บทที่ 639 ไม่เคยคิดไว้หน้าใครทั้งนั้น...

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 639 ไม่เคยคิดไว้หน้าใครทั้งนั้น…

“เจรจา?”

หลินเป่ยเฉินเดินเข้ามาถีบกงซุนไป๋ล้มกลิ้งลงไป

หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็ยกมือชี้หน้าแม่ทัพเทพสังหารด้วยความเกรี้ยวกราด “ยังมีเรื่องอันใดให้เจรจากันอีก? ข้าจะบอกให้นะ หลินเป่ยเฉินผู้นี้ไม่ใช่คนโง่ และข้าไม่เคยคิดไว้หน้าใครทั้งนั้น… ไม่เชื่อก็ลองถามใครดูก็ได้ สำหรับในชีวิตของหลินเป่ยเฉิน ไม่มีอะไรจะสำคัญมากไปกว่าเงิน เงิน และเงิน เข้าใจหรือไม่?”

กงซุนไป๋รีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่า รับคำว่า “เข้าใจแล้วขอรับ เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้น เรามาพูดเรื่องเงินกันดีกว่า…”

“พูดเช่นนี้แต่แรกก็ไม่มีปัญหาแล้ว”

หลินเป่ยเฉินเก็บหวีในมือและช่วยประคองกงซุนไป๋ลุกขึ้นยืนอย่างกระตือรือร้น “เดิมทีข้านั้นเป็นคนใจร้อนวู่วามและฉุนเฉียวง่าย… แต่ตราบใดถ้ามาเจรจากันเรื่องเงินทองแล้วล่ะก็ พวกเราก็สามารถพูดคุยกันได้ เร็วเข้า ทำไมพวกเจ้าถึงยังไม่รีบแก้มัดให้กับท่านแม่ทัพกงซุนอีก…”

จวงปู้โจวรีบเคลื่อนกายเข้ามาแก้มัดให้แก่แม่ทัพกงซุนไป๋

เมื่อเชือกที่พันธนาการได้ถูกปลดออกไปแล้ว กงซุนไป๋ก็คิดที่จะจับหลินเป่ยเฉินเป็นตัวประกัน เพื่อบีบบังคับให้ชาวเมืองหยุนเมิ่งปล่อยตัวนายทหารทุกคนออกไปโดยทันที

แต่อย่างไรก็ตาม หลินเป่ยเฉินพลันตบมือลงมาบนหัวไหล่ของแม่ทัพหนุ่มอย่างไม่ทันตั้งตัว

“แม่ทัพกงซุน ท่านยังหนุ่มยังแน่น นับว่ายังมีอนาคตอีกไกล ฮ่าฮ่าฮ่า ดูใบหน้าของท่านในขณะนี้สิ สภาพดูไม่ได้เลยจริงๆ ใครกันนะที่บังอาจทำกับท่านอย่างรุนแรงถึงเพียงนี้ เป็นพวกเจ้าใช่หรือไม่?…”

หลินเป่ยเฉินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอับอาย

จวงปู้โจวที่ยืนรอรับคำสั่งพร้อมกับลูกน้องในบริเวณนั้นแกล้งทำเป็นหูหนวกตาบอดขึ้นมาอย่างกะทันหัน

แต่กงซุนไป๋ก็เลิกล้มความคิดที่จะจับหลินเป่ยเฉินเป็นตัวประกันไปทันทีเช่นกัน

เนื่องเพราะในจังหวะที่เด็กหนุ่มวางมือลงมาบนหัวไหล่ของเขา กงซุนไป๋ก็รับรู้ได้ถึงพลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากฝ่ามือของหลินเป่ยเฉิน และพลังเหล่านั้นก็มาสลายพลังลมปราณในร่างกายของกงซุนไป๋หมดสิ้น ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างกายอย่างกะทันหัน ทำให้แม่ทัพหนุ่มแทบจะล้มทั้งยืนเลยทีเดียว

นี่หมายความว่าอย่างไร?

นี่หมายความว่าหลินเป่ยเฉินมีพลังแข็งแกร่งมากกว่าที่เขาคาดคิด

กงซุนไป๋รู้แล้วว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินเป่ยเฉิน

ดูเหมือนข่าวลือเกี่ยวกับหลินเป่ยเฉินที่ฝ่ายบริหารนครเจาฮุยปิดบังไม่ให้ชาวเมืองล่วงรู้จะเป็นความจริงเสียแล้ว กงซุนไป๋รู้สึกถึงความเสี่ยงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม่ทัพหนุ่มตั้งใจว่าหากสามารถรอดชีวิตกลับไปได้ เขาจะต้องกลับไปค้นข้อมูลรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับหลินเป่ยเฉินให้ครบถ้วนทุกซอกทุกมุม

กงซุนไป๋เดินตรงไปสู่ด้านในกระโจมที่พักหลังใหญ่ด้วยการประคองของหลินเป่ยเฉิน

หลินเป่ยเฉินมีระดับพลังสูงล้ำมากเกินไป ถึงแม่ทัพเทพสังหารกงซุนไป๋จะมีระดับพลังไม่ต่ำต้อย แต่เขาก็ไม่สามารถต้านทานได้อีกแล้ว

และจังหวะที่ถูกลากเข้าไปด้านในกระโจมที่พักนั้น กงซุนไป๋ก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาอย่างกะทันหัน

แบบนี้มันไม่ถูกต้อง

บัดนี้ ตลอดร่างกายของเขาสวมใส่เพียงกางเกงชั้นในตัวเดียวเท่านั้น

หรือว่าหลินเป่ยเฉินคิดจะทำมิดีมิร้ายเขา?

