ภาคที่ 5 บทที่ 18.2 ปราชญ์ผู้ชาญโลก (ปลาย)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 18.2 ปราชญ์ผู้ชาญโลก (ปลาย)

คนที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของเขาก็คือฉู่เจียงอวี๋ และผู้เชี่ยวชาญของภูผาสูญนับ 10 คนยืนอยู่ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณ แม้แต่บางคนก็ยังเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน

อีกด้านหนึ่งกู่ซินหรง กู่ฉิงซ่งและกู่ฉิงหยาง ผู้ที่มาพร้อมกับกู่เฟยหง

คนจากฝั่งตระกูลกู่ไม่ได้มากันเยอะนัก แต่ผู้มาเยือนกลับเป็นถึงบรรพบุรุษระดับมหาราชัน ทั้งยังมาพร้อมกันทั้ง 3 คนเสียด้วย

ผู้ทรงอำนาจมากมายที่เรียกได้ว่าเป็นมหาอำนาจสูงสุดของเผ่ามนุษย์ได้ปรากฏตัวมาอยู่ที่นี่แล้ว เห็นได้ชัดว่าการมาเยือนที่นี่ของพวกเขานั้นมีความหมายอย่างมาก

กู่ชิงลั่วเข้าใจได้ทันที

นางรู้ว่านางมองข้ามอะไรไป !

ตระกูลฉู่ !

ใช่แล้ว นางลืมนึกถึงปฏิกิริยาของตระกูลฉู่ไปสิ้น

การที่ซูเฉินสามารถควบคุมคำสาปทั้ง 3 ได้ ย่อมทำให้เขามีไพ่ต่อรองที่เหนือกว่าตระกูลกู่ แต่มันก็เป็นการสร้างปัญหาใหญ่ให้กับตัวเขาเองเองอย่างเงียบ ๆ เช่นกัน

ปัญหาที่ว่านั่นคือตระกูลฉู่

ตระกูลฉู่คือผู้ที่มีสิทธิควบคุมคำสาปทั้ง 3 อย่างเบ็ดเสร็จมาโดยตลอด และพวกมันทั้ง 3 ยังเป็นตัวควบคุมที่แข็งแกร่งที่สุด ที่พวกเขาใช้พึ่งพาเพื่อจัดการดูแลตระกูลกู่ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเป็นเพียงราชวงศ์เดียวในบรรดา 7 อาณาจักรที่ไม่ต้องต่อสู้กับศัตรูจากภายนอก อีก 6 อาณาจักรต่างก็ยังคงต้องต่อสู้อย่างลำบาก ในขณะที่ราชวงศ์ฉู่จำเป็นต้องทำแค่เฝ้าระวังและแจกจ่ายเทียนไขชีวิตให้แก่ 6 อาณาจักรในทุกปีเท่านั้น

แต่ตอนนี้ กลับมีคนนอกสามารถเข้าถึงคำสาปทั้ง 3 ได้ แล้วพวกเขาจะยอมรับได้อย่างไร ?

สำหรับตระกูลฉู่แล้ว นี่เป็นเรื่องน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าการที่ซูเฉินสามารถสร้างวิธีทะลวงด่านมหาราชันโดยไม่พึ่งสายเลือดได้เสียอีก

ดังนั้น เมื่อฉู่หยวนได้ยินว่าซูเฉินสามารถควบคุมคำสาปทั้ง 3 ได้ เขาจึงรู้สึกเหมือนกำลังจะระเบิดในทันที

ความสามารถในการควบคุมคำสาปทั้ง 3 ของซูเฉินได้สร้างช่องโหว่ขึ้น ทว่าช่องโหว่เจ้าปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับตระกูลกู่แต่เป็นราชวงศ์ฉู่

สำหรับทั้งตระกูลกู่และซูเฉินแล้ว ตระกูลฉู่นั้นคือเจ้านายของพวกเขา ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็จะยังคงอยู่ภายใต้อีกฝ่ายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หรือจะบอกว่ามันไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนักก็ว่าได้

แต่สำหรับราชวงศ์ฉู่แล้ว เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำให้รากฐานของพวกเขาสั่นคลอน แล้วจะไม่ให้พวกเขาตื่นตระหนกได้อย่างไร ?

นี่คือเหตุผลที่พวกเขาเองก็มาด้วย

ในทันทีที่ฉู่หยวนปรากฏตัวขึ้น เขาก็ตะโกนว่า “จับมัน !”

ผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดินต่างก็ง้างกรงเล็บขึ้นไปเพื่อคว้าตัวซูเฉินในทันใด

ซูเฉินเริ่มร่าบบทสวดอีกครั้ง

พริบตาต่อมา จู่ ๆ กู่ซินหรงก็กระโดดเข้ามาขวางกั้นการโจมตีเอาไว้

“ท่านย่าสี่ !” ฉู่หยวนตะโกนท้วง

กู่ซินหรงอุทานขึ้นอย่างตกตะลึง “คำสาปมังกร ! มันคือคำสาปของมังกรจริง ๆ!”

สีหน้าของฉู่หยวนเปลี่ยนไป “หยุด !”

ผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดินถอนการจู่โจมกลับ

กู่ซิงหรงตะโกนด้วยความโกรธ “เด็กน้อย เจ้ากล้าใช้คำสาปมังกรกับข้างั้นหรือ ?”

ทีแรกนางรู้สึกแปลกใจที่รู้ว่าซูเฉินใช้คำสาปมังกรได้ แต่เมื่อเขาใช้มันกับนาง ความโกรธของกู่ซิงหรงก็พลันปะทุขึ้น เมื่อความโกรธเอาชนะความประหลาดใจ นางจึงหันไปตำหนิซูเฉินแทน

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้โจมตีต่อแล้ว ซูเฉินก็ปล่อยกู่ซิงหรงจากการควบคุม ด้วยพลังจิตของนางสูงเกินไป ทำให้เขาแทบจะต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อควบคุมและไม่อาจรั้งมันไว้ได้นานนัก แค่การการควบคุมนี้เขาก็เกือบจะหมดแรงแล้ว นั่นทำให้ซูเฉินรู้สึกว่าตนยังจำต้องปรับปรุงความแข็งแกร่งของพลังจิตอยู่อีกมาก กล่าวอีกนัยหนึ่งหากชายหนุ่มต้องการที่จะรับมือกับกู่ซินหรง แม้ว่าเขาจะได้รับความช่วยเหลือจากคำสาปมังกร เขาก็ยังคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางอยู่ดี

นี่คือจุดที่มนตรามังกรไม่สามารถสู้คทามังกรได้ คทามังกรสามารถควบคุมเป้าหมายเดียวได้โดยไม่สนถึงระดับการฝึกฝนของอีกฝ่าย แม้ว่าทางนั้นจะอยู่ด่านมหาราชันขั้นปลายก็ตาม

แต่ซูเฉินก็แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น “แล้วทีนี้เราจะคุยกันได้แล้วหรือยัง ?”

ที่ฉู่หยวนสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาลงมือโจมตีก็เพื่อทดสอบซูเฉิน เพราะยังไงซะคำกล่าวอ้างของกู่เฟยหงก็นับเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้นเขาจึงต้องตรวจสอบคำพูดนั้นให้แน่ชัด

ตอนนี้คำกล่าวอ้างได้รับการยืนยันแล้ว แม้ว่าฉู่หยวนจะโกรธ แต่เขาก็ยังคงควบคุมมันได้อยู่

ฉู่หยวนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เจ้ามีวิธีควบคุมคำสาปมังกรได้อย่างไร ?”

“ผ่านการวิจัย คำสาปทุกชนิดถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์และเพราะมันเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่นนั้นมันก็คงไม่สมเหตุสมผล หากข้าไม่สามารถวิเคราะห์หรือเรียนรู้ที่จะใช้มันได้ ถูกไหม ?” ซูเฉินตอบ

ทุกคนชะงักไปทันทีเมื่อได้ฟังเช่นนั้น

ฉู่เจียงอวี๋พ่นลมหายใจ “ถ้ามันเป็นเรื่องง่ายขนาดนั้น เหตุใดตลอด 3,000 ปีที่ผ่านมาถึงไม่มีใครสามารถวิเคราะห์มันได้เลยเล่า ?”

ซูเฉินยิ้ม “เพราะข้าคือซูเฉิน โอ้ บางทีท่านอาจไม่คุ้นเคยกับชื่อนั้น แต่ท่านน่าจะรู้จักนามอวิ๋นฝูปาอยู่นะ”

“อะไรนะ ?” ทุกคนตกใจ “เจ้าคืออวิ๋นฝูปาอย่างงั้นหรือ ?”

นามอวิ๋นฝูปาเป็นราวกับเสียงของสายฟ้าพาดดังขึ้นที่ข้างหูของพวกเขา

ดวงตาของฉู่หยวนทอเป็นประกาย “ที่แท้ก็เป็นท่านปราชญ์ผู้ชาญโลก ผู้สร้างวิชาไร้สายเลือดที่ใช้ทะลวงเข้าสู่ด่านกลั่นโลหิตกับด่านทะลวงลมปราณนี้เอง โปรดอภัยให้กับการกระทำที่หยาบคายของฉู่หยวนด้วย”

“ปราชญ์ผู้ชาญโลก ?” ซูเฉินเองก็ตกใจเช่นกัน

เขาไม่รู้ว่าเขาได้รับฉายาว่าปราชญ์ผู้ชาญโลกมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

อย่างไรก็ตาม ความจริงก็คือเพราะวิธีทะลวงแบบไม่พึ่งสายเลือดที่ถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้พื้นฐานการฝึกฝนของเผ่ามนุษย์ทั้งหมดเริ่มยกระดับเพิ่มขึ้น

หรือกล่าวได้ว่า การกระทำของซูเฉินนั้นได้เป็นการเพิ่มระดับการฝึกฝนพื้นฐานของมนุษย์จากด่านก่อเกิดลมปราณ ไปสู่ด่านทะลวงลมปราณนั่นเอง

มันเหมือนกับการเพิ่มความเสียหายพื้นฐานที่อาวุธสามารถทำได้ไปอีก 3 เท่า ความสำคัญการพัฒนาเพิ่มขึ้นนี้มันยอดเยี่ยมมากจนแทบจะไม่ต่างอะไรไปจากการพูดเกินจริงเลย

ด้วยความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกแต่อย่างใดที่เขาจะได้รับฉายาว่า ‘ปราชญ์ผู้ชาญโลก’

ฉายาปราชญ์นี้ไม่ได้มีความหมายอะไรกับซูเฉินมากนัก แต่นับเป็นปัญหาสำหรับศัตรูของเขา

ในชีวิตมักมีเรื่องราวหลายสิ่งหลายอย่างให้กังวลอยู่เสมอ

ชื่อเสียง มิตรภาพ ความรัก ผลประโยชน์ ชีวิตและความตาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดทุกคนต่างก็มีเรื่องกังวลเป็นของตัวเองอยู่อย่างน้อยคนละเรื่อง

หากบุคคลใดไม่วิตกในสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็คงไม่ต่างไปจากคนวิกลจริตมากนัก

ฉู่หยวนไม่ใช่คนบ้า

ดังนั้นเขาเองก็มีเรื่องกังวลเป็นของตัวเอง และนั่นคือชื่อเสียง

สำหรับฉู่หยวนแล้ว หากปราชญ์ผู้ชาญโลกตกตายไปด้วยน้ำมือของเขา มันจะต้องกลายเป็นปัญหาใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย

บัดซบ ! เพียงแค่วิธีทะลวงแบบไม่พึ่งสายเลือดที่เขาสร้างขึ้นมามันก็มากเกินพอแล้ว เหตุใดถึงมาที่ภูผาสูญเพื่อก่อปัญหาด้วย ? และยังมุ่งความสนใจไปที่การวิเคราะห์คำสาปทั้ง 3 โดยเฉพาะอีก

เมื่อเขาพิจารณาถึงผลที่ตามมาจากการสังหารปราชญ์ผู้ชาญโลกด้วยมือของตนแล้ว ฉู่หยวนก็รู้สึกปวดหัวยิ่งนัก

แต่ถึงเขาจะปวดหัวมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถปล่อยให้ความลับของคำสาปทั้ง 3 แพร่กระจายออกไปได้

เพื่อประโยชน์ของคนรุ่นต่อ ๆ ไป ฉู่หยวนไม่อาจลังเลได้

ฉู่หยวนจ้องมองซูเฉินด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความเย็นชาและจิตสังหาร !