนุญาต

มันเป็นการละเมิดข้อตกลง !

นี่คือสิ่งที่ทำให้กู่ซินหรงรับไม่ได้อย่างยิ่ง

ทันทีที่นางสัมผัสได้ถึงมัน กู่ซินหรงก็ได้หยุดกระบวนการสร้างเทียนไขชีวิตและออกจากห้องลับทันที

นางกำลังจะไปหาตระกูลฉู่เพื่อคิดบัญชี

ใช่ เพื่อคิดบัญชี !

แม้ว่าตระกูลกู่จะอยู่ภายใต้ตระกูลฉู่และถูกจำกัดขอบเขต แต่คุณยายสี่ของบ้านกู่ก็ยังหัวรั้นและแข็งกร้าวเช่นนี้ นางไม่ได้รู้สึกละอายที่ความลับของพวกเขาถูกเปิดเผยเลยสักนิด ทั้งหมดที่นางรู้สึกคือความโกรธแค้นที่อีกฝ่ายละเมิดสัญญาของพวกเขา

ในทางกลับกัน บรรพบุรุษที่ตื่นอยู่อีก 2 คนที่เหลือกู่ฉิงหยางกับกู่ฉิงซ่ง ต่างมองหน้ากัน ก่อนจะส่ายหัวและถอนหายใจ

สิ่งหนึ่งที่พวกเขาเข้าใจเป็นอย่างดี นั่นคือตระกูลฉู่ไม่เคยทำผิดข้อตกลงโดยไม่มีเหตุผล ดังนั้นมันจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น และสิ่งนั้นจะต้องไม่เป็นประโยชน์ต่อตระกูลกู่อย่างแน่นอน

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กู่ฉิงซ่งก็กล่าวขึ้น “อย่างไรก็ตาม เราควรจะไปดูกันก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้นแล้วค่อยว่ากัน”

“ได้ !” กู่ฉิงหยางพยักหน้า เขาหันกลับมามองเทียนไขชีวิตที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นและถอนหายใจ ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อแล้วเก็นพวกมันมาทั้งหมด ในเมื่อเทียนไขเหล่านี้ถูกค้นพบแล้ว เขาก็ทำได้เพียงแค่นำมันติดตัวไปด้วย

เมื่อทั้งคู่ออกจากห้องลับมา พวกเขาก็พบว่าผู้คนนับไม่ถ้วนต่างร้องตะโกนด้วยความตื่นตระหนก เห็นได้ชัดว่าหลายคนก็สัมผัสได้ถึงการลอบสอดแนมครานี้แล้ว กู่ซินหรงพ่นลมหายใจและไม่สนใจพวกเขา นางบินตรงขึ้นไปในอากาศและมุ่งหน้าไปยังตระกูลฉู่

ด้วยความเร็วของนาง ทำให้กู่ซินหรงมาถึงพระราชวังได้อย่างรวดเร็ว

ไม่เพียงแต่เร็ว แต่ยังก้าวร้าวอีกด้วย

ปัง !

คลื่นพลังมหาศาลระเบิดขึ้น ก่อนจะรวมตัวกันและปกคลุมท้องฟ้าเหนือวังพระราชวัง ในทันที ในสายตาคนทั่วไปพวกเขาจะรู้สึกราวกับฟ้ามืดครึ้มลงอย่างกะทันหัน ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดจะรู้สึกได้ทันทีว่าพลังต้นกำเนิดรอบตัวของพวกเขาหนาแน่นขึ้นอย่างมาก ราวกับว่ามันกำลังควบแน่นและจะตกลงมาจากท้องฟ้า

อย่างไรก็ตาม พลังต้นกำเนิดจะไม่มีทางตกลงมา เพราะนั่นเป็นเพียงการตอบสนองต่อพลังของผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชัน พวกมันจะไม่ตกลงมาใส่ใครและจะเปลี่ยนแปลงแค่เพื่อมหาราชันเท่านั้น

นี่เป็นเพียงปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณการผกผันของสภาพแวดล้อมต่อความโกรธของกู่ซินหรง หากนางต้องการที่จะสู้จริง ๆ ขอบเขตแรงกดดันนี้ของนางสามารถขยายได้อีกกว่าสิบเท่าของขนาดในยามนี้เสียอีก

แต่เพียงแค่แรงกดดันมหาศาลในเวลานี้ ก็มากพอที่จะทำให้ทหารและองครักษ์ด้านล่างทุกคนรู้สึกกดดันอย่างมากแล้ว

ภัยคุกคามมาถึงอย่างรวดเร็วจนแม้แต่ค่ายกลพลังต้นกำเนิดของพระราชวังก็ยังเปิดใช้งานได้ไม่ทันเวลา

พริบตาต่อมาแสงสว่างอันอ่อนโยนก็ทอประกายพร่างพรายจากศูนย์กลางวังตระกูลฉู่ แผ่กระจายไปทั่วทุกทิศทุกทางและขจัดความกดดันนี้ไปอย่างเงียบ ๆ ทำให้ทุกคนรู้สึกสบายตัวขึ้นอย่างมาก

“ฝ่าบาท ฝ่าบาททรงเคลื่อนไหวด้วยพระองค์เองแล้ว” ทหารและองครักษ์ด้านล่างตระหนักได้ทันทีว่าจักรพรรดิของพวกเขา ฉู่หยวนได้ลงมือด้วยตัวเองแล้ว

ฉู่หยวนก็อยู่ในด่านมหาราชันเช่นเดียวกับกู่ซินหรง

พวกเขามีระดับการฝึกฝนที่เท่ากันแต่สายเลือดของเขามีระดับที่อ่อนแอกว่า หากพวกเขาต้องแข่งขันกันในแง่ของความแข็งแกร่ง ฉู่หยวนน่าจะอ่อนแอกว่ากู่ซินหรงอยู่เล็กน้อย

โชคยังดีที่มันยังไม่ถึงเวลาที่ต้องปะทะกันด้วยกำลัง

ความเชี่ยวชาญในการควบคุมคำสาปทั้ง 3 เขาจึงสามารถปราบปรามตระกูลกู่ได้โดยธรรมชาติ

แต่ถึงกระนั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกู่ซินหรงที่มีท่าทีโผงผาง ฉู่หยวนก็ยังคงเปิดบทสนทนาอย่างอบอุ่น “ที่แท้ก็เป็นท่านป้าสี่ ฉู่หยวนรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งที่ท่านมาเยี่ยมเยียนที่นี่ ทว่าได้โปรดบอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านถึงได้มาเยือนอย่างเอิกเกริกเช่นนี้กัน ?”

กู่ซินหรงนั้นอาวุโสกว่าฉู่หยวนอยู่มาก ดังนั้นเขาจึงเรียกขานนางว่าป้าสี่

“ฉู่หยวน !” กู่ซินหรงตะโกน “เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้ละเมิดข้อตกลงและใช้กระจกหงลั่วเพื่อแอบดูตระกูลกู่โดยไม่ได้รับอนุญาต ! หากเจ้าคิดว่าเพียงแค่พวกเจ้ามีคำสาปอยู่ในมือ แล้วจะเมินเฉยตระกูลข้าอย่างไรก็ได้งั้นรึ ? เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้า กู่ซินหรง … ”

“ยอมเป็นหยกแหลกลาญ แต่ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์(1) ท่านจะขอเผชิญหน้ากับตระกูลฉู่ของข้าอย่างสุดกำลัง… ข้ารู้ ข้ารู้” ฉู่หยวนยิ้มและพูดต่อ “ข้าเชื่อในอารมณ์และความมุ่งมั่นของป้าสี่ และข้ารู้ว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะโน้มน้าวท่าน หากราชันมนุษย์ของตระกูลกู่ทั้ง 12 ออกมาลงมือพร้อมกัน แม้แต่มือสังหารฝันบรรพกาลก็คงไม่อาจช่วยข้าได้ หากตระกูลฉู่และกู่ประกาศสงครามจริง ๆ ทั้ง 2 ฝ่ายย่อมต้องประสบความสูญเสียอย่างน่าเศร้าเป็นแน่ ข้าเชื่อในสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ดังนั้นข้าจึงได้เคารพตระกูลกู่มาโดยตลอด”

“ความเคารพของเจ้ารวมถึงการใช้กระจกหงลั่วแอบดูพวกข้าโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วยหรือไม่ ?” กู่ซินหรงถามอย่างเกรี้ยวกราด

ฉู่หยวนกล่าวอย่างหมดหนทาง “ท่านช่วยลงมานั่งคุยกันก่อนได้หรือไม่ ?”

กู่ซินหรงกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กู่ฉิงซ่งที่ตามมาหลังกลับกล่าวขึ้นก่อน “เราลงไปนั่งคุยกันด้านล่างเถอะ มาโต้เถียงกันอยู่กลางท้องฟ้าแบบนี้ มันดูจะหยาบคายเกินไป”

กู่ซินหรงทำได้เพียงระงับความโกรธของนางและลงไปที่วังของตระกูลฉู่

ฉู่หยวนนั่งอยู่ในโถงว่าการ ไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่เคียงข้างเขา เห็นได้ชัดว่าเขาเตรียมพร้อมเรื่องนี้ไว้แล้ว

กู่ซินหรงเคลื่อนย้ายไปอยู่ที่ด้านข้างของฉู่หยวนในทันที “ฉู่หยวนเจ้ากล้าที่จะใช้กระจกหงลั่วโดยไม่ได้รับอนุญาต มีอะไรจะอธิบายหรือไม่ ?”

จักรพรรดิฉู่ยิ้มเล็กน้อย “ท่านป้าสี่เข้าใจข้าผิดแล้ว เราไม่มีทางกล้าที่จะใช้กระจกหงลั่วโดยไม่ได้รับอนุญาต ครานี้ตระกูลกู่เป็นฝ่ายขอร้องให้ข้าใช้มันเอง”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ ?” กู่ซินหรงตกตะลึง

ตระกูลกู่ร้องขอมา ?

ไม่ใช่ว่าตระกูลกู่ไม่เคยร้องขอให้ตระกูลฉู่ใช้กระจกหงลั่วมาก่อน แต่หากมีเรื่องเช่นนั้นสมาชิกของตระกูลกู่จะได้รับการแจ้งล่วงหน้าเพื่อให้สามารถเตรียมตัวได้อย่างเหมาะสม หากพวกเขามีส่วนร่วมในสิ่งที่พวกเขาไม่ควรทำ พวกเขาก็จะสามารถหยุดได้ทันเวลา

แต่วันนี้กลับไม่มีใครได้รับแจ้งเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย มันเกิดอะไรขึ้น ?

“เป็นคำร้องจากใคร ?” กู่ซินหรงถาม

“กู่เฟยหง”

“เฟยหง ?” บรรพบุรุษทั้ง 3 ต่างก็ตกตะลึง

“เหตุใดเฟยหงถึงได้ทำเช่นนั้นกัน ?” กู่ฉิงหยางกล่าวขึ้นอย่างไม่เข้าใจ

“ท่านไม่เชื่อข้า ? เช่นนั้นก็โปรดดูเอาเองเถิด” ฉู่หยวนยกมือขึ้นและดึงหนังสือคำร้องส่งไปให้กู่ซินหรง

กู่ซินหรงเห็นชัดเจนว่ามันเป็นหนังสือยืนยันคำร้องของกู่เฟยหง ทั้งยังถูกประทับเอาไว้ด้วยตราประทับมังกรสุริยะของผู้อาวุโสกู่หมิงเว่ย

“มันเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร ? เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร ?” กู่ซินหรงสั่นไปทั้งตัว

กู่ฉิงหยางกับกู่ฉิงซ่งเองก็ตกใจกับเรื่องนี้ไม่แพ้กัน

กู่ฉิงซ่งกล่าวถามขึ้น “เฟยหงทำอย่างนี้ได้อย่างไร ? เหตุใดมันถึงไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ?”

“เพราะกู่เฟยหงกังวลว่าท่านจะปฏิเสธข้อเสนอของเขา” ฉู่เจียงอวี๋เดินออกมาจากด้านหลังพร้อมรอยยิ้ม แล้วเริ่มเล่าว่ากู่เฟยหงได้ขอให้ตนช่วยค้นหากู่ชิงลั่วอย่างไรบ้าง

เมื่อได้ยินว่ากู่เฟยหง ทำเช่นนี้เพียงเพื่อค้นหาตัวกู่ชิงลั่ว กู่ซินหรงก็รู้สึกเหมือนนางกำลังจะลมจับ “เพราะผู้หญิง… เพียงแค่เพราะผู้หญิงคนเดียว… ไอ้ตัวบัดซบ !”

กู่ซินหรงโกรธมากจนดูเหมือนพร้อมที่จะระเบิดออกมาเมื่อใดก็ได้

“ตอนนี้มันอยู่ที่ไหน ?” หญิงชราถามด้วยความโกรธ

ฉู่หยวนยืนขึ้นและตอบ “น่าจะยังอยู่นอกเมือง หากท่านต้องการรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน โปรดตามข้าไปยังตำหนักหงลั่วเถิด”

เมื่อได้ยินดังนั้นทั้ง 3 จึงตัดสินใจตามฉู่หยวนกับฉู่เจียงอวี๋ไปยังตำหนักหงลั่วซึ่งเป็นที่ตั้งของกระจกหงลั่ว

เมื่อมาถึงฉู่เจียงอวี๋ก็มองดูในกระจกและพูดอย่างประหลาดใจว่า “หืม ? เขาไม่อยู่ที่นั่นแล้ว ดูเหมือนว่าจุดแสงแทนตัวของเขาจะกลับไปที่ตระกูลกู่แล้ว แปลกจริง…”

ก่อนที่ฉู่เจียงอวี๋จะทันได้พูดอะไรกันแน่ที่ดูแปลกออกมา กู่ซินหรงก็สะบัดแขนของนาง แขนซ้ายที่ถูกสะบัดแยกออกและกลายเป็นมังกรทะยานขึ้นไปในอากาศ

กู่เฟยหงทรุดตัวลงกับพื้นและถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ทันทีที่เขากลับมาถึงบ้าน

ในยามนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกยิ่ง

*****

(1) 宁为玉碎 , 不为瓦全 – ยอมเป็นหยกแหลกลาญ ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์

หมายถึง ตั้งมั่นในความดีไม่เปลี่ยนแปลงไม่หลงไปในทางเลว แม้จะรู้ดีว่าจะเกิดอันตรายกับตัวเอง