ไม่นะ

ไม่ ไม่ ไม่

กงซุนไป๋สะบัดมือออกจากการเกาะกุมของเด็กหนุ่มและหมุนตัววิ่งไปยังทางเข้าของกระโจมที่พัก

แต่ประตูทางเข้าได้หายไปแล้ว

“ไม่เป็นไรหรอกน่า อย่าได้หวาดกลัวไปเลย ข้าเป็นคนดีจะตาย…”

หลินเป่ยเฉินลากตัวแม่ทัพหนุ่มเดินกลับมาที่เดิมด้วยความกระตือรือร้น

สุดท้าย กงซุนไป๋ผู้เป็นเหมือนกระต่ายน้อยก็ถูกเสือร้ายลากเข้าสู่ถ้ำของตนเองได้สำเร็จ

ขณะนี้ หยางต้าซานกำลังเฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดจากระยะไกล เขาเองก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะเมื่อเห็นสีหน้าวิตกกังวลของกงซุนไป๋ก่อนจะหายเข้าไปในกระโจมที่พักของหลินเป่ยเฉิน หยางต้าซานก็รู้สึกเย็นวูบบริเวณหว่างขาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากด้านในกระโจมที่พัก

ไม่มีใครกล้าเข้าไปรับฟังใกล้ๆ

อีกไม่นานการทำงานรอบบ่ายก็จะเริ่มขึ้นแล้ว

หยางต้าซานพบว่าบัดนี้นายทหารหน่วยม้าขาวทั้ง 19 นายนั้นต่างก็ถูกจับตัวมาใช้แรงงานตัดฟืนเคลื่อนย้ายก้อนหิน ร่วมกับบรรดานายทหาร 500 ชีวิตที่ถูกจับตัวมาเมื่อคืนนี้

เอ่อ…

ทำไมถึงได้น่าสงสารชอบกลนะ

หยางต้าซานชะงักไปเล็กน้อย

แต่ในไม่ช้า ชายหนุ่มก็ได้คำตอบที่มาของความสงสารในหัวใจ

ที่เขารู้สึกสงสารก็เพราะว่านายทหารหน่วยม้าขาวเหล่านี้ ต้องทำงานหนักมากกว่าคนงานทั่วไปไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่านั้นเอง

ครึ่งชั่วยามต่อมา

เสียงหัวเราะด้วยความสะใจของหลินเป่ยเฉินก็ดังกึกก้องกระโจมหลังใหญ่ใจกลางค่ายที่พัก

“อุ๊วะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ท่านแม่ทัพกงซุน ท่านกับข้านี่เป็นคนประเภทเดียวกันจริงๆ ข้ามีความสุขมากที่ได้พูดคุยกับท่าน ข้าจะรอคอยฟังข่าวดีจากท่านนะ”

แล้วทางเข้ากระโจมที่พักก็เปิดออก

หลินเป่ยเฉินกลับมาสวมใส่เสื้อผ้าอย่างเป็นทางการแล้ว

และกงซุนไป๋ก็กลับมาสวมใส่ชุดเกราะสีเงินพร้อมด้วยถือหมวกเหล็กประดับพู่สีแดงปลิวไสวอยู่ในมือ แม่ทัพหนุ่มกลับคืนสู่สภาพนายทหารผู้สง่างามอีกครั้ง รอยฟกช้ำดำเขียวบนใบหน้าจางหายไปหมดสิ้น กงซุนไป๋กลับมาสดชื่นกระปรี้กระเปร่าราวกับได้ตายอีกแล้วเกิดใหม่ก็ไม่ปาน

เมื่อสังเกตเห็นว่าทุกคนกำลังจ้องมองมาเป็นตาเดียว กงซุนไป๋ก็หันขวับไปมองหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเองทั้ง 19 คนเล็กน้อย จากนั้น เขาก็เดินไปหาอาชาคู่ใจและกระโดดขึ้นไปขี่หลัง ก่อนจะควบขี่ม้าขาวมุ่งตรงไปยังทิศทางของกำแพงเมืองพื้นที่เขตสาม

หลินเป่ยเฉินยืนมองตามกงซุนไป๋ไปจนลับตา หลังจากนั้น เขาจึงยกมือขึ้นนวดขมับของตนเอง ก่อนที่รอยยิ้มปริศนาจะปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก

การทำงานวันนี้จบสิ้นลงแล้ว

หยางต้าซานและพรรคพวกได้รับค่าแรงเป็นโอสถเป่ยเฉินคนละ 2 เม็ด ซึ่งพวกเขาทะลุถนอมมันยิ่งกว่าไข่ในหิน

“คุณชายหลินอยากจะพบพวกเจ้า” เมื่อฉุยหมิงโหลวจัดส่งโอสถเป่ยเฉินให้กับเหล่าคนงานจากต่างถิ่นเสร็จสิ้น เขาก็แจ้งเรื่องนี้ต่อหยางต้าซานผู้เป็นหัวหน้ากลุ่ม “ตามข้ามา”

หยางต้าซาน หูเหลาป่าและลูกสมุนคนอื่นๆ ถึงกับหยุดชะงักยืนอยู่กับที่

เด็กหนุ่มหน้าขาวคนนั้น…

อยากพบพวกเขาอย่างนั้นหรือ?

ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงต้องจำใจยอมเดินตามหลังฉุยหมิงโหลวไปยังกระโจมที่พักของหลินเป่ยเฉินเป็นครั้งที่สอง