บทที่ 640 ข้าขอเอาชีวิตลูกสะใภ้ในอนาคตเป็นเดิมพัน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 640 ข้าขอเอาชีวิตลูกสะใภ้ในอนาคตเป็นเดิมพัน

เมื่อเข้าไปอยู่ด้านในแล้ว ทุกคนก็เห็นว่าหลินเป่ยเฉินกำลังนอนหนุนตักหญิงรับใช้คนหนึ่ง โดยที่หญิงรับใช้อีกคนกำลังนวดขาให้เขาอย่างสบายอารมณ์

พื้นที่ด้านในกระโจมที่พักมีอาณาบริเวณกว้างขวางและตกแต่งอย่างหรูหราเกินจินตนาการ

“ในกลุ่มคนงานทั้งหมดของพวกเรา รู้ตัวไหมว่าพวกเจ้าเป็นคนงานชั้นดีเชียวนะ”

หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับส่งยิ้มอย่างเป็นมิตร

“ข้าน้อยมิบังอาจรับคำชม”

“เพียงมีอาหารรับประทานอย่างเพียงพอและได้รับค่าแรงเป็นโอสถเป่ยเฉินเหล่านั้น ข้าน้อยก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว”

“ขอบคุณคุณชายหลินที่มอบโอกาสครั้งนี้ให้แก่พวกเราขอรับ”

“ขอบคุณที่ช่วยให้พวกเราสามารถลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง”

หยางต้าซานและกลุ่มลูกสมุนรีบประสานมือทำความเคารพเด็กหนุ่มด้วยความนอบน้อม

หลินเป่ยเฉินยิ้มอย่างพอใจ “ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาในวันนี้ ก็เพราะมีเรื่องอยากจะพูดคุยด้วย…”

“อย่างแรก ข้าอยากจะสร้างดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวเมืองหยุนเมิ่ง จึงจำเป็นต้องใช้แรงงานคนจำนวนมาก หลังจากพวกเจ้ากลับที่พักของตนเองแล้ว ช่วยกระจายข่าวนี้ออกไปให้เร็วไวมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี ขอแค่มีเรี่ยวแรงสามารถทำงานได้ ก็ให้มาลงทะเบียนคนงานซะ คนงานหนึ่งคนจะได้รับค่าแรงเป็นโอสถเป่ยเฉิน 2 เม็ดต่อวัน ทุกคนจะได้รับค่าแรงเมื่อเสร็จสิ้นการทำงานประจำวัน รับรองว่าไม่มีการเอารัดเอาเปรียบกันแน่นอน!”

“อย่างที่สอง แม้แต่คนที่อยู่ในค่ายผู้อพยพอื่นๆ ก็สามารถมาสมัครงานที่นี่ได้เช่นกัน รบกวนพวกเจ้าช่วยกระจายข่าวให้หน่อย ตราบใดที่พวกเขาตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็ง… หลินเป่ยเฉินคนนี้ก็ยินดีต้อนรับเสมอ และขอรับปากเลยว่าพวกเราชาวเมืองหยุนเมิ่งจะปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกันหมด”

“อย่างที่สาม ข้ากำลังจะก่อตั้งสถานศึกษาเพื่อเปิดโอกาสให้ลูกหลานผู้อพยพได้ร่ำเรียนหนังสือ ค่าลงทะเบียนเข้าเรียนนั้นข้าจะพยายามคิดให้ต่ำมากที่สุด แต่ถ้าลงทะเบียนล่วงหน้าก่อนคนอื่น ทุกคนก็จะได้รับส่วนลดเป็นพิเศษ… เรื่องนี้ก็ฝากให้พวกเจ้าช่วยไปกระจายข่าวด้วยอีกเช่นกัน”

หลินเป่ยเฉินพูดข้อความเหล่านี้รวดเดียวจบ จากนั้นจึงหันมากวาดตามองกลุ่มของหยางต้าซานที่ยืนเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง

“ไม่ทราบว่าพวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?” เด็กหนุ่มถาม

แต่กลุ่มคนงานยังคงตกตะลึง ไม่สามารถตอบคำถามของหลินเป่ยเฉินได้

โดยเฉพาะเรื่องการเปิดสถานศึกษานั้น คือสิ่งที่ทำให้พวกของหยางต้าซานรู้สึกตกตะลึงมากที่สุด หัวใจของพวกเขาเต้นรัวเร็ว สมองกลายเป็นสีขาวโพลน ไม่สามารถประมวลผลได้ชั่วขณะ

ถ้าเป็นจริงอย่างที่หลินเป่ยเฉินว่า ก็หมายความว่าลูกๆ ของพวกเขาจะได้มีโอกาสเรียนหนังสืออย่างนั้นหรือ?

สำหรับกับผู้คนที่มีชีวิตยากลำบากอย่างเช่นหยางต้าซาน นี่คือเรื่องราวที่เป็นแรงจูงใจชั้นดีให้แก่พวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

ทุกคนไม่ได้เป็นผู้อพยพมาตั้งแต่เกิด

หลายคนเคยมีชีวิตที่สุขสบายและมั่นคงด้วยซ้ำ

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หยางต้าซานและคณะผู้ติดตามของเขายินดีทำทุกอย่างสุดความสามารถ เพื่อหวังให้ลูกน้อยมีอนาคตที่สวยงาม

แต่สงครามก็ได้ดับความฝันทุกอย่างลง

บัดนี้ แค่มีชีวิตรอดต่อไปได้อีกวัน ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว

ดังนั้น โอกาสที่จะให้ลูกๆ ได้เข้ารับการศึกษาและฝึกวิทยายุทธ์ด้วยค่าเล่าเรียนถูกแสนถูกนั้น จะมีผู้ใดสามารถปฏิเสธได้บ้าง?

โลกใบนี้มีแต่เพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะได้รับความเคารพ

มีแต่การศึกษาเท่านั้นถึงจะเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนได้

หากหลินเป่ยเฉินต้องการเปิดสถานศึกษาในถิ่นที่อยู่อาศัยของกลุ่มผู้อพยพจริงๆ นี่ก็ถือว่าความฝันที่พวกเขาไม่กล้าฝัน ได้กลายเป็นจริงขึ้นมาแล้ว

“มีอะไรที่พวกเจ้าไม่เข้าใจหรือไม่?” เมื่อหลินเป่ยเฉินเห็นว่าตนเองพูดจบ แต่ยังไม่มีใครรับคำเลยสักคน เด็กหนุ่มจึงเริ่มคิดสงสัยอยู่ในใจแล้วว่า หรือผู้อพยพเหล่านี้จะไม่อยากให้บุตรหลานของตนเองได้เรียนหนังสือ?

ถ้าเป็นเช่นนั้น แผนการที่เขาวางเอาไว้ทั้งหมด ก็คงจะต้องเปลี่ยนไป

น่าปวดหัวเหลือเกิน

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นนวดขมับ

เขารู้สึกว่าตนเองอดหลับอดนอนโดยไม่มีประโยชน์สักนิดเดียว

แต่ตอนที่เด็กหนุ่มกำลังจะชักสีหน้าด้วยความไม่สบอารมณ์นั้นเอง…

ตุบ! ตุบ! ตุบ!

พวกของหยางต้าซานก็คุกเข่าลงไปบนพื้นดิน

“ตราบใดที่คุณชายหลินต้องการเปิดสถานศึกษาราคาถูกให้แก่ผู้อพยพ พวกเราก็พร้อมทำงานอย่างเต็มที่ขอรับ และแน่นอนว่าเราจะต้องรีบนำข่าวนี้ไปกระจายให้เร็วที่สุด”

“เพื่อให้ลูกชายของข้าน้อยได้มีสิทธิ์เรียนหนังสือ ข้าน้อยยินดีทำทุกอย่างขอรับ”

“ไม่ทราบว่าข้าน้อยสามารถลงทะเบียนให้ลูกได้เลยหรือไม่?”

กลุ่มคนงามจากต่างหมู่บ้านแสดงท่าทีตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ดวงตาของพวกเขาเป็นประกายแวววาวด้วยความหวังเต็มเปี่ยม และสายตาที่ทุกคนจ้องมองมายังหลินเป่ยเฉินในขณะนี้ ก็ล้วนเป็นสายตาที่อยากจะตรวจสอบว่าเด็กหนุ่มตั้งใจพูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่

เมื่อหลินเป่ยเฉินเห็นปฏิกิริยาตอบรับของทุกคน เขาก็ต้องยิ้มออกมาด้วยความดีใจ

ที่แท้ที่เห็นเงียบๆ ไป ก็เพราะทุกคนกำลังตกใจอยู่นั่นเอง

แหม ทำเอาใจหายใจคว่ำหมด

แต่ถึงอย่างนั้น แผนการที่วางเอาไว้ก็ยังมีปัญหาอยู่ดี

“ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวล หลินเป่ยเฉินคนนี้นอกจากชื่นชอบเงินทองแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ชื่นชอบไม่แพ้กัน ก็คือการได้ช่วยเหลือผู้คน” เด็กหนุ่มระเบิดเสียงหัวเราะ ก่อนพูดต่อ “ในเมื่อพวกเจ้าทั้งแปดคนมีความจริงใจและตั้งใจทำงานมาโดยตลอด ข้าขอรับปากว่าลูกๆ ของพวกเจ้าจะได้เรียนหนังสือโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย พวกเจ้าไม่รู้หรอกว่าลูกๆ ของตนเองโชคดีมากแค่ไหนที่ได้เรียนในสถานศึกษาของข้า เหอเหอเหอ ข้าสามารถรับประกันได้เลยว่าบรรดาจอมยุทธ์และขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายในอนาคต จะต้องอิจฉาลูกๆ ของพวกเจ้าแน่นอน”

นี่ไม่ใช่ถ้อยคำคุยโวโอ้อวดความยิ่งใหญ่เกินจริงของหลินเป่ยเฉิน

นั่นเป็นเพราะว่าในคณะผู้ติดตามของเด็กหนุ่มมีสุดยอดอาจารย์อย่างฉู่เหิน และยอดฝีมืออย่างพวกของไต้จือฉุนคอยสอนหลักสูตรต่างๆ ตั้งแต่วิชาการต่อสู้ไปจนถึงวิชาการหลอมโอสถ ตราบใดที่มีโอกาสได้รับการศึกษาจากกลุ่มคนเหล่านี้เป็นเวลาสามถึงห้าปี ต่อให้เป็นหมูโง่ตัวหนึ่ง ก็ยังสามารถพัฒนาตนเองกลายเป็นหมูโง่ที่มีพลังอยู่ในขั้นยอดสัตว์อสูรอย่างไม่ยากเย็น

แล้วสำหรับคนที่มีสติปัญญาเล่า จะไม่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร?

เมื่อพวกของหยางต้าซานได้ยินคำสัญญาของหลินเป่ยเฉิน ต่อให้พวกเขาจะไม่เชื่อคำพูดคุยโวของเด็กหนุ่มไปเสียทุกคำ แต่ตราบใดที่ลูกๆ ของพวกเขามีโอกาสได้ร่ำเรียนหนังสือ พวกเขาก็ตั้งมั่นที่จะจงรักภักดีต่อหลินเป่ยเฉินและประจบประแจงเด็กหนุ่มให้ดีกว่าหวังจง เพราะทุกคนทราบดีว่าโอกาสเช่นนี้ มีเพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น

หลินเป่ยเฉินทำลายความเงียบขึ้นอีกครั้งว่า

“หากพวกเจ้ามีอะไรติดขัด สามารถมาแจ้งต่อฉุยหมิงโหลวได้โดยทันที เดี๋ยวเขาจะช่วยแก้ไขปัญหาทุกอย่างให้เอง”

หยางต้าซานขมวดคิ้วถามกลับไปด้วยความไม่อยากเชื่อ

“ฉุยหมิงโหลวหรือขอรับ?”

ฉุยหมิงโหลวที่ยืนอยู่ด้านข้างส่งเสียงพูดขึ้นว่า

“ข้าเอง”

หยางต้าซานพยักหน้าทันที

“เข้าใจแล้วขอรับ”

หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็ปล่อยทุกคนกลับออกไป

ณ ค่ายที่พักของชาวเมืองหยินเหยียน

บรรยากาศถูกปกคลุมด้วยความเศร้าโศก

“ท่านแม่ ข้าหิวแล้ว ข้าอยากกินข้าว”

เด็กๆ ตระกูลอู๋ส่งเสียงร้องไห้งอแงด้วยความหิวโหยดังมาจากกระท่อมไม้ข้างเคียง ภรรยาหม้ายของอู๋ต๋าได้แต่ร้องไห้และปลอบโยนลูกน้อยด้วยความหมดหวัง แต่อาหารที่มีอยู่ในบ้านได้ถูกรับประทานไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรให้พวกเขาได้รับประทานอีกต่อไป เด็กๆ จึงไม่มีอาหารตกถึงท้องตั้งแต่เช้า

“พี่ซาน ท่านแน่ใจนะว่าเด็กหนุ่มหน้าขาวผู้นั้นจะไม่หลอกลวงพวกเรา?”

หูเหลาป่าอดถามออกมาไม่ได้

หยางต้าซานชำเลืองมองผู้ติดตามทั้งเจ็ดคนที่ยืนอยู่รอบตัว ก่อนกัดฟันตอบว่า “ข้าคิดว่าเขาไม่มีเหตุผลให้ต้องหลอกลวงพวกเรา เจ้าไม่เห็นรึ? ขนาดแม่ทัพใหญ่อย่างกงซุนไป๋ ก็ยังต้องยอมศิโรราบให้แก่คุณชายหลินแล้ว…”

หยางต้าซานเริ่มเปลี่ยนคำเรียกหาเด็กหนุ่มจาก ‘เจ้าหน้าขาว’ กลายเป็น ‘คุณชายหลิน’ โดยไม่รู้ตัว

“จริงด้วยสินะ กงซุนไป๋ผู้นั้น… เฮ้อ นับว่าคุณชายหลินสามารถจัดการกลุ่มนายทหารม้าขาวได้โดยใช้เพียงสัตว์เลี้ยงของเขาเท่านั้นเอง”

“แต่มีเรื่องแปลกประหลาดอีกอย่างหนึ่งที่ข้าลืมบอกท่านไป” หูเหลาป่ายกมือตบหน้าผากของตนเองและพูดออกมาว่า “วันนี้เกิดเรื่องแปลกประหลาดมากมายเลยขอรับ มันทำให้สติของข้าเลอะเลือนไปหมด… เรื่องมีอยู่ว่าวันนี้ข้าไปยังพื้นที่เกษตรกรรม เพื่อขุดดินและปรับสภาพให้เหมาะสมสำหรับการปลูกข้าวต่อไป แต่ทุกคนลองทายสิว่าเมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว ข้าพบเห็นอะไร?”

“เจ้าไปพบเห็นอะไรมา?”

หลี่เหลาเอ้อร์สอบถามด้วยความสงสัย

หูเหลาป่าลดเสียงลงเป็นกระซิบและพูดด้วยน้ำเสียงลึกลับ “สิ่งที่ข้าได้พบเห็นก็คือชาวเมืองหยุนเมิ่งกำลังลงมือเกี่ยวข้าวกันอยู่ล่ะ… ข้าเองก็อยู่ที่นั่นเมื่อวานนี้ ตอนที่มันยังเป็นเพียงพื้นที่รกร้างแห่งหนึ่ง แต่วันนี้มันกลับกลายเป็นนาข้าวสวยงามอุดมสมบูรณ์และพร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยวผลผลิต… นี่จึงเรียกว่าปาฏิหารอย่างแท้จริง”

“ว่าไงนะ?”

“เป็นไปไม่ได้”

“เหลาป่า เจ้าตาฝาดหรือเปล่า?”

“เจ้าต้องตาฝาดแน่ๆ”

ชายหนุ่มคนอื่นๆ ล้วนไม่อยากเชื่อ

เมื่อวานนี้ยังเป็นเพียงพื้นที่รกร้างอันแห้งแล้ง แล้ววันนี้มันจะกลายเป็นนาข้าวที่ให้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้อย่างไร?

เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด

“ข้าขอยืนยันว่ามันเป็นความจริงทุกประการ”

หูเหลาป่ายกมือตบหน้าอกตัวเองด้วยความหนักแน่น “ข้าขอเอาชีวิตลูกสะใภ้ในอนาคตเป็นเดิมพัน ข้าไม่ได้โกหก แม้แต่ตอนแรกข้าก็ยังไม่อยากเชื่อสายตาของตนเองเช่นกัน แต่ขอรับรองว่าข้าไม่ได้ตาฝาดแน่นอน”

“ให้ตายสิ จะสาบานทั้งที ไปเอาชีวิตคนอื่นมาล้อเล่นทำไม?”

“โลกนี้มันจะมีเรื่องแปลกประหลาดเช่นนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร?”

กลุ่มชายหนุ่มล้วนหันมองหน้ากันด้วยความสงสัย

แต่ในจังหวะนั้นเอง โจวเหลาซือก็พูดออกมาว่า “ข้าเองก็มีประสบการณ์ที่แปลกประหลาดนี้เช่นกัน เมื่อวานข้าไปขุดดินในพื้นที่ปลูกสมุนไพรวิเศษสำหรับนักหลอมโอสถอานมู่ซี ที่นั่นเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่าปราศจากสิ่งใดแม้แต่วัชพืช ทว่า วันนี้เมล็ดสมุนไพรที่หว่านไปเมื่อวาน กลับเติบโตเจริญงอกงามและกลายเป็นทุ่งสมุนไพรเขียวขจีขึ้นมาแล้ว…”

ทุกคนได้แต่กะพริบตาปริบๆ ด้วยความตกตะลึง