ภาคที่ 5 บทที่ 18.1 ปราชญ์ผู้ชาญโลก (ต้น)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 18.1 ปราชญ์ผู้ชาญโลก (ต้น)

ปัง !

กู่เฟยหงกลิ้งไถลลงไปบนพื้น หลังจากเงยหน้าขึ้นเขาก็เจอกับกู่ซินหรง

“ท่านย่าสี่ !” กู่เฟยหงตะโกน “ท่านย่าสี่ ช่วยข้าด้วย !”

เขากลัวซูเฉินมากจนวิญญาณของเขาแทบจะหลุดออกจากร่าง ดังนั้นเมื่อได้เจอบรรพบุรุษของตน กู่เฟยหงจึงรี่เข้าไปหาตามสัญชาตญาณอย่างรีบร้อน

ทว่าก่อนที่จะทันได้เข้าใกล้ คลื่นพลังที่น่าสะพรึงกลัวก็พลันล้อมรอบตัวไว้ ทำให้เขาไม่สามารถขยับไปใกล้ได้อีก

กู่ซินหรงผู้ซึ่งใจดีและเมตตาเขามาโดยตลอด ในยามนี้กลับดูราวกับอสูรดึกดำบรรพ์ที่เพิ่งถูกปลุกออกมาจากการจำศีล นางจ้องมองกู่เฟยหงอย่างเย็นชาขณะที่ถามขึ้นว่า “เจ้าคือคนยื่นคำร้องขอให้ตระกูลฉู่ ? และยอมให้พวกเขาใช้กระจกหงลั่ว ?”

กู่เฟยหงไม่ได้ตอบกลับคำถามของนางตรง ๆ เขากล่าวว่า “ท่านย่าสี่ นั่นไม่สำคัญแล้ว ข้าเพิ่งจะไปเจอ…”

“ตอบข้ามา !” เสียงตะโกนของกู่ซินหรงดังก้องอยู่ในหูของกู่เฟยหงประหนึ่งฟ้าผ่า

กู่เฟยหงตกใจกลัวมากจนล้มลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น แต่ครู่ต่อมาเขาก็ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างรวดเร็ว

เพียงแค่กู่ซินหรงจ้องมอง กู่เฟยหงก็สูญเสียความสามารถในการควบคุมตัวเองไปโดยสมบูรณ์

“ท่านย่าสี่ ฟังข้าก่อน…” กู่เฟยหงตะโกน

“ตอบคำถามข้า !”

เสียงคำรามราวอสูรร้ายดังขึ้นอีกครั้ง มันเสียดแทงหัวใจของกู่เฟยหงทำให้เขาหวาดผวา

กู่เฟยหงจ้องมองบรรพบุรุษของเขาด้วยความหวาดกลัว “ปะ เป็นข้า… ข้า… คือคนร้องขอ… ขะ ข้า… ข้าต้องการตามหา… ”

เขายังพูดไม่ทันจบดี แต่กู่ซินหรงก็ไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไป

มือที่มองไม่เห็นบีบคอของกู่เฟยหงอย่างแรง จนดวงตาของเขากลอกกลับจนเหลือเพียงตาขาว

กู่ซินหรงก้าวโซเซถอยหลังอย่างอ่อนแรง “อา โชคร้ายของตระกูล ! ช่างเป็นโชคร้ายของตระกูลข้าจริง ๆ!”

กู่ฉิงซ่งและกู่ฉิงหยางเองก็ต่างส่ายหัวเช่นกัน

ทุกคนทำได้เพียงถอนหายใจและยอมรับความโชคร้าย ที่มีลูกหลานที่ไร้ความสามารถและอกตัญญูเช่นนี้

ฉู่เจียงอวี๋ยิ้ม “ในเมื่อความเข้าใจผิดถูกแก้ให้กระจ่างแล้ว เช่นนั้นเรื่องอื่นก็ย่อมพูดคุยกันง่ายแล้ว โอ้ ใช่ ตอนที่ข้าตามหาแม่นางชิงลั่ว ข้าบังเอิญไปเจอพวกท่าน 3 คน … ”

องค์รัชทายาทจงใจเว้นช่วงประโยคและไม่พูดต่อ แต่กู่ฉิงหยางก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร เขาหยิบเอาแหวนต้นกำเนิดออกมาและโยนมันให้ฉู่หยวน “เมื่อเร็ว ๆ นี้ตระกูลกู่ได้สมาชิกใหม่เพิ่มมาจำนวนหนึ่ง ทำให้เราสามารถเพิ่มการผลิตเทียนไขชีวิตเพิ่มมาได้ นี่คือเทียนไขที่เราสร้างขึ้นได้ในช่วงนี้ ทีแรกข้าตั้งใจว่าจะรวบรวมเพิ่มอีกสักหน่อยก่อนจะส่งมอบให้ตระกูลฉู่ แต่ในเมื่อวันนี้ได้มาเยือนแล้วก็คงไม่ต้องมาเสียเที่ยว”

เนื่องจากเทียนไขชีวิตที่พวกเขาซ่อนเอาไว้ถูกค้นพบแล้ว พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากมอบมันให้อีกฝ่ายไป แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังต้องให้เหตุผลที่ฟังดูดีเพื่อสนับสนุนการกระทำของพวกเขา

ตระกูลฉู่เองก็เลือกที่จะไม่เอาแต่ใจให้มากจนเกินไปเช่นกัน และไม่คิดที่จะใส่ใจความผิดนั้นอีก

ทั้ง 2 ตระกูลรู้จักกันมานานมาหลายปี ย่อมมีความ ‘เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน’ อยู่บ้างอยู่แล้ว

ฉู่หยวนยิ้มและรับแหวนต้นกำเนิดมา ก่อนจะส่งมอบมันให้กับฉู่เจียงอวี๋เพื่อเป็นรางวัลสำหรับผลงานครั้งนี้ของเขา พร้อมกันนั้นก็กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ครั้งต่อไปก็ปรับเพิ่มส่วนแบ่งขึ้นอย่างเหมาะสมด้วยท่านคิดว่าดีหรือไม่ ? เป็น 20 อันต่อปีอย่างไร ?”

บรรพบุรุษตระกูลกู่ทั้งสามมองหน้ากัน ก่อนจะทำได้เพียงพยักหน้าเห็นด้วย

ความล้มเหลวครานี้ ไม่เพียงแค่ทำให้พวกเขาต้องสูญเสียเทียนไขชีวิตที่พวกเขาแอบเก็บไว้ไปเท่านั้น แต่ยังทำให้โอกาสเก็บซ่อนเทียนไขที่สร้างขึ้นได้ในอนาคตลดน้อยลงอีกด้วย

การสูญเสียครั้งนี้นับว่าค่อนข้างมากโขเลยทีเดียว

เมื่อเขาได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้ กู่เฟยหงก็ตระหนักว่าเขาได้ทำผิดพลาดมากแค่ไหน และรู้สึกกลัวมากจนไม่กล้าแม้แต่จะลุกขึ้นมา

เขารู้ว่าการกระทำของตนจะสร้างภาระให้กับตระกูลกู่ แต่ก็ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นปัญหาใหญ่โตขนาดนี้

แม้ว่าท้ายที่สุด บรรพบุรุษทั้งสามจะกลั่นสร้างเทียนไขชีวิตได้แต่ก็ไม่ใช่ตลอดเวลา การผลิตเทียนไขชีวิตเหล่านี้กินพลังงานอย่างมาก ดังนั้นพวกเขาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกฝน และสร้างมันขึ้นมาเป็นช่วง ๆ เท่านั้น

เป็นเรื่องบังเอิญที่โชคร้ายยิ่ง ที่กระจกหงลั่วจับพวกเขาได้ในขณะที่กำลังพยายามกลั่นสร้างเทียนไขชีวิตเหล่านี้พอดี

อันที่จริง นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

นั่นเพราะฉู่เจียงอวี๋เป็นคนเลือกว่าจะเปิดใช้กระจกเมื่อใด ตระกูลฉู่กับกู่นั้นติดต่อกันมานานหลายปีแล้ว ดังนั้นตระกูลฉู่จึงเข้าใจและคุ้นเคยกับนิสัยและพฤติกรรมของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี พวกเขารู้ว่าเมื่อไรที่บรรพบุรุษทั้งสามของตระกูลกู่จะสามารถกลั่นสร้างเทียนไขชีวิตได้

แน่นอนว่าข้อมูลนี้ถูกเก็บเป็นความลับ มีเพียงฉู่หยวนและฉู่เจียงอวี๋เท่านั้นที่รู้ แม้แต่ตัวกู่เฟยหงที่เป็นคนตระกูลกู่เองก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ในเวลาเช่นนี้ข้อมูลที่ดูเหมือนไร้ประโยชน์เหล่านี้จึงกลับกลายเป็นข้อมูลมีความสำคัญสูงสุดไปในทันที

ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องบังเอิญที่ไม่บังเอิญ อันเกิดจากการคำนวณถึงผลลัพธ์และความน่าจะเป็นมาก่อนแล้ว

กู่ซินหรงรับรู้ถึงความซับซ้อนทั้งหมดนี้ได้ในทันทีหลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย และเมื่อนางคิดถึงความจริงที่ว่าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดจากความโง่เขลาของกู่เฟยหง นางก็รู้สึกโกรธจนแทบจะทนไม่ไหว

แต่เมื่อกู่ซินหรงนึกขึ้นได้ว่าสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับกู่ชิงลั่วด้วย นางก็ถามขึ้น “แล้วกู่ชิงลั่วอยู่ที่ไหน ? ไม่ใช่ว่าเจ้าออกไปเพื่อจับตัวนางหรอกหรือ เหตุใดจึงไม่พานางกลับมาด้วย ?”

ฉู่เจียงอวี๋เป็นผู้กล่าวตอบขึ้นแทน “กู่ชิงลั่วยังคงอยู่ในป่านอกเมือง”

นี่คือเรื่องที่เมื่อครู่นี้เขาพยายามจะบอกว่ามันแปลกมาก

เดิมทีรัชทายาทเชื่อว่ากู่ชิงลั่วจะถูกพาตัวกลับมาได้อย่างแน่นอน หลังจากที่ได้เห็นกู่เฟยหงพาผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณไปด้วยถึง 2 คน ทว่าจุดสีแดงที่เป็นตัวแทนของกู่ชิงลั่วกลับยังคงอยู่ที่เดิม ในขณะที่กู่เฟยหงกลับจากมาเพียงลำพัง

กู่เฟยหงได้ตอบกลับว่า “ข้าไม่อาจพานางกลับมากับข้าได้ ทั้งหลิวอ้านทั้งไป๋เย่… ทุกคนที่ไปด้วยกันกับข้าตายกันหมดแล้ว !”

อะไรนะ ?!

ฉู่หยวน กู่ซินหรงและคนอื่น ๆ ที่อยู่ตรงนี้ต่างก็พากันตกตะลึงกับคำตอบ

แม้แต่ฉู่เจียงอวี๋เองก็อดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมา “เป็นไปได้อย่างไร ? ซูเฉินอยู่แค่ด่านสู่พิสดารไม่ใช่หรือ ? ท่านพาผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณ 2 คน และยังมีด่านสู่พิสดารอีกตั้ง 5 คนออกไปด้วยนี้ !”

“นั่นเพราะมันรู้วิธีใช้คำสาปมังกรไง !” กู่เฟยหงตะโกนตอบเสียงดัง

เพียงหนึ่งประโยคกลับทำให้ทุกคนต้องตะลึงอีกครั้ง

————————————

หลังจากแวบหายไปไม่นานนัก ซูเฉินก็กลับออกมาจากป่า

เมื่อเขากลับมา ศพทั้งหมดที่อยู่ในมือของเขาก็ได้หายไปเรียบร้อยแล้ว

กังเหยียนกล่าวทักทาย “นายท่าน เราเตรียมการทุกอย่างไว้พร้อมแล้วและสามารถไปจากที่นี่ได้ทุกเมื่อ”

“ไม่ต้องรีบ” ซูเฉินตอบสิ่งไม่มีใครคาดคิดออกมา “รอกันอีกหน่อยเถอะ อีกไม่นานปัญหาใหม่ก็คงจะมาถึงแล้ว”

กู่ชิงลั่วกล่าวอย่างเป็นกังวล “ซูเฉิน เราไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับตระกูลกู่จนถึงที่สุดก็ได้มิใช่หรือ ? ในเมื่อเจ้าควบคุมคำสาปได้แล้ว ตระกูลกู่ก็ไม่อาจเป็นภัยคุกคามต่อเจ้าได้อีกต่อไปแล้วนี้”

ซูเฉินถอนหายใจ “ปัญหาที่ข้าพูดถึงไม่ใช่ตระกูลกู่”

อะไรนะ ?

กู่ชิงลั่วสับสน

ถ้าไม่ใช่ตระกูลกู่แล้วจะเป็นใครไปได้อีกกัน ?

ในไม่ช้ากู่ชิงลั่วก็ได้รู้คำตอบนั้น

ลำแสงทอประกายพาดผ่านขอบฟ้า ราวกับสายรุ้งที่ส่องประกายเจิดจ้า

กู่ชิงลั่วตกใจมากเมื่อเห็นผู้มาเยือน

“ฝ่าบาท ?”

ผู้มาใหม่คือจักรพรรดิแห่งอาณาจักรภูผาสูญ ฉู่หยวน